xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“กระท่อมไทย” ปลูก- ซื้อ-ขายเสรี ปลดล็อกดันเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า “พืชกระท่อม” ได้รับการปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2564 ทำให้ประชาชนสามารถปลูก-ซื้อ-ขายได้อย่างเสรี ขณะเดียวกันรัฐเตรียมผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่สร้างรายได้ภาคเกษตร 

อย่างไรก็ตาม ความล้าหลังของกฎหมายไทยทำให้ “พืชกระท่อม” ค้างอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มายาวนานหลายสิบปี ไล่เรียงความเป็นมาตั้งแต่โบราณ “พืชกระท่อม” จัดเป็นสมุนไพรไทยมีสรรพคุณทางยา บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอ แก้ท้องเสีย ช่วยในการนอนหลับ ช่วยคลายความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ฯลฯ

 สอดคล้องกับงานวิจัยพืชกระท่อมพัฒนาเป็นเภสัชตำรับ โดยคณะวิทยาศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) พบว่าพืชกระท่อมมีสารสำคัญ ได้แก่ ไมทราไจนีน (Mitragynine) และ 7-ไฮดรอกซีไมทราไจนีน (7-hydroxymitragynine) มีฤทธิ์ระงับปวด รักษาอาการท้องเสีย ลดน้ำหนัก ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ต้านอาการซึมเศร้า คลายกล้ามเนื้อลาย บำบัดผู้ติดยาเสพติด สามารถยับยั้งกลุ่มอาการถอนยาจากเอทานอล ลดอาการวิตกกังวลจากกลุ่มอาการถอนยากลุ่มสารฝิ่น โดยปัจจุบันต่างประเทศได้นำพืชกระท่อมใช้ประโยชน์เพื่อทดแทนสารเสพติด เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ไอซ์ และยาบ้า เพื่อบำบัดผู้เสพยา 

ทั้งนี้ มีการออกกฎหมายควบคุมกระท่อมเป็นครั้งแรกคือ  “พ.ร.บ. พืชกระท่อม พ.ศ.2486”  ระบุว่า “ห้ามผู้ใดเสพ ปลูก มี ซื้อ ขาย ให้ หรือแลกเปลี่ยนพืชกระท่อม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เพื่อประโยชน์ในการประกอบโรคศิลป์หรือวิทยาศาสตร์ ผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

เกี่ยวกับการควบคุมพืชกระท่อมในแวดวงวิชาการวิเคราะห์กันว่า การออกกฎหมายให้กระท่อมเป็นยาเสพติดต้องห้ามในสมัยนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าและภาษีของรัฐ เนื่องจากฝิ่นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตมีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น มิใช่เป็นการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการเสพติดพืชกระท่อม

ต่อมา มีการออก  พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ทำให้พืชกระท่อมถูกควบคุมอย่างต่อเนื่องในฐานะ  “ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5”  ซึ่งมีพืชเสพติดจัดอยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่  “กระท่อม กัญชา ฝิ่น เห็ดขี้ควาย”  ระบุว่า  “ผู้ใดผลิตจำหน่าย นำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2–5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 –150,000 บาท ครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

กระทั่ง ปี 2562 มีการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ เพื่อปลดล็อกให้มีการใช้กัญชาและพืชกระท่อมในทางการแพทย์ โดย พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 "เว้นแต่การเสพนั้นเป็นการเสพเพื่อการรักษาโรค ตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ที่ได้รับใบอนุญาต หรือเป็นการเสพเพื่อการศึกษาวิจัย" แต่การเสพ ครอบครอง ขาย นำเข้าหรือส่งออกพืชกระท่อมที่นอกเหนือจากนี้ยังถือว่าเป็นความผิด มีโทษทั้งจำคุกและปรับ

จวบจน ล่าสุด ปี 2564 มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ ณ วันที่ 24 ส.ค. 2564 ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ รวมทั้งยกเลิกบทลงโทษทั้งหมดที่เกี่ยวกับพืชกระท่อม ส่งผลให้ประชาชนสามารถปลูกกินและซื้อขายกันได้อย่างเสรี

นอกจากนี้ ผลของการปลดล็อกพืชกระท่อม ทำให้มีการปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายพืชกระท่อมจำนวน 1,038 ราย โดยถือว่าไม่เคยกระทำความผิด โดยต้องเป็นกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผสมสารเสพติดอื่น โดยผู้ที่ถูกดำเนินคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ต้องมีการจำหน่ายคดีออกจากสารบบของศาล หรือจะได้รับการพิพากษายกฟ้อง รวมถึงผู้ที่ถูกกักขังแทนค่าปรับ จะต้องยกเลิกการเสียค่าปรับ และผู้ต้องขังในเรือนจำ ผู้ที่ถูกจับในข้อหาพืชกระท่อม ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจหรืออยู่ในระหว่างการประกันตัว จะยุติโทษและได้รับการปล่อยตัวในทันที

 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลเท่ากับ 76,612 บาท โดยคดีข้อหาพืชกระท่อมที่ขึ้นสู่ศาลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563-30 มิ.ย. 2564 มีอยู่ถึง 22,076 คดี ซึ่งการปลดกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษในครั้งนี้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐและผู้ต้องหาหรือจำเลย เป็นจำนวนเงินกว่า 1,691,287,000 บาท 

อย่างไรก็ดี หลังจากปลดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว จะมีการออก พ.ร.บ. พืชกระท่อม โดยกระทรวงยุติธรรม เพื่อจัดการดูแลพืชกระท่อมโดยเฉพาะ ล่าสุด ร่าง พ.ร.บ. พืชกระท่อม ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2563 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ

สาระสำคัญของ พ.ร.บ. พืชกระท่อม กำหนดมาตรการกำกับดูแลการปลูกพืชกระท่อม การขาย การนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น กำหนดให้การปลูกพืชกระท่อม การขาย การนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม เพื่อประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม ต้องได้รับใบอนุญาต, กำหนดคุณสมบัติและระเบียบเกี่ยวกับสถานที่ขาย นำเข้าหรือส่งออกพืชกระท่อม

และกำหนดมาตรการป้องกันการใช้ใบกระท่อมในทางที่ผิด เช่น ห้ามขายใบกระท่อม น้ำต้มใบกระท่อม หรืออาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบแก่บุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท, ห้ามบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ปรุงผสมกับยาเสพติดให้โทษ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท เป็นต้น

 ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการนำพืชกระท่อมไปใช้เป็นสารเสพ เช่น 4 × 100 ซึ่งระบาดหนักในกลุ่มวัยรุ่น หรือฉกฉวยโอกาสนำกระท่อมผสมเป็นยาเสพติดจำหน่าย ซึ่งมีความผิดโทษสูงสุดตามกฎหมาย น่าสนใจว่านอกจากการจับกุมดำเนินคดีแล้ว รัฐจะมีแนวทางอื่นๆ ในการกำกับดูแลอย่างไรหรือไม่ ต้องยอมรับว่าการปราบปรามอย่างเดียวคงไม่ทำให้ปัญหาหมดไป 

พร้อมกันนี้ กระทรวงยุติธรรมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายว่า ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2564 เป็นต้นไป ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน รวมทั้งยังซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย

 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  มีความคิดเห็นว่าพืชกระท่อมมีสรรพคุณทางยาสูง หนุนพืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ มูลค่าของใบกระท่อมในอดีตเคยแอบขายกิโลกรัมละ 500 - 600 บาท และราคาขณะนี้ไม่ควรต่ำกว่ากิโลกรัมละ 200 บาท เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตา ซึ่งรัฐต้องสนับสนุนผลักดันส่งเสริมการปลูกและจัดการจำหน่ายสู่ตลาดต่างประเทศ สร้างแนวทางให้กระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ ต้องสร้างกลไกการควบคุมไม่ให้ราคาตก เพื่อลดปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำในอนาคต

 ทั้งนี้ มีการนำร่องปลูกพืชกระท่อมเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดพื้นที่ผ่อนปรนพิเศษเพื่อปลูกและเสพใบกระท่อมสำหรับการวิจัย 8 หมู่บ้านในพื้นที่ ต.ช้างแรก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยอนุญาตให้ปลูกรวมทั้งนำมาใช้ในการรักษาโรคตามวิถีชุมชน และแก้ปัญหาเสพติดชนิดอื่นที่แพร่ระบาดในชุมชน โดยอนุญาตให้ครอบครองกระท่อม 1,036 ต้น มีคณะกรรมการควบคุมพืชกระท่อมตำบล และระดับหมู่บ้านมีหน้าที่ควบคุม ติดตามและประเมินผล  

อย่างไรก็ดี ดีเดย์ปลดล็อกพืชกระท่อมวันแรก เว็บชอปปิงออนไลน์ขายพืชกระท่อมกันอย่างคึกคัก ใบสดขายปลีกและส่งราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 100 - 900 บาท น้ำต้มกระท่อมขายเป็นขวด ตกละ 100 บาท โดยต้นทางผู้ขายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ โดยตามข้อมูลระบุพืชกระท่อมในประเทศไทยมีอยู่ 3 พันธุ์ คือ พันธุ์แตงกวา พันธุ์ยักษาใหญ่ และพันธุ์ก้านแดง  พบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ตรัง, สตูล, พัทลุง, สงขลา เป็นต้น

 การปลดล็อกพืชกระท่อมทำให้ชาวบ้านปลูกกินได้ตามวิถีดั่งเดิม ประชาชนสามารถซื้อขายกันได้ตามอัธยาศัย โดยเฉพาะสรรพคุณทางยามีการวิจัยต่อยอดเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ และเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยในการผลักดันกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่รุกตลาดโลก 




กำลังโหลดความคิดเห็น