ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ตีเกราะเคาะไม้เรียบร้อย
ฝ่ายค้านถือฤกษ์เบิกร่อง ยื่นญัตติอภิปรายไมไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ช่วงมิดเทอม ขึงพืด 6 เสนาบดีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเป็นที่เรียบร้อย
แน่นอนว่า “บิ๊กตู่” ต้องมาตามโผ
ในข้อกล่าวหาผู้นำโง่โอหังจากการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผิดพลาด ร่ายพรรณายาวเหยียด สรุปโดยสังเขป
หละหลวมปล่อยให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเอาเชื้อนำเข้ามาปล่อย ตลอดจนเรื่องจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่ไม่เอาของมีประสิทธิภาพมาให้ประชาชน
ที่น่าสนใจก็ใจความ “คีย์เวิร์ด-คำสำคัญ” ที่เขียนในญัตติที่ต้องบอกว่า “แรงงงงสสส์” ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาที่ “ไร้ภูมิปัญญา-ไร้องค์ความรู้-ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ-ไร้คุณธรรม-ไร้ความสามารถ-ค้าความตาย-กอบโกยผลประโยชน์บนซากศพ-โอหัง-เสพติดอำนาจ” ตลอดจนระบุด้วยว่า “นายกฯประยุทธ์” อยู่ในสภาพของคนเป็น “โรคโอหังคลั่งอำนาจ (Hubris Syndrome)”
แล้วยังขมวดปมท้ายญัตติด้วยว่า “คนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรง เมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ”
ล้อไปกับกระแส “ผนงรจตกม” หรือที่แปลความได้ว่า “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด”
ไม่ต่างจากชี้หน้าด่าประจานกันกลางตลาด ทำเอา “ท่านผู้นำ” ที่ประเภท “ปล่อยวาง” ไม่เป็น ถึงขั้น “หัวร้อน” เลยทีเดียว
ต่อด้วย “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในข้อกล่าวหาเรื่องโควิด-19 เช่นเดียวกัน บริหารผิดพลาดร้ายแรง เห็นไวรัสมรณะเป็นโรคกระจอก
อีก 4 คน เป็นระดับรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยโอ๋ บุรีรัมย์” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ที่โดนกล่าวหาปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ ตลอดจนแผลเป็นจากไวรัสมรณะ ที่มีชื่อไปพัวพันกับ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” จนฝ่ายค้านฟาดแรงๆ ว่า “เสเพล” ไม่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่ง
ตลอดจนยังมีปัญหาที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง แห่งพรรคประชาชาติ จองกฐินต่อเนื่องจากศึกซักฟอกหนก่อน
เซอไพร์สไม่น้อยกับชื่อของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ หนึ่งเดียวจาก “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่รอบนี้โดนลากขึ้นเขียง ถูกกล่าวหนักๆ ว่าเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปเอื้อให้พวกพ้องตัวเอง
ส่วนตัวแทน “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ รอบนี้ติดโผมาด้วย 2 หน่อ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดนอภิปรายเบิ้ลรอบ 2 สมัยติด
จากปมปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าเมือง ไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบให้กับผู้ใช้แรงงาน ปล่อยให้ต้องเผชิญยถากรรมที่ยากลำบาก
ขณะที่อีกคน หวยไปออกที่ “เสี่ยโอ๋ เมืองสิงห์” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่โดนรับน้อง
ทั้งที่เพิ่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในชีวิตได้ไม่กี่เดือน ถูกกล่าวหาสร้างความแตกแยกให้สังคม ดูแล้วน่าจะจากปมออกมาฮึ่มใส่ดาราศิลปินที่ออกมา Call Out
ต้องบอกว่าบรรยากาศ “ศึกซักฟอก” อภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ถือว่า เร้าใจกันตั้งแต่วันยื่นญัตติ ตามคิวที่ไร้ชื่อตัวท็อป 2 คีย์แมนสำคัญระดับหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กับ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ถูกยกให้เป็น “สายล่อฟ้า” ของรัฐบาล
ทำเอา “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ตั้งแต่หัวยันหาง ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง พาเหรดกันออกมาประจาน “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทยว่า ตุกติก เพราะ “เสี่ยต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันหนักแน่นว่า ยันชื่อ “บิ๊กป้อม”
ไปให้พรรคเพื่อไทยตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้ายก่อนหยิบใส่ตะกร้า ออกไปยื่นต่อ “นายหัวเมืองตรัง” ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร
แต่ปรากฎ “หลวงพ่อป้อม” ตกสำรวจไปหน้าตาเฉย
ขณะเดียวกัน ยังมีการปล่อยข่าวออกมาจากพรรคก้าวไกล ว่า “เสี่ยยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล ต่อสายไล่ล็อบบี้แกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ให้ถอนชื่อ “บิ๊กป้อม” ออกจากกฐินไม่ไว้วางใจ
ฟากพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ยอมตกเป็น “จำเลยสังคม” ออกมาโต้กลับทันทีว่า มีการเสนอชื่อ “ป๋าป้อม” เข้ามาจริง แต่เมื่อที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านสอบถามถึงข้อมูลหลักฐาน กลับไม่ส่งมาให้ จึงจำเป็นต้องตัดชื่อออก และอันที่จริง “เสี่ยโจ้” นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเอง ก็ได้เสนอชื่อ “บิ๊กป้อม” เข้ามาเช่นกันเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ แต่พิจารณาแล้วว่า “ไร้น้ำหนัก” จึงจำเป็นตัดออกไป
งานนี้ทำเอาแกนนำพรรคเพื่อไทยควันออกหู ที่ “เด็กรุ่นหลาน” มาลบหลู่ หาว่าพรรคเพื่อสมรู้ร่วมคิด “ปาหี่-ล้มมวย” จนต่างฝ่ายต่างแจ้นไปเปิดกห้อง “คลับเฮ้าส์” ตอบโต้กันครึ่งค่อนคืน
โดยเฉพาะในราย “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย สายวางกลยุทธ์ ที่หงุดหงิดกับพฤติกรรม “พรรครุ่นลูก” โพสต์โซเชียลมีเดีย อบรมสั่งสอนนักการเมืองรุ่นหลาน ตบกบาลกันแรงๆ นิสัยแบบนี้ “ไม่แมน” พาลคิดไปได้ว่า จงใจ “ด้อยค่า” พรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคตัวเองแข็งแรงหรือเปล่า
อัดกันแรงๆ แบบไม่ไว้หน้า เพราะพลิกปูมแล้ว “ปีนเกลียว” กันมาหลายรอบ ตอกหน้ากลับไปด้วยว่า “เลขาฯก้าวไกล ต้องเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ อย่าใช้วิธีเล่าที่คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว ไม่งั้นคงทำงานกันยาก” พร้อมกับท่าดีเบตพูดความจริงต่อหน้าสื่อ พิสูจน์ไปเลยว่า ใครกันแน่ที่โกหก
ขณะที่ “เสี่ยต๋อม” ก็รับคำท้า ในคิวที่ก็มั่นใจว่า มีพยานหลักฐานยืนยันว่า ส่งชื่อ “บิ๊กป้อม” ไปให้พรรคเพื่อไทยจับขึ้นเขียง
เป็นการตอกย้ำความระหองระแหงภายในของ 2 พรรคแกนนำฝ่ายค้านอีกครั้ง ที่ “ปีนเกลียว” กันมาเรื่อย 2 ปีกว่าที่ร่วมงานกันมา เป็นอารมณ์ “ชิงดี-ชิงเด่น” เพื่อแย่งฐานแฟนคลับ ด้วยต่างรู้ว่ามีฐานเสียงเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายเสนอหรือคัดค้านกฎหมายหลายฉบับที่ผ่านมา หรือคิวขบเหลี่ยมกันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา กระทั่ง “จุดยืน” ในบางประเด็น “ละเอียดอ่อน” ที่ต่างกันสุดขั้ว ก่อเป็นความหวาดระแวงระหว่างกันในที่สุด
ก่อนนี้ไม่นาน 2 พรรคก็เพิ่งมีวิวาทะตอบโต้กันรุนแรง กับกรณี “งบกลาง” เมื่อช่วงโค้งสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณปี 2565 วาระที่ 2 ที่การลงมตินำงบประมาณที่ปรับลดจากอนุกรรมาธิการ จำนวน 16,362 ล้านบาท ไปเพิ่มเติมในส่วนของ “งบกลาง” ที่เป็นอำนาจของ “นายกฯ”
ที่ปรากฎว่า กรรมาธิการฯพรรคเพื่อไทย ดันไปลงมติเห็นดีเห็นงามกับกรรมาธิการฯฝ่ายรัฐบาล มีเพียงพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชาติ เท่านั้นที่ลงมติไม่เห็นด้วย
เป็นการจุดชนวนความขัดแย้ง เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งระหว่างกันในฝั่งของพรรคฝ่ายค้านให้รุนแรงขึ้นไปอีก
เป็นฝ่ายพรรคก้าวไกลที่ตราหน้า “พรรคข้างบ้าน” ว่า “ตีเช็คเปล่า” หรือ “เตะหมูเข้าปากประยุทธ์” ทั้งๆ ที่ถล่ม “ประยุทธ์” มาตลอดว่าบริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลว แต่กลับยัด “งบปลาง” ใส่มือให้ไปอีก และอีกไม่นานก็กำลังจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่แท้ๆ
ครั้งนั้นมีการระดม “เบอร์ใหญ่” ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล - พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตพรรคอนาคตใหม่ ร่วมผสมโรงปลุกเรา “แฟนคลับ” ให้เปิดวอร์กันด้วย
กลายเป็น “รอยร้าว” ที่ยากจะประสานแล้วเชื่อว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล จะ “เปิดวอร์” กันเอง
ทำให้ฝ่ายค้านแตกเป็นเสี่ยง แย่งทุกซีนก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้น กลายเป็นดึงความสนใจจากคนรอรับฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ กับฝ่ายรัฐบาลตอบ ต้องมานั่งคอยจ้อง ระหว่างระเบิดศึกซักฟอก พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะตีกันตรงไหนต่อ
เพราะดู “หัวเชื้อ” ที่ทิ้งไว้ ดูแล้วงานนี้หากมีใครตุกติก รบไม่สมศักดิ์ศรี มีพิรุธ ดูแล้วอีกฝ่ายพร้อมจะขยี้ เอาเรื่องมาฟ้องประชาชนบนโซเชียลมีเดียอีกแน่
อย่างไรก็ดี วัดอุณหภูมิสองแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลฟาดกันปมไร้ชื่อ “บิ๊กป้อม” มันดูคุกรุ่น เดือดดาลราวกับแค้นกันมานานนม โดยเฉพาะปมที่ “เสี่ยอ้วน” โพสต์ทวิตเตอร์สอน “หลานต๋อม”
เชื้อความไม่พอใจครั้งนี้ ไม่น่าจะเพิ่งมางอกจากปมดังกล่าว แต่ถอดสลักคำพูด “เสี่ยอ้วน” คงจะอัดอั้นมานาน เลยถือจังหวะโยนระเบิดลูกใหญ่
เพราะมีหลายวาระที่คนนอกก็จับตากันมาตลอด กับสนิมเกิดแต่เนื้อในตนในพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคหนึ่งพยายามแสดงความเป็นผู้นำ ในฐานะพรรคเบอร์หนึ่ง ได้ ส.ส.มากที่สุดในสภา กับพรรคหนึ่งที่พยายาม “วัดรอยเท้า” ก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจมหาชนซีกผ้าคลุมประชาธิปไตย ไม่เอารถถัง
ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ยังแข่งกันหาเสียงกับม็อบ 3 นิ้วมาโดยตลอด โดยเฉพาะพรรคสีส้ม ที่แทบจะโหนม็อบทุกเหตุการณ์ หวังได้คะแนนจากคนกลุ่มนี้ มีจังหวะชิงออกตัวเคียงข้างม็อบตลอด อย่างล่าสุดก็ในคิว “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล รุดลงพื้นที่หลังมีผู้ชุมนุมถูกยิง หวังซีนนี้ได้ใจพลพรรค 3 นิ้ว จนคนประชดประชันว่า ไปไวยิ่งกว่ารถกู้ภัยเสียอีก
เอาเข้าจริงอาจจะ “ถอดรหัส” มูลเหตุของความขัดแย้ง “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ว่าแท้จริงแล้วมาจากเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเดินหน้าอยู่ในขณะนี้
เพราะพรรคเพื่อไทยสนับสนุนการแก้ไขระบบเลือกตั้ง โดยให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และกำหนดให้มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ที่เป็นทิศทางเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ สวนทางกับพรรคก้าวไกลที่คดัค้านหัวชนฝา เพราะถือว่าได้อานิสงส์เต็มๆ จากระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2560 จึงไม่ต้องการกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540
ด้วยรู้ดีว่าระบบเลือกตั้งปี 40 นั้นไม่เอื้อต่อ “พรรคเล็ก” แต่เข้าทาง “พรรคใหญ่”
เมื่อพรรคเพื่อไทยสนับสนุนแนวทางเดียวกับฝ่ายรัฐบาล การแก้ไขระบบเลือกตั้งก็คงผ่านฉลุย ไม่ต่างจากการฆาตกรรม “พรรคก้าวไกล” ในทางอ้อม
รูปการณ์นี้จึงทำให้ “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ที่ควรสามัคคีกันขย่ม “เรือเหล็กประยุทธ์” ที่กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ จึงหันมา “ไฝ้ว” กันเอง ทอนกำลังของฝ่ายค้านไปในตัว
ดูแล้วคงไม่จบง่ายๆ เพราะ “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทยอย่าง “โทนี ดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ก็ชักจะไม่ไหวกับความไร้เดียงสาทางการเมืองของพรรครุ่นลูก
“ต้องใจเย็นๆ พรรคก้าวไกล ถ้าจะทำงานร่วมกันเพื่อประชาธิปไตยแล้ว อย่าใจร้อน ทะเลาะกันทำไม พวกเดียวกันทั้งนั้น ภารกิจคือ ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อต่อสู้เพื่อได้ประชาธิปไตย ไม่ใช่ด่า ประวิตร ธรรมนัส แล้วจะได้ประชาธิปไตย”
แม้คนจะมองว่า เหมือน “ทักษิณ” ออกมาห้ามทัพ แต่ในความเป็นจริงน่าจะ “กัดฟันกรอด” เหมือนกัน เพียงแต่ไปกระโตกกระต๊ากไม่ได้ เพราะคะแนนจะไหลไปฝั่งนู้น เนื่องจากต้นทุนพรรคเพื่อไทยตอนนี้ กำลังถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ซูเอี๋ย” กับรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐอยู่
ขืน “ทักษิณ” ดุ่มๆไปถือธงนำออกศึกเอง อาจยิ่งเสียคะแนน ไหลไปอยู่กับพรรคก้าวไกล จึงต้องแสดงท่าทีเป็นผู้ใหญ่ไว้ก่อน ไม่ให้โดนถอนหงอก ทั้งที่รู้ๆ กันอยู่ว่า ทุกการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยย่อมได้ “ไฟเขียว” จาก “นายใหญ่” หมด แม้แต่ท่าทีบรรดาลิ่วล้อที่ออกมาปะ ฉะ ดะ กับพรรคก้าวไกล
แต่สุดท้ายก็ “ทักษิณ” ก็ถูก “ถอนหงอก” จนได้ เมื่อ “สายตรง” ของผู้มีบารมีแห่งก้าวไกลคือ “ธนาพล อิ๋วสกุล” บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ที่เป็นเหมือนตัวแทนของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าคณะก้าวหน้า โพสต์เยาะเย้ย ถากถางคนเดือนตุลาฯ กระทบชิ่งไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ว่า... ความกระจอกของพวกเดือนตุลาฯ ที่ไปทำงานให้ “ทักษิณ” คือ การปล่อยให้ทักษิณไปเลือก “สมัคร สุนทรเวช” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชน ด้วยความคิดตื้นๆ แต่เพียงว่า จะทำให้ข้อหาล้มเจ้า ที่ฝ่ายพันธมิตรฯกล่าวหาทักษิณนั้นหายไป (แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้าย ฝ่ายเจ้าก็ถีบหัวส่งสมัคร และยุบพรรคพลังประชาชนอยู่ดี )
ที่เด็ดที่สุดก็คือประโยคที่ว่า “ปัญหาของทักษิณ ชินวัตร และบรรดาคนเดือนตุลาฯ ในกลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย คือ คิดว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมมากกว่าใครทั้งหมดในการเมืองไทย ทั้งที่ตัวเองทิ้งไพ่โง่ มาจะยี่สิบปีแล้ว”
ปรากฎการณ์ “กัดกันเอง-ตีกันเอง” ของฟากฝั่งของฝ่ายค้าน ตามคำของ “ทักษิณ” ยังถูกพิเคราะห์อย่าวงลึกซึ่งด้วยว่า อาจจะเป็น “เกม” ที่ “บิ๊กพลังประชารัฐ” เป็นผู้กำหนดด้วยซ้ำ
ด้วย “บิ๊กพลังประชารัฐ” รายที่ว่า มีความสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับ “ค่ายทักษิณ” เดิมอยู่ ล้อไปกับ “อภิมหาดีล” ตามกระแสข่าวว่า “ทักษิณ” จะกลับประเทศ แม้ที่ผ่านมาจะมีระหองระแหงกันบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ “บทตบจูบ” ที่ไม่ได้ถึงขั้น “สะบั้นสัมพันธ์” ประเภท “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” แต่อย่างใด
จนเป็นที่สังเกตว่า ท่าทีของพรรคเพื่อไทย มักโอนอ่อนลู่ลมไปตามธงของพรรคพลังประชารัฐตลอดในช่วงหลัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การวิวาทกันของ 2 พรรคร่วมฝ่ายค้าน คนที่ได้กำไรมากที่สุด คงหนีไม่พ้นรัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” และ “ผู้กองนัส” ที่หลุดโผไม่ต้องขึ้นเขียง ไม่ต้องเตรียมตัวชี้แจง ไม่ต้องนั่งให้ฝ่ายค้านด่า แถมยังได้นั่งอยู่บนภู ดู 2 พรรคฝ่ายค้านตีกันเอง เรียกว่า ได้ทั้งขึ้น ทั้งร่อง
เป็นความเหนือชั้นทางการเมือง และสะท้อนให้เห็นว่า เกมนี้ “คนกำหนดเกม” น่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐมากกว่าพรรคเพื่อไทย
ไม่ต้องดูไหนไกล แม้แต่รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกจับขึ้นเขียงแบบค้านสายตา ทั้ง “ค่ายสะตอ” ที่แทนที่จะเป็น “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ที่มีประเด็นดรามามากมาย ทั้งเรื่องในองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่ไม่ได้มีแค่ถุงมือยาง ที่กลายเป็นคดีความอยู่ หรือการควบคุมราคาสินค้า-อุปกรณืทางการแพทย์ในยามวิกฤตโควิด-19
แต่หวยก็ดันมาออกที่ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย” เจ้ากระทรวงเกษตรฯ ที่หากไม่มีเส้นสนกลภายในกระทรวง คงไร้ “ใบเสร็จ” ที่มีน้ำหนักถึงขั้นจับขึ้นเขียงอภิปรายฯ
หรือรายของ “เสี่ยเฮ้ง-เสี่ยโอ๋” รัฐมนตรี 2 คนของพรรคพลังประชารัฐที่เหมือนถูกลากขึ้น “บูชายัญ” แทน “บิ๊กเนม” มากกว่า แม้มีประเด็นส่งกลิ่น แต่ก็ไม่ถือเป็น “เป้ายุทธศาสตร์” ที่เล็งเห็นผลไปถึงการเขย่ารัฐบาลให้ล้มครืนได้
“เสี่ยเฮ้ง-เสี่ยโอ๋” ไม่ได้เป็นคีย์แมนของพรรค เป็นแกนนำระดับแถวสอง แถวสาม “เสี่ยเฮ้ง” มีชื่อถูกเลื่อยขาเก้าอี้ตั้งแต่รอบก่อน ขณะที่ “เสี่ยโอ๋” เป็นน้องใหม่ป้ายแดง ที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นรัฐมนตรี ตามลำดับลิสต์รายชื่อของ “บิ๊กป้อม”
ต่อให้กระเด็นตกเก้าอี้ก็ไม่มีผลกระทบกับพรรคพลังประชารัฐ ดีไม่ดี คนในพรรคเองจะอยากให้โดนเยอะๆ ด้วยซ้ำ เผื่อฟลุ๊ก อาการหนัก “บิ๊กตู่” จะได้ตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี ให้คนที่รอคิวได้สลับขึ้นมานั่งบ้าง
ก็เข้าทางหลายคนในพลังประชารัฐที่ภาวนาให้ “นายกฯตู่” ขยับปรับ ครม.เพื่อโอกาสในการ “อัปเกรด” เก้าอี้
การมีชื่อ 2 คนนี้ เผลอๆ ไม่ได้ใช้ข้อกล่าวหา และพฤติกรรมเป็นตัวตั้ง เผลอๆ จะเป็นเรื่องการภายในพรรคพลังประชารัฐเองด้วยซ้ำ
เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคพลังประชารัฐในรอบหลังๆ เองก็ถูกต้องข้อสังเกตว่า ถูกใช้เป็นเวทีไว้ขันน็อตพวกแกนนำที่ได้เป็นรัฐมนตรีสมใจแล้วไม่ใยดี ส.ส.และสมาชิกพรรค ไม่ต่างอะไรกับอีเวนต์กระจายรายได้ไปแล้ว
เหมือนกับครั้งก่อนที่ “เสี่ยเฮ้ง” กับ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ โดนซักฟอก แล้วต้องดิ้นหากระสุนดินดำ เพื่อไปค้ำยันเก้าอี้ตัวเอง กันถึงนาทีสุดท้ายก่อนวันโหวต
วัตถุประสงค์ซับซ้อนกันหลายชั้น ไม่ได้มีแค่การส่ง 2 คนนี้ไปรับมือรับเท้าแทน “หัวหน้าใหญ่” เท่านั้น
อย่างที่ว่ากันว่า “ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม” นั่นแหละ
สาดส่องใน “ค่ายพลังประชารัฐ” คนวางแผน คนตัดสินใจ คนเคาะโต๊ะ คนมีเพาเวอร์จัดบัญชีข้ามพรรคระดับนี้ ไม่น่าจะเดากันยาก.