xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เรดการ์ด (3) การวิพากษ์บุคคล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 นอกจากจะเปลี่ยนวัตถุธรรมต่างๆ ให้เป็นซ้ายแล้ว เรดการ์ดยังจะเปลี่ยนให้บุคคลในทุกแวดวงเป็นซ้ายด้วยเช่นกัน ฉะนั้น บุคคลใดที่ไม่เป็นซ้ายหรือเป็นแล้วแต่เรดการ์ดเห็นว่ายังไม่เป็น เรดการ์ดก็จะจัดการให้เป็น 

 การจัดการกับบุคคลในกรณีดังกล่าวเรียกว่า การวิพากษ์ 


คำว่า วิพากษ์ แปลว่า พิจารณาตัดสิน และมักใช้คู่กับคำว่า วิจารณ์ ที่แปลว่า ตรอง ใคร่ครวญ คิด ตรวจตรา สืบสวน ฯลฯ ดังที่เราเห็นและใช้เป็นปกติในคำว่า วิพากษ์วิจารณ์ แต่การที่จีนใช้เฉพาะคำว่า วิพากษ์ ย่อมแสดงว่าการวิพากษ์จะต้องแตกต่างไปจากความหมายที่เราเข้าใจกัน

เพราะในทางปฏิบัติแล้ว การวิพากษ์ของเรดการ์ดยังหมายถึงการทำลายและทำร้ายทางร่างกายและจิตใจของผู้ที่ถูกวิพากษ์อีกด้วย

ดังนั้น เมื่อเรดการ์ดเล็งเห็นว่า การวิพากษ์บุคคลคือภารกิจหนึ่งในการปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว เรดการ์ดก็ลงมือปฏิบัติการทันที แน่นอนว่า บุคคลกลุ่มแรกย่อมต้องเป็นบรรดาผู้นำที่เรดการ์ดเห็นว่ากำลังเดินบนหนทางศักดินานิยมหรือทุนนิยม

เนื่องจากบุคคลระดับผู้นำที่ถูกเรดการ์ดเล่นงานมีเป็นจำนวนมาก ในที่นี้จึงขอเลือกเอาเฉพาะบางคนมากล่าวถึง

 บุคคลที่พึงกล่าวถึงคือ หลิวเซ่าฉี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ตกเป็นเป้าหมายของเรดการ์ดในอันดับต้นๆ โดยเรดการ์ดได้บุกเข้าไปจับตัวเขาถึงทำเนียบจงหนันไห่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง 

เมื่อจับกุมแล้วก็บีบบังคับให้เขาวิจารณ์ตนเอง หรือยอมรับว่าได้เดินหนทางทุนนิยมหรือศักดินานิยม แต่เขาได้แต่เอ่ยว่า ตนไม่มีอะไรจะพูดและไม่มีอะไรที่จะวิจารณ์ ความหมายของเขาก็คือ ที่ผ่านมาตนทำหน้าที่ประธานาธิบดีตามปกติ และตามนโยบายของ พคจ. ตนจึงไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อเป็นเช่นนี้เรดการ์ดจึงลงโทษเขาด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อบังคับให้เขาวิจารณ์ตนเองให้ได้ แต่เขาได้แต่นิ่งเงียบ

ระหว่างที่เรดการ์ดกระทำต่อหลิวเซ่าฉีอยู่นั้น เรดการ์ดได้บังคับให้ลูกๆ ของเขามานั่งดูอยู่ด้วย และเมื่อเขาไม่พูดอะไรอีก เรดการ์ดจึงได้นำตัวเขาไปลงโทษในที่ที่ไม่เปิดเผยอยู่นานนับปี จนกระทั่งโรคประจำตัวรุมเร้าเพราะขาดการรักษา ซ้ำร้ายยังมีโรคใหม่เข้ามาแทรกซ้อนจนอาการทรุดหนักเกินเยียวยา และเสียชีวิตเยี่ยงคนไข้อนาถาในที่สุด

ส่วน  หวังกวางเหม่ย  ภรรยาของหลิวเซ่าฉีก็ถูกเรดการ์ดเล่นงานเช่นกัน โดยเรดการ์ดใช้วิธีบีบบังคับไม่ต่างกับที่กระทำต่อสามีของเธอ ทั้งยังตั้งข้อกล่าวหาเธอว่านิยมสหรัฐอเมริกาอีกด้วย (ขณะนั้นจีนถือสหรัฐฯ เป็นศัตรู) ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ชื่อของเธอบ่งบอกเช่นนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่มาว่า หวังกวางเหม่ยเกิดที่สหรัฐอเมริกา และด้วยเหตุที่ว่านี้บุพการีของเธอจึงนำเอาชื่อสหรัฐฯ ตามที่จีนเรียกคือ เหม่ยกว๋อ  มาตั้งเป็นชื่อของเธอว่า เหม่ย เพียงเท่านี้เรดการ์ดก็นำมากล่าวหาเธอแล้ว

แน่นอนว่า สำหรับหวังกวางเหม่ยหรือไม่ว่าใครก็ตาม ข้อกล่าวหานี้ย่อมเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ข้อกล่าวหาก็มิได้มีเพียงเรื่องนี้ หากยังมีอีกหลายเรื่องสุดแท้แต่เรดการ์ดจะหยิบยกมา รวมถึงเรื่องที่เธอเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียกับหลิวเซ่าฉีเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในปี ค.ศ.1963

เรื่องดังกล่าวมีอยู่ว่า การไปเยือนครั้งนั้นมีอยู่วาระหนึ่งหวังกวางเหม่ยได้แต่งชุดฉีเผา (กี่เผ้า) และสวมสร้อยไข่มุกคล้องคอเดินเคียงคู่กับหลิวเซ่าฉี ภาพนี้ถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ทั่วโลกและในจีน และได้รับคำชื่นชมถึงความสง่างามสมกับที่เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของจีน

เรดการ์ดหยิบเอาการแต่งตัวเช่นนั้นของหวังกวางเหม่ยมากล่าวหาว่า หวังแต่งตัวแบบศักดินาหรือชนชั้นกระฎุมพี จากนั้นก็จับเธอมาแต่งตัวด้วยชุดฉีเผาที่คับติ้ว บังคับให้เธอใส่ถุงเท้ายาวสีขาวเหมือนกับที่หญิงตะวันตกนิยมใส่กัน และนำลูกปิงปองที่ร้อยเป็นพวงมาคล้องคอของเธอแทนสร้อยมุก

จากนั้นเรดการ์ดก็นำเธอไปแห่ประจาน จากนั้นก็นำตัวเธอไปยังมหาวิทยาลัยชิงฮว๋าแล้วบังคับให้เธอวิจารณ์ตนเอง เมื่อไม่เป็นผลเรดการ์ดจึงนำตัวเธอไปคุมขังเอาไว้นานถึงแปดปีโดยไม่มีความผิด เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่หวังกวางเหม่ยถูกกระทำก่อนถูกคุมขังนั้นก็คือ การด้อยค่าเธอให้สูญสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างถึงที่สุด

กรณีหลิวเซ่าฉีและหวังกวางเหม่ยจากที่เล่ามานี้เป็นเพียงตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่า การวิพากษ์ ทั้งที่จริงแล้วก็คือ การทำลายบุคคลทางร่างกายและจิตใจอย่างอำมหิตและเลือดเย็น ที่สำคัญ เรดการ์ดทำเช่นนี้กับทุกคนที่ถูกกล่าวหา และทำโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม

เมื่อ “วิพากษ์” บุคคลระดับผู้นำทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นจนเป็นที่พอใจแล้ว เรดการ์ดก็หันไปเล่นงานบุคคลในระดับประชาชนทั่วประเทศ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างมาหนึ่งเรื่อง

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่เกิดมาในตระกูลเก่าแก่ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ครั้นเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นมา เด็กหนุ่มคนนี้ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมก็อยากเป็นเรดการ์ดบ้าง จึงไปขอเข้ากลุ่มเรดการ์ดในถิ่นที่ตนอยู่

ก่อนจะเข้ากลุ่มเรดการ์ดได้สร้างประเพณีเอาไว้ว่า ทุกคนจะต้องวิจารณ์ตนเองก่อนว่าเคยมีความคิดและพฤติกรรมแบบศักดินาหรือทุนนิยมหรือไม่ เด็กหนุ่มคนนี้จึงวิจารณ์ตนเองว่าตนเคยเป็นเช่นนั้นจริง เพราะครอบครัวของตนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เคยเป็นชนชั้นผู้ดีมาก่อน

ตนจึงเกิดและโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องลายคราม ภาพเขียนโบราณ ภาพลายพู่กันจีน หนังสือโบราณ เป็นต้น ตนถูกอบรมบ่มเพาะให้รู้ถึงคุณค่าของมรดกเหล่านี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณค่าของศักดินาทั้งสิ้น

ความรู้สึกนึกคิดของตนจึงเป็นศักดินานิยม

เด็กหนุ่มประกาศว่า หากตนได้เข้ากลุ่มเรดการ์ดแล้ว ตนจะเดินไปสู่หนทางสังคมนิยมอย่างซื่อสัตย์และจะจงรักภักดีต่อประธานเหมา เมื่อหัวหน้าเรดการ์ดได้ฟังเช่นนั้นก็ให้เด็กหนุ่มพิสูจน์ด้วยการนำเหล่าเรดการ์ดไปยังบ้านของตน เพื่อ “วิพากษ์” ผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กหนุ่มเอง

ด้วยความที่อยากจะเป็นเรดการ์ด เด็กหนุ่มจึงพาเหล่าเรดการ์ดไปยังบ้านของตน แล้วขอให้พ่อแม่ของตนวิจารณ์ตนเองดังที่ตนได้ทำไปแล้ว แต่ทั้งพ่อและแม่ตกอยู่ในอาการตกใจด้วยนึกไม่ถึงว่าลูกของตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกทำ ทั้งพ่อและแม่จึงไม่ทำอย่างที่ลูกและเรดการ์ดต้องการ

 เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เป็นลูกจึงใช้วิธีบังคับโดยร่วมกับเพื่อนเรดการ์ดช่วยกันกดตัวผู้เป็นพ่อและแม่ให้คุกเข่าลง จากนั้นเด็กหนุ่มก็ทำการ “วิพากษ์” ด้วยการด่าทอพ่อแม่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ว่าเป็นศักดินาบ้าง เป็นผู้ที่ทำให้ตนมีความคิดแบบศักดินาบ้าง และขอให้พ่อแม่วิจารณ์ตนเองให้ได้ ฯลฯ 

แต่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ได้แต่ก้มหน้านิ่งเฉยในท่าที่กำลังคุกเข่า

 เมื่อไม่ได้ดังใจ เด็กหนุ่มจึงนำพวกเรดการ์ดบุกเข้าไปในบ้านของตน ขนเอามรดกเก่าแก่ของตระกูลทั้งหมดดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นมากองอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ พร้อมกับประกาศว่า นี่คือสิ่งอันเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของศักดินาที่พ่อแม่ใช้หล่อหลอมตนให้เป็นศักดินา จากนั้นทั้งเด็กหนุ่มและเพื่อนเรดการ์ดต่างก็ช่วยกันเผาทำลายโบราณวัตถุเหล่านั้นด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิม 

เมื่อมรดกตกทอดที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มอดไหม้กลายเป็นจุณแล้ว เด็กหนุ่มซึ่งตอนนี้ได้เป็นเรดการ์ดโดยสมบูรณ์แล้วก็ประกาศต่อพ่อแม่ของตนว่า ตนและสหายเรดการ์ดจะบุกไปยังบ้านอื่นเพื่อทำการวิพากษ์ต่อไป หวังว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น พ่อกับแม่คงจะได้สำนึกผิดว่าตนเป็นศักดินาจริง แล้วหันมาเดินบนเส้นทางสังคมนิยมเหมือนตน

จากนั้นเด็กหนุ่มและสหายเรดการ์ดก็บุกไปยังบ้านอื่นต่อไป

พอตกเย็นหลังเสร็จสิ้นภารกิจวิพากษ์แล้ว เด็กหนุ่มก็กลับมายังบ้านด้วยจิตใจที่เปี่ยมสุขและกระหยิ่มยิ้มย่องในสิ่งที่ตนได้ทำไป และภูมิใจที่ตนได้เป็นเรดการ์ดอย่างสมบูรณ์ เขาหวังว่าพ่อและแม่คงจะได้สำนึกผิดแล้ว

 ครั้นก้าวเข้าไปในบ้าน สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นก็คือ พ่อแม่ของตนได้ผูกคอตายไปแล้ว 




กำลังโหลดความคิดเห็น