xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“3 ป.” แพ้ศึก “ปลัด มท.” “บิ๊กเก่ง” ณ “โคกหนองนา” มาวิน ขั้วอำนาจเวลาคลองหลอดพลิกโผครั้งมโหฬาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยาแรงขั้นสูงสุด ล็อคดาวน์-เคอร์ฟิว จาก 13 จังหวัด เป็น 16 จังหวัด และล่าสุด 29 จังหวัด แต่ดูเหมือนเจ้าวายร้าย “โควิด-19” จะไม่ยี่หระ ยอดติดเชื้อเกิน 2 หมื่นราย ยอดตายปาเข้าไปเกือบ 200 คนต่อวัน

เสียงวิพากษ์ดังสนั่น “ปิดบ้าน-ล้อมเมือง” ไปก็เท่านั้น ในเมื่อไม่มีการปูพรมตรวจเชิงรุกหาผู้ติดเชื้อให้สอดคล้องกับมาตรการ อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาระดมฉีดอย่างทันท่วงที

วิกฤตหนักข้อ ด้วยการบริหารที่บ้อท่า ไร้ความเด็ดขาด ของ “ซิงเกิลคอมมานด์” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) ที่ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ” ไว้ที่ตัวเอง แต่สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น มีแต่ “ดิ่ง-ดาวน์”

ส่วน “วัคซีน” ที่เปรียบเสมือน “ถังออกซิเจน” ยื้อชีวิตของรัฐบาล ตาม “วาระแห่งชาติ” ของรัฐบาล ฉีดวัคซีนทั่วประเทศให้ได้ 100 ล้านโดส ครอบคลุมคนไทยอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือคิดเป็น 70% ของจำนวนประชากร ภายในสิ้นปี 2564 ที่ตัวเลขล่าสุด 5 ส.ค. มีผู้ได้รับวัคซีนสะสมทั้งหมดแล้วราว 18.5 โดส

ถือว่ายังห่างไกลความเป็นจริง ทั้งในแง่ของเวลาแค่ 5 เดือนกับการต้องระดมฉีดให้ได้มากกว่า 80 ล้านโดส หรือมากกว่าวันละ 5 แสนโดส

อุปสรรคสำคัญอยู่ที่ปริมาณ “วัคซีน” ที่รัฐบาลจัดหาได้ เพราะจนถึงตอนนี้ตัวเลขวัคซีนที่ต้องจัดหาให้ได้ 100 ล้านโดสเฉพาะของปีนี้ ก็ไร้ความแน่นอน

ทั้งวัคซีนหลัก “แอสตราเซนเนกร้า” ที่คลาดเคลื่อนผิดแผนจนทำให้รวนไปทั้งระบบ ตัวช่วยอย่าง “ไซเฟอร์” ที่ได้รับบริจาคมา 1.5 ล้านโดสเศษ ไม่ทันไรก็ทำเสียรังวัด เพราะเกิดความหวาดระแวงว่าอาจไม่ตกถึง “บุคลากรด่านหน้า” ตามแผน แต่ไปปักแขน “บุคลากรหน้าด้าน” แทน

แทบไม่ต้องพูดถึง “สัญญาประชาคม” ที่อยู่ในช่วงเคาท์ดาวน์-นับถอยหลัง วาระ “120 วันเปิดประเทศ” ที่ “บิ๊กตู่” แถลงการณ์ลั่นวาจาไว้เองเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ว่าจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศ ให้ได้ภายใน 120 วัน

หากนับตามวันประกาศ ก็เหลือเวลาราว 70 วัน หรือช่วงกลางเดือนตุลาคม 2564

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็เคยแก้เกี้ยวไปแล้วว่า คำประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน ต้องนับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ที่เป็นวันเปิดโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”

นับแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดจะครบกำหนดเปิดทั้งประเทศในอีก 4 เดือนนับจากนั้น หรือวันที่ 1 พฤศิจิกายน 2564

ทว่าดูจากสถานการณ์ขณะนี้แล้วบอกได้เลยว่า “ยาก” จนถูกค่อนขอดว่า กำหนด 120 วันอย่าว่าแต่เปิดประเทศเลย ปลดล็อกดาวน์ทั่วประเทศให้ได้ก่อนดีกว่า

เครดิตรัฐบาลติดลบ คนเสื่อมศรัทธาผู้นำ หยิบจับอะไรผู้คนก็ไม่เชื่อถือ

ยามนี้ “นายกฯ WFH” คงใช้เวลาส่วนใหญ่ นั่ง Pray From Home สวดมนต์ภาวนาอยู่บ้าน หวังพึ่ง “ปาฏิหาริย์-สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เท่านั้น

พูดกันตามหน้าเสื่อ เหลือแค่ “ฟลุ๊ก” ที่จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศเบาบางลงได้

แต่ถึงเมาหมัดออกอาการ ตุปัดตุเป๋ เดินโซเซแต่ไหน แต่ไม่ยอมโดน “น็อก” ง่ายๆ

กลายเป็น “ตู่” ปัด “ตู่” เป๋ แทน “ปัด” ทุกอย่างที่เป็นความผิด คิดอะไรไม่ออกโทษประชาชนไม่ร่วมมือไว้ก่อน “เป๋” ด้วยสถานการณ์ที่อาจพูดได้ว่า “เกินปัญญา” ที่จะรับมือ

ทำเอาเกิดปรากฎการณ์ “สามัคคีเฉพาะกิจ” ทุกสีเสื้อ-ทุกช่วงวัย เลิกเห็นต่าง หันมาเห็นพ้อง ร่วมกัน “ไล่ลุง” ตะเพิดให้ลาออก-ยุบสภา ไม่เช่นนั้นประเทศชาติบ้านเมือง “เรือหาย” ยิ่งกว่านี้แน่

กลายเป็นผลงานเอกอุของ “ลุงตู่” ทำคนไทยสามัคคีกันได้ (ชั่วคราว)

เหลือเชื่อที่ว่าถึง “บิ๊กตู่” จะหมดสภาพโซซัดโซเซขนาดไหน สถานการณ์ภายใน “พรรคร่วมรัฐบาล” กลับยังไม่ถึงจุด “เห็บหมากระโดด” เพราะถึงตรงนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดๆ ว่าต้องการปรับหัว เปลี่ยนตัวละครใหม่

แม้จะ “ขบเหลี่ยมเฉือนคม” กันภายในออกมาเป็นระยะๆ ก็ตาม

จู่ๆ ก็มีการปล่อยภาพ “บิ๊กตู่” ล้อมวงพูดคุยกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เชิงบันไดทางขึ้นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ภายในบริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ออกสู่สาธารณะ

พร้อมมี “บรรยายภาพ” ที่ส่ง “หลังไมค์” มาด้วยว่า “นายกฯ ได้ยืนพูดคุยกับนายอนุทิน นายจุรินทร์ และ นายวราวุธ อย่างเป็นกันเอง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น แม้ระยะหลังจะมีกระแสข่าวความขัดในการทำงาน โดยเฉพาะช่วงการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19”

รู้กันดีว่าเป็นซีน “จัดฉาก-สร้างภาพ” โชว์ความเป็นปึกแผ่นของ “เรือแป๊ะ” เพื่อการันตีว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร เหมือนกับ “ข่าวลือ” ที่ปั่นกันรายวัน ทั้งกรณีเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือไปไกลถึงว่าทหารยึดอำนาจ

ตามธรรมชาติ “นักการเมืองอาชีพ” หากรู้แน่ว่า รัฐบาลไปไม่รอด บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายต้องถอยห่าง-ปลีกตัว ไม่ยอมมายืนเป็น “ไม้ประดับ” ให้ผู้นำเอาไปเคลมต่อสังคมว่า ยังเหนียวแน่นปึ้กแบบนี้แน่

แต่นี่มากันครบทั้ง 3 พรรคหลักร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา” ยืนกระหนุงกระหนิง หวานเลี่ยนจนชวนอ้วก ไม่แคร์กระแสสังคมที่ด่า “บิ๊กตู่” กันหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็นแบบนี้ แสดงว่า มั่นใจรัฐบาลยังไปต่อได้

เพราะหากดูกันตามเนื้อผ้า นอกจากโควิด-19 ที่รุมกระหน่ำเหยียบซ้ำรัฐบาลจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ยังไม่มีปัจจัยอื่นที่จะทำให้ “เรือแป๊ะ” แตกกลางมหาสมุทรได้


โดยเฉพาะฝ่ายค้านเอง ที่เจอปัญหา “สนิมเกิดแต่เนื้อใน” จู่โจมเข้าเหมือนกัน ในจังหวะที่ “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย กับ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล แยกเขี้ยวใส่กันอยู่เป็นระยะๆ ไร้เสถียรภาพ หนักกว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่ชอบเปิดยุทธการสงครามตัวแทนเสียอีก

กับช็อตล่าสุด ปมกรรมาธิการงบประมาณยี่ห้อ “ค่ายเพื่อไทย” หันไปโหวตเห็นชอบงบประมาณที่หักมาได้ 1.6 หมื่นล้านบาทเศษ เข้าไปเป็น “งบกลาง” ในอำนาจของ “นายกฯประยุทธ์” จนทำเอา “ค่ายก้าวไกล” ที่เป็นเสียงข้างน้อย ออกมาฟาดงวงฟาดงาหา “ตัวช่วย”

ด่ากันแหลกไม่ไว้หน้าว่า การที่พรรคเพื่อไทยไล่ตะเพิด “บิ๊กตู่” ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ แต่ดันไปโหวตทิศทางเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่ต่างจากการ “ตีเช็กเปล่า” ให้ “บิ๊กตู่” นำงบไปถลุง แบบตรวจสอบไม่ได้ วันย้อนแย้งบทบาทฝ่ายค้าน-ฝ่ายตรวจสอบหรือเปล่า

พร้อมทั้งแฉออกมาเป็นขดๆว่า มี “ดีลกินกล้วย” ถึงขั้นปิดห้องคุยเพื่อลุยภารกิจนี้

ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ฟังแล้วก็ “หัวร้อน” บวกกับ “ร้อนตัว” ดาหน้าออกมาแก้ต่างแบบ “สิ้นพันกัน” ในประเด็นที่ “พรรคเด็กน้อย” กล่าวหา โดยอ้างว่าที่ต้องโหวตให้นำงบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ไปให้ “บิ๊กตู่” ใช้เป็นงบกลางนั้น เพื่อนำไปใช้แก้ไขสถานการณ์โควิด-19

ไม่เท่านั้นยังตีบทดราม่าว่า ให้ละเว้นเรื่องการเมือง เพราะตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนหนักมาก ฝ่ายค้านไม่มีอำนาจบริหาร จึงต้องประเคนไปให้ผู้มีอำนาจนำไปช่วยเหลือประชาชน

ที่สำคัญให้คำนึงถึง “มารยาททางการเมือง” บ้าง

ฝ่ายค้าน “ประสานงา” กันอีกครั้ง “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่สภาพยวบยาบก็ยิ้มมุมปาก “เกมในสภาฯ” หวานเจี๊ยบ ลูบปากอยู่ต่อแบบชิลๆ

เกมในสภาฯอ่อนแอ เกมบนถนนยิ่งสิ้นหวัง แม้กระแสม็อบ 3 นิ้วจะกลับมา หลังประชาชนเจอจุดร่วมจากการแก้โควิด-19 ที่ล้มเหลว ออกมาคาร์ม็อบกัน ถึงขั้นตัวละครเกรดเอ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ยังออกมาเกาะกระแส ขายความเป็นเซเลปฯม็อบ ปลุกกระแส

แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า จุดติดยาก เพราะมีอะไรให้อีกฝ่ายงัดง้างได้เยอะ ตั้งแต่การประกาศว่า ออกมาขับไล่ “บิ๊กตู่” และปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ที่เหน็ดเหนื่อย แต่การมารวมตัวของคน โดยปราศจากการเว้นระยะห่าง ไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าเลย

แถมระยะหลังยังยกระดับความรุนแรง-หยาบคายจน “แนวร่วม” ยังส่วยหน้า

ขณะที่แกนนำม็อบเองก็เหมือนเตะหมูเข้าปากหมา ชะล่าใจเกินไป เนื่องจากหลายคนได้รับการประกันตัวโดยมีเงื่อนไขของศาลว่า หากก่อความไม่สงบในประเทศ และพาดพิงสถาบันเบื้องสูง แต่กลับกระทำแบบเดิม

รัฐบาลโคม่า แต่แนวต้านในสภา-บนถนน นุ่มนิ่มกว่า ไม่ต่างกับ “ต่ออายุขัย” ให้รัฐบาลดันทุรังลากยาวอำนาจให้ครบเทอมดีๆ นี่เอง

แนวรบด้านอื่นเป็นอย่างไรไม่สน เข้า “เทศกาลโยกย้าย” รัฐบาลมองไปข้างหน้า วางขุมกำลังต่อท่ออำนาจ เปิดหัวด้วย “อาณาจักรคลองหลอด” กระทรวงมหาดไทย ที่ทำคลอด “ลอตแรก” ชงขยับ 28 บิ๊กข้าราชการ ผ่านมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา

แน่นอนสปอตไลท์ย่อมจับจ้องไปที่ “เสี่ยเก่ง” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่ได้ก้าวขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย คนที่ 40 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ต่อจาก “เสี่ยฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่ถึงคราวต้องเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้

ทว่าก่อนที่ “อธิบดีเก่ง” จะขึ้นเถลิงเก้าอี้ “ปลัดประเทศไทย” ได้ก็ต้องลุ้นตัวโก่ง ด้วยก่อนหน้ามีไอเดียโยก “ปลัดตุ๋ม” จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตลูกหม้อมหาดไทย ข้ามห้วยกลับมาเป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย”

เอาเข้าจริงชื่อของ “ปลัดตุ๋ม” เต็งหาม-แบเบอร์มาร่วมปี ด้วยความที่ได้แรงสนับสนุนจากทั้ง “พี่ฉิ่ง” ที่อดีตเคยทำงานคุ้นเคยมีสมญาคู่กันมาก่อน รวมไปถึง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เห็นดีเห็นงามด้วย

เช่นเดียวกับกระแสข่าวที่ว่า “นายกฯตู่” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพี่ใหญ่เครือข่าย 3 ป. ก็เซย์เยสไฟเขียวชื่อของ “จตุพร” มานานแล้ว

ปรากฎ “โค้งสุดท้าย” มี “สัญญาณแปร่งๆ” เมื่อมีข่าว “ออฟไซต์” ว่าวาระแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการมหาดไทยจะเข้าที่ประชุม ครม.มาตลอด 3-4 สัปดาห์ ทั้งที่ยังถึงคิว

จับทางได้ว่ามีขบวนการโยนชื่อ “คนนอก” อย่าง “ปลัดตุ๋ม” ออกมาตามหน้าสื่อ เพื่อ “เจาะยาง” โดยให้ “คนใน” ก่อหวอดต่อต้าน ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด เกิดกระแสยี้ “เสือข้ามห้วย” กระหึ่ม “บ้านราชสีห์” กระทรวงมหาดไทย

ว่ากันว่าเกมนี้ “ขาใหญ่พลังประชารัฐ” ที่ไม่ใช่ “ลุงป้อม” เป็นคนขับเคลื่อน

ขณะที่ “บิ๊กป๊อก-บิ๊กฉิ่ง” ก็รู้แกว จากนั้นพยายามยัดวาระแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเข้า ครม.หลายครั้ง แต่ก็มีอันถูกตีกลับทุกครั้ง

กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 2 สิงหาคม 2564 ก็มี “สัญญาณพิเศษ” เป็น “จุดชี้ขาด” ก่อนที่รุ่งขึ้นจะมีการบรรจุวาระแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย และเป็น “สุทธิพงษ์” ที่เข้าวินในที่สุด โดยที่ “อนุพงษ์-ฉัตรชัย” อยู่ในภาวะ “จำยอม”

แน่นอนว่า เมื่อ “พี่น้อง 3 ป.” ยังอยู่ส่วนยอดของอำนาจ ข้าราชการใครไปใครมาก็ต้องรับใช้สนองงาน แต่การมาของ “สุทธิพงษ์” ก็ย่อมนำมาซึ่งคำถามถึงอำนาจการตัดสินใจของ “พี่น้อง 3 ป.” หลังจากนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรดแมปต่อท่ออำนาจ ทั้ง “ค่ายพลังประชารัฐ” หรือ “ค่ายสำรอง” พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ว่ากันว่า “ปลัดฉิ่ง” ไปเปิดสาขารอไว้แล้ว

เพราะชัดเจนว่า ทีเด็ดทีขาดไม่เหมือนกว่า 7 ปีที่ผ่านมา ที่ “พี่น้อง 3 ป.” สามารถปลดย้าย-แต่งตั้งได้ “ตามอำเภอใจ”

หรือจะเรียกว่า “เสื่อมอำนาจ” ก็ว่าได้

สำหรับประวัติ “อธิบดีเก่ง” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และ “ว่าที่ปลัดหมาดไทย” นั้น เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2507 ที่ จ.ตราด เป็น “สิงห์ดำ” รุ่น 36 จบปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาฯ เช่นกัน ก่อนได้รับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี เกษียณปี 2567 ถือเป็นข้าราชการ “ฟาสต์แทรก” เติบโตเร็ว เป็นหัวหน้าสำนักงาน รมว.มหาดทไยมาถึง 4 ยุค ขึ้นครองซี 10 ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ตั้งแต่ปี 2553 ด้วยวัยเพียง 46 ปี ยุค “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกุล เป็น รมว.มหาดไทย มี “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นแลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

เส้นทางราชการสวยหรู บุคลิกหวานเจี๊ยบเข้าได้กับทุกคน คอนเน็กชั่นการเมืองกว้างขวาง

และยังมี “หลังบ้าน” ปึ้ก ภรรยาคู่ชีวิตชื่อ วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซี จำกัด (มหาชน) ธุรกิจไฟฟ้าโซลาเซลล์รายใหญ่ระดับทวีป โดยมีการเปิดเผยทรัพย์สินของ “วันดี” มีทรัพย์สินนับหมื่นล้านบาท

ไม่เพียงเท่านั้น “สุทธิพงษ์” ยังมีร่องรอย “ความพิเศษ” เหนือกว่าข้าราชการทั่วๆไป ด้วยพื้นฐานเป็นคนธรรมะธัมโม จนผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยเรียกขาน “มหาเก่ง” และล่าสุด สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานตราตั้งแต่งตั้งเป็น “ไวยาวัจกร” ฝ่ายบริหารงานสาธารณสงเคราะห์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

อีกทั้งยังมีบทบาทของ “สภาสตรีแห่งชาติฯ” ที่ “คุณนายวันดี” เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการเกี่ยวกับการสืบสานอนุรักษ์ผ้าไหม-ผ้าถิ่นไทย ร่วมกับ “กรมหม่อนไหม” มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่ “สุทธิพงษ์” มาเป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน มีการปูพรมโครงการไปทั่วประเทศ

ขณะเดียวกันกรมพัฒนาชุมชนภายใต้การนำของ “อธิบดีเก่ง” ก็ยังเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” มาโดยตลอดอีกด้วย

ถือเป็นสเปกดี 1 ประเภท 1 “หลังบ้าน” ปึ้ก “แบ็คอัพ” แน่น “3 ป.” แน่แค่ไหนก็จำต้องหลบฉาก

คิวหลบของ “3 ป.” เที่ยวนี้ สะท้อนถึงความขลังใน “ขุมอำนาจ” ตัวเองไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา 3 ป.ไม่เคยสนแรงกระเพื่อมอะไรเหล่านี้ เพราะคิดว่าตัวเองถืออำนาจสูงสุดเด็ดขาด

สะท้อนให้เห็นว่า 3 ป.ถึงยุคเสื่อมอำนาจเหมือนกัน

อยู่ยาว อยู่นาน ก็ใช่ว่าอะไรๆ จะเหมือนเดิม.





กำลังโหลดความคิดเห็น