ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เมื่อได้รับอาณัติสัญญาณให้ “ถล่มกองบัญชาการ” จากเหมาเจ๋อตงแล้ว เรดการ์ดจึงได้ลงมือปฏิบัติการกับสิ่งที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ การเข้าไปจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรดการ์ดเห็นว่า “มิใช่สังคมนิยม” ให้ “เป็นสังคมนิยม”
กล่าวโดยสั้นคือ อะไรที่ไม่ใช่ “ซ้าย” ก็ทำให้มันเป็น “ซ้าย” นั้นเอง
ปฏิบัติการนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อของเหมาที่ว่า การที่บุคคลออกนอกเส้นทางสังคมนิยมก็เพราะบุคคลนั้นยังมีสิ่งเก่าตกค้างอยู่ในความคิด และความคิดที่ว่านี้คือ ความคิดศักดินาหรือทุนนิยมหรือทั้งสองความคิดรวมกัน ซึ่งถือเป็นสิ่งเก่า
เหมาเชื่อว่า หากชำระสิ่งเก่าออกไปจากความคิดของบุคคล บุคคลนั้นก็จะมีความคิดใหม่ และหากความคิดเก่าคือ ความคิดศักดินานิยมและทุนนิยมแล้ว ความคิดใหม่ก็คือ ความคิดสังคมนิยม
เหตุฉะนั้น การชำระสิ่งเก่าก็คือ การชำระความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า และวิธีการชำระก็คือ การวิพากษ์สิ่งเก่านี้อย่างถึงที่สุดและอย่างเป็นรูปธรรม นั่นก็ย่อมหมายความว่า ชื่อถนน วัดวาอาราม นิสัยหรือความเคยชินของบุคคล การแต่งตัว ค่านิยม ความเชื่อ และกิริยามารยาท ฯลฯ แบบเดิมจึงต้องถูกวิพากษ์
จากเหตุนี้ เมื่อเรดการ์ดกระจ่างชัดแล้วว่า การชำระสิ่งเก่าคือการวิพากษ์ เหล่าเรดการ์ดจึงเข้าไปจัดการเปลี่ยนชื่อถนนจากเดิมเป็นชื่อใหม่ เช่น ถนนฉังอันในปักกิ่งก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นถนนบูรพาแดง (ตงฟังหง) ชื่อโรงพยาบาลทงเหญินก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นโรงพยาบาลกรรมกร-ชาวนา-ทหาร เป็นต้น
เสื้อผ้าที่แต่เดิมมีหลากสีสันและแบบ ก็ถูกเปลี่ยนให้เหลือเพียง 3-4 สีใส่วนกันไป ซึ่งมีสีดำ เทา ขาว กรมท่าหรือน้ำเงินเข้ม ส่วนกิริยามารยาทที่ชาวจีนได้รับการอบรมสั่งสอนและถือปฏิบัติมานานนับพันปีนั้น ก็ถูกตราว่าเป็นกิริยามารยาทของศักดินา ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนให้เป็นกิริยามารยาทของชนชั้นกรรมาชีพ
ด้วยเหตุนี้ การแต่งกายของชาวจีนจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นสีแบบที่ว่า และจะมีแบบของเสื้อผ้าเพียงไม่กี่แบบ โดยที่แทบหายไปก็คือ กระโปรงของสตรี ที่มีผู้สวมใส่น้อยลง ส่วนใหญ่จะหันไปใส่กางเกงขายาวแทน ยิ่งร้านเสริมสวยด้วยแล้วย่อมถูกถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยไร้สาระ และมีที่ทางให้ได้เสริมสวยเฉพาะนักแสดง
ส่วนกิริยามารยาทที่เคยงดงาม สุขุม และสำรวม ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นกิริยามารยาทของชนชั้นกรรมาชีพ นั่นคือ เปลี่ยนมาเป็นกิริยามารยาทที่แข้งกร้าว ขึงขัง และหยาบกระด้าง ซึ่งถือเป็นกิริยามารยาทปกติของชนชั้นกรรมาชีพ อันเป็นชนชั้นที่ก้าวหน้าที่สุดของสังคม
นอกจากนี้ เรดการ์ดยังบุกเข้าทำลายโบราณสถานหลายแห่งทั่วประเทศ โบราณสถานที่รอดเงื้อมมือของเรดการ์ดมาได้อย่างเช่น พระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งนั้น เป็นเพราะกองทัพได้ส่งกองกำลังเข้าควบคุมได้ทันกาล หาไม่แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่าจะถูกเรดการ์ดเผาจนสิ้นซาก ไม่เหลือให้เห็นดังทุกวันนี้
ในเมื่อสามารถทำลายโบราณสถานได้ก็ย่อมหมายความว่า วัตถุโบราณในบางที่ที่ถูกเก็บไว้ใกล้เคียงกับโบราณสถานก็ถูกทำลายไปด้วย บางที่โชคดีมีเจ้าหน้าที่แอบเอาไปซ่อนไว้ได้ทันกาลก็รอดมาได้
การทำลายโบราณสถานนี้มิได้หมายเฉพาะโบราณสถานที่เป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างเพียงเท่านั้น หากยังรวมถึงโบราณสถานที่เจาะหรือแกะสลักจากภูเขาอีกด้วย หากเป็นกรณีนี้ก็จะถูกทำลายด้วยการทุบทำลายพระพุทธรูปให้เสียหาย
ฉะนั้น ใครที่ได้ไปทัศนศึกษาในสถานที่เหล่านี้แล้วเห็นรูปแกะสลักหลายแห่งแหว่งวิ่นไม่เป็นรูป ก็ขอให้เข้าใจได้ว่านั่นเป็นเพราะฝีมือของเรดการ์ดที่ปฏิเสธศาสนา เพราะศาสนาคือยาพิษสำหรับชาวคอมมิวนิสต์
เมื่อเรดการ์ดปฏิเสธศาสนา วัดวาอารามก็ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน วัดวาอารามโบราณจำนวนไม่น้อยที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปะ วิธีการทำลายที่มักทำกันคือ การรื้อป้ายชื่อของวัด โบสถ์วิหาร และพระพุทธรูปหรือรูปเคารพ ลงมาทุบทำลายจนแหลกลาญ
ส่วนนักบวชในทุกนิกายหรือศาสนาต่างก็ถูกควบคุมตัวมาประจานในที่สาธารณะ แล้วทำการประณามหรือด่าทออย่างรุนแรงว่าเป็นกาฝากของสังคม จากนั้นนักบวชเหล่านี้จะถูกส่งตัวไปใช้แรงงานในชนบท เพื่อหล่อหลอมตนเองให้รู้จักการใช้แรงงาน เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นชนชั้นกรรมาชีพต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น สุสานโบราณของจักรพรรดิบางพระองค์ ขุนนางที่มีชื่อเสียงบางคน หรือนักปราชญ์อย่างขงจื่อ ล้วนถูกเรดการ์ดขุดรื้อขึ้นมาทำลาย พระศพและศพก็ไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน พระศพของจักรพรรดิบางพระองค์ที่เหลือแต่โครงกระดูกถูกเรดการ์ดนำมาทุบทำลายจนป่น จากนั้นก็สุมฟืนแล้วจุดไฟเผาให้เป็นจุณ
โบราณสถานที่ไม่รอดเงื้อมมือของเรดการ์ดอย่างแน่นอนก็คือ กำแพงเมืองโบราณที่มีอยู่ในทุกเมืองทุกมณฑล ต่างก็ถูกเรดการ์ดทุบทำลายจนสิ้น จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เหลือรอดมาได้
มีเรื่องเกี่ยวกับวัตถุโบราณบางชิ้นที่เหลือรอดมาได้ที่ควรเล่าไว้ในที่นี้เรื่องหนึ่งคือ มงกุฎและเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ของจักรพรรดิวั่นลี่ (ค.ศ.1563-1620) แห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ว่าที่รอดมาได้ก็เพราะว่า หลังจากเรดการ์ดทำลายพระศพของจักรพรรดิและจักรพรรดินีแล้ว ก็มุ่งที่จะทำลายมงกุฎและเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ที่ขุดค้นพบในสุสานของพระองค์ต่อไป
เรดการ์ดจึงบุกไปยังห้องที่เก็บโบราณวัตถุชุดนี้ทันที และเมื่อไปถึงก็ถามหาจากนักการภารโรงของสถานที่นั้น นักการภารโรงซึ่งเป็นหญิงวัยรุ่นตอบว่า เธอไม่เห็นและว่าโบราณวัตถุที่ว่าไม่ได้เก็บไว้ในที่นี้
เมื่อเรดการ์ดได้ฟังดังนั้นก็เชื่อในคำพูดของนักการภารโรงหญิง ด้วยเห็นว่า การที่เธอเป็นนักการภารโรงก็ย่อมเท่ากับเธอสังกัดชนชั้นกรรมาชีพ และชนชั้นกรรมาชีพไม่ใช่คนโกหกหลอกลวง จากนั้นเรดการ์ดก็กลับออกไป
ความจริงก็คือว่า นักการภารโรงหญิงวัยรุ่นคนนี้ได้นำโบราณวัตถุดังกล่าวไปซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด และเก็บซ่อนเอาไว้เช่นนั้นโดยไม่ปริปากบอกใครเป็นเวลานานนับสิบปี จนแน่ใจว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ เธอจึงได้เปิดเผยความจริงออกมา
วีรกรรมของเธอจึงได้รับการยกย่อง เพราะเป็นวีรกรรมที่เสี่ยงต่อความตายอย่างยิ่งหากถูกเรดการ์ดจับได้
การทำลายสิ่งเก่าเกิดขึ้นทั่วประเทศ และดำเนินยาวนานนับปี หรือตราบจนเรดการ์ดเห็นว่าไม่เหลือสิ่งเก่าให้ทำลายอีกแล้ว ปฏิบัติการทำลายสิ่งเก่าจึงค่อยๆ ทุกเลาลง แต่หากมีใครถูกจับได้ว่ายังปกปักษ์รักษา “สิ่งเก่า” ที่เป็นโบราณวัตถุเอาไว้ คนนั้นก็จะถูกเรดการ์ดลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ ส่วนโบราณวัตถุชิ้นนั้นก็ถูกนำไปทำลาย
การทำลายสิ่งเก่าดังกล่าวของเรดการ์ดในทุกที่เป็นไปด้วยเหตุที่ว่า เพราะสิ่งเก่าเหล่านี้ถูกตราว่า เป็นผลผลิตและสัญลักษณ์ของศักดินาที่เป็นปฏิปักษ์กับสังคมนิยม มันจึงไม่ควรมีที่เพื่อขัดขวางการเจริญเติบโตของสังคมนิยมและสมควรที่จะถูกทำลาย
จากเหตุนี้ นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ที่กำลังขุดค้นและศึกษาโบราณสถานที่ถูกค้นพบใหม่ในขณะนั้น จึงเท่ากับกำลังส่งเสริมการมีอยู่ของศักดินา เมื่อเรดการ์ดคิดเห็นเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่า นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเป็นผู้ส่งเสริมการมีอยู่ของศักดินาไปด้วย
เหตุดังนั้น นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจึงไม่เพียงถูกเรดการ์ดสั่งให้ยุติการขุดค้นเท่านั้น (ซึ่งเป็นหน้าที่ของบุคคลเหล่านี้ในฐานะข้าราชการ) หากยังถูกเรดการ์ดวิพากษ์กดดันจนชีวิตตกอยู่ในความทุกข์ระทม นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนจึงผูกคอตายให้ตนเองพ้นทุกข์
อย่างไรก็ตาม ควบคู่ไปกับการทำลายสิ่งเก่าจากที่กล่าวมา เรดการ์ดยังได้ทำลายบุคคลอีกไม่น้อยที่ถูกตราหน้าว่าฝักใฝ่ศักดินาหรือทุนนิยมอีกด้วย โดยเรดการ์ดเริ่มจากบุคคลที่เป็นผู้นำระดับชาติ จากนั้นก็เป็นผู้นำระดับท้องถิ่น
การทำลายบุคคลของเรดการ์ดภายใต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้น ไม่ได้อิงกับกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างไร ทั้งๆ ที่เวลานั้นจีนเองก็มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้วเช่นกัน การลงโทษของเรดการ์ดจึงอิงกับความพอใจส่วนตัวมากกว่าที่จะอิงกับหลักยุติธรรม
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ศาลเตี้ย