"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
วิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น และไม่คิดว่า จะรุนแรงมากขนาดนี้ คือ คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปกว่า 4.3 ล้านคนแล้ว ภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง และยังเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะการระบาดที่ดูเหมือนว่า จะควบคุมได้ กลับมาระบาดระลอกใหม่จากไวรัสกลายพันธุ์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
นอกจากสูญเสียชีวิตแล้ว โควิดยังทำให้เศรษฐกิจโลกพังทะลายไปในพริบตา ชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั้งโลกพลิกผันจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง
นี่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่า โลกมนุษย์จะเจริญก้าวหน้าเพียงใด เมื่อเผชิญกับศัตรูหน้าใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มนุษย์ช่างอ่อนแอ เปราะบาง ไม่สามารถรับมือกับภัยจากโรคระบาดได้ทันท่วงที
โควิด-19 รุนแรง น่ากลัว แต่ยังมีมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกในช่วงเวลาไม่เกินสิ้นศตวรรษนี้ และความจริงก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีแล้ว ในบางส่วนของโลก นั่นคือ ภัยธรรมชาติ อันเกิดจากภาวะโลกร้อน ที่มนุษย์รับรู้ว่า จะเกิดขึ้น แต่ยังไม่ตระหนักถึงผลที่ตามมา และยังคิดว่า อีกนานกว่าจะเห็น
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC – Intergovernmental Panel on Climate Change) ของสหประชาชาติ เผยแพร่รายงาน ผลสรุปการศึกษาเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมและภูมิอากาศโลกที่ผ่านมาทั้งหมด รวมทั้งคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
รายงานความยาว 42 หน้ากระดาษนี้ใช้เวลาจัดทำถึง 8 ปี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและครอบคลุมจากการประเมินงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 14,000 ชิ้น โดยชี้ให้เห็นสภาพการณ์ที่เลวร้ายลงในหลายด้าน ซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์
ข้อสรุปของรายงานคือ มนุษย์แทบจะไม่มีหวังในการแก้ปัญหาโลกร้อนได้เลย กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้ทำให้โลกเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายพันปีที่ผ่านมา ซึ่งผลกระทบหลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่อาจจะแก้ไขให้หวนคืนสู่สภาพเดิมได้อีก
รายงานฉบับนี้ ออกมาล่วงหน้า 90 วัน ก่อนการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของยูเอ็น ครั้งที่ 26 (COP 26X ที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ วันที่ 31 ตุลาคม-12 พฤศจิกายนนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุมนี้ว่า มหันตภัยที่เกิดจากโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้าไม่รีบดำเนินการลดอุณหภูมิโลกอย่างจริงจัง และจริงใจ ความพินาศจะมาเยือนอย่างแน่นอน
ในรายงาน ระบุว่า อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมหรือระหว่างปี 1850-1900 อยู่ราว 1.09 องศาเซลเซียส โดยนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 มาจนถึงปัจจุบัน อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าช่วงกึ่งศตวรรษใดๆ ในรอบ 2,000 ปีก่อนหน้านี้
ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โลกมีอากาศร้อนทำลายสถิติสูงสุดที่เคยบันทึกไว้นับตั้งแต่ 170 ปีก่อน รวมทั้งคลื่นความร้อนและสภาพอากาศร้อนจัดสุดขั้วก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา ในขณะที่สภาพอากาศหนาวเย็นเริ่มหายไป
ระดับน้ำทะเลในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบกับสถิติของช่วงปี 1901-1971 ส่วนการลดลงของปริมาณน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติก และการหดหายละลายตัวของธารน้ำแข็งทั่วโลกตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ล้วนปรากฏชัดว่าเป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์ถึง 90%
สภาพการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบที่เลวร้ายเกินกว่าที่เคยคาดกันไว้หลายประการ โดยภายในเวลาไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับว่าเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวตามความตกลงปารีส มีแนวโน้มอย่างมากที่จะไม่เป็นผลสำเร็จ เว้นแต่ทุกชาติจะร่วมกันทุ่มเททรัพยากรทุกด้านอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อแก้ปัญหาในทันที
สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอีกประการหนึ่ง ก็คือเขตอาร์กติกจะไม่มีน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนหรือเดือนกันยายน ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนถึงปี 2050 สภาพอากาศแบบสุดขั้วเช่นฝนตกหนักจนน้ำท่วมและความแห้งแล้งรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ จะปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ แม้อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้วก็ตาม
สภาพอากาศผิดปกติที่เกิดจากไฟป่าครั้งใหญ่จะพบได้มากขึ้นในหลายภูมิภาคของโลก ส่วนการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของระดับน้ำทะเลอย่างรุนแรง ชนิดที่ในอดีตจะพบได้เพียงครั้งเดียวในรอบศตวรรษนั้น ภายในปี 2100 จะพบเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทุกปี ที่จุดตรวจวัดกระแสน้ำกว่าครึ่งของที่นักวิทยาศาสตร์ได้วางเอาไว้ทั่วโลก โดยมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เมตรก่อนสิ้นศตวรรษนี้ และเพิ่มขึ้น 5 เมตร ภายในปี 2150 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จะมีประชาชนผู้อยู่อาศัยตามแนวชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคน
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติแถลงว่า รายงานของ IPCC ที่เผยแพร่ออกมาล่าสุดนี้ เปรียบเสมือน “สัญญาณเตือนสีแดง” สำหรับมนุษยชาติ
กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกันเสียแต่บัดนี้ เพื่อขจัดปัดเป่าหายนะภัยจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ซึ่งผู้นำของชาติต่างๆ ควรจะนำข้อมูลจากรายงานข้างต้นไปวางแนวทางแก้ปัญหาเสียใหม่ เพื่อผลักดันให้การประชุมสุดยอดด้านภูมิอากาศ COP26 ที่มุ่งแก้ไขภาวะโลกร้อน ประสบความสำเร็จ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้จัดทำรายงานของ IPCC แสดงความเห็นว่า แม้สภาพการณ์โดยทั่วไปจะเลวร้าย แต่ก็ยังคงมีความหวังว่าชาติต่างๆ จะตัดลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากระดับปัจจุบันลงได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และหยุดปล่อยคาร์บอนได้อย่างสมบูรณ์ (net zero) ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงจุดดังกล่าว อุณหภูมิโลกจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกต่อไป และมีโอกาสจะทำให้กลับคืนสู่ระดับที่เย็นลงได้