"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำงานไม่เป็น กระจายไปทั่วทั้งสังคมไทยโดยเฉพาะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสองและสาม ก็ยิ่งประจักษ์แต่สายตาของคนส่วนใหญ่ในประเทศว่า พลเอกประยุทธ์ทำงานไม่เป็นจริง ๆ และหากยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็ยิ่งมีแนวโน้มสร้างผลเสียต่อประเทศมากขึ้น คำถามคือระบอบการเมืองไทยมีอำนาจอะไรบ้างที่สามารถทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งได้
แม้กระแสความไม่พึงพอใจในการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลประยุทธ์ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนในหลายวงการ มีข้อเรียกร้องให้ลาออก และมีการชุมนุมขับไล่อย่างต่อเนื่อง แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลาออกจากตำแหน่ง หรือยุบสภาแต่อย่างใด มิหน้ำซ้ำยังท้าทายกับมติมหาชนอย่างไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด
อุปนิสัยร่วมอย่างหนึ่งของนักการเมืองไทยคือ การไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและการมีสำนึกรับผิดชอบต่อความเสียหายของสาธารณะที่เกิดจากการบริหารประเทศของตนเองต่ำกว่ามาตรฐานของนักการเมืองในระดับสากลมาก พลเอกประยุทธ์ก็มีอุปนิสัยไม่แตกต่างจากนักการเมืองอื่น ๆ ที่เห็นกันดาษดื่นในแวดวงการเมืองไทย การลาออกที่เกิดจากการตัดสินใจอย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง จึงไม่ดำรงอยู่ในจิตสำนึกแต่อย่างใด แม้จะบริหารประเทศผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ที่ลาออก มักเกิดจากแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะจากบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีพลังอำนาจมากกว่าพวกเขา เช่น รัฐมนตรีลาออกก็ต่อเมื่อถูกนายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณว่า คุณควรออกจากตำแหน่งได้แล้ว ดังที่เกิดขึ้นกับทีมเศรษฐกิจของอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนในช่วงที่ผ่านมา แต่สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร จึงไม่อำนาจใดในระบบการเมืองแบบทางการที่มีอำนาจเหนือกว่าอำนาจนายกรัฐมนตรีมากดดันให้ลาออกได้ หากจะมี ก็คงมีแต่อำนาจนอกระบบการเมืองที่ไม่เป็นทางการเท่านั้นที่สามารถทำให้นายกรัฐมนตรีไทยลาออกได้
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อำนาจนอกระบบการเมืองที่เป็นทางการที่สามารถทำให้นายกรัฐมนตรีลาออกได้มาจากสองแหล่งคือ ๑) อำนาจของกลุ่มทหาร ซึ่งอย่างน้อยมีตัวอย่างสองเหตุการณ์ คือการกดดันให้ นายควง อภัยวงศ์ลาจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ๒๔๙๑ และ การกดดันให้พลเอกเกรียงศักดิ์ ชะมะนันท์ ลาออกเมื่อปี ๒๕๒๓ และ ๒) อำนาจตามวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม ที่เกิดขึ้นในกรณี จอมพลถนอม กิตติขจร ในปี ๒๕๑๖ และพลเอกสุจินดา คราประยูร ในปี ๒๕๓๕
นอกจากลาออกแล้ว การเปลี่ยนแปลงการเมืองที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีได้มีอีกประการหนึ่งคือ การยุบสภา เงื่อนไขที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไทยยุบสภาได้นั้น มักเกิดขึ้นจากการที่พรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัว หรือเกิดจากแรงกดดันจากการชุมนุมประท้วงของประชาชน กล่าวสำหรับรัฐบาลประยุทธ์ หากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปปัตย์ถอนตัว ก็อาจทำให้พลเอกประยุทธ์ยุบสภาได้ แต่ผู้ติดตามการเมืองหลายฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่า ความเป็นไปได้ที่พรรคทั้งสองจะถอนตัวออกจากรัฐบาลประยุทธ์มีต่ำมาก เพราะนักการเมืองของทั้งสองพรรคต่างก็ยังยึดติดกับตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์จากการร่วมรัฐบาล มากกว่าที่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
มีการประเมินจากบรรดาผู้ที่สนใจความเป็นไปของบ้านเมืองว่า หากพลเอกประยุทธ์ยังบริหารประเทศต่อไป มีความเป็นไปได้สูงว่า สังคมไทยจะเดินหน้าไปสู่มหาวิกฤติในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ความศรัทธาและความเชื่อถือของประชาชนต่อรัฐบาล รัฐสภา ระบบราชการ กฎหมาย และสถาบันอื่น ๆ ของสังคมจะลดต่ำลงไปจนถึงจุดวิกฤติ ความน่าจะเป็นที่สังคมจะเกิดความโกลาหล ไร้ระเบียบมีสูงอย่างยิ่ง เพราะแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมที่เชื่อมโยงผู้คนแตกกระจาย แต่ละคนต่างทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ระเบียบสังคมและกฎหมาย นั่นหมายความว่าการฆ่าตัวตาย และการก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สัญญาณที่เราเห็นได้ในช่วงที่ผ่านมา หลังการขยายตัวของการแพร่ระบาดโควิดคือ การฆ่าตัวตายของผู้ที่ติดเชื้อโควิด 19 ปรากฎออกมาเป็นระยะ ทั้งคนที่มีชื่อเสียงในสังคมและคนธรรมดาทั่วไป เหตุผลหลักของการฆ่าตัวตาย คือความสิ้นหวังในการเข้าถึงการรักษาหลังการติดเชื้อ เพราะระบบสาธารณสุขที่เป็นทางการถูกทำให้ด้อยประสิทธิภาพลงด้วยการทำงานไม่เป็นของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ในการแก้ปัญหาโควิดนั่นเอง
ความพยายามหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิดด้วยการสั่งให้ยุติกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและการทำมาหากินที่คนธรรมดาใช้ในการดำรงชีพเป็นเวลายาวนานติดต่อทำให้จำนวนคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น และนั่นย่อมหมายถึงการไม่มีรายได้มาจุนเจือตนเองและครอบครัว แม้ว่ารัฐบาลมีงบประมาณจำนวนหนึ่งส่งไปให้ประชาชนใช้จ่าย และเอกชนบางแห่งนำอาหารไปแจกจ่ายให้ประทังชีวิต แต่ไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เปรียบประดุจการให้น้ำเพียงขวดเดียว เพื่อดับกระหายระหว่างการเดินทางฝ่าทะเลทรายอันร้อนแรงที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกยาวไกลแค่ไหน จึงหลุดพ้นจากทะเลทรายนั้นได้
เมื่อคนไม่มีกิน บางคนอาจร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นในชุมชน แต่บางคนอาจเลือกกระทำอย่างอื่น ทางเลือกที่คนจำนวนมากกระทำ ซึ่งเกิดขึ้นเสมอในประวัติศาสตร์ยามที่มีภัยพิบัติแห่งความอดอยากคือ การหลอกลวงหรือช่วงชิงจากผู้อื่น ยิ่งพื้นที่ใดอำนาจรัฐและบรรทัดฐานสังคมอ่อนแอ อาชญากรรมก็ยิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมาก
ในอดีตยามเกิดวิกฤติ หลายครั้งที่รัฐบาลและกลไกรัฐไม่อาจแก้ปัญหาได้ แต่จะมีพลังของภาคประชาสังคมเข้าไปช่วยเหลือคลี่คลายให้ผ่านพ้นไปได้ ทว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในยุคปัจจุบันมีน้อยอดีต นั่นเป็นเพราะการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว และหยิ่งยะโสของรัฐบาลประยุทธ์ที่สร้างกำแพงกีดกันจนผู้คนไม่อยากเข้าไปร่วม และที่น่าประหลาดใจคือ แม้แต่บรรดานักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายก็ถูกกีดกันจากการเป็น”กลุ่มวงใน”ของการใช้อำนาจด้วย กลุ่มนอกภาครัฐที่พลเอกประยุทธ์ต้อนรับด้วยท่าทีที่ยินดีในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศคือกลุ่มเจ้าสัว นายทุนผูกขาดทั้งหลาย และผู้ใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนเกือบทั้งหมดของประเทศว่า การทำงานไม่เป็น แต่ยังดื้อรั้นบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์นั้น สร้างความเสียหายแก่คุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในทุกมิติอย่างลึกซึ้ง และบั่นทอนโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทษอย่างรุนแรง จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ การสร้างการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ยังรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ได้มี ๒ ทางคือ การทำให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่จากบทเรียนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การลาออกของนายกรัฐมนตรีไทยเกิดขึ้นได้ด้วยอาศัย พลังกดดันจากอำนาจของกลุ่มผู้ถืออาวุธ หรือ อำนาจจากวัฒนธรรมจารีตดั้งเดิม ส่วนการยุบสภาเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล และ การชุมนุมกดดันของประชาชน
ขณะนี้การเคลื่อนไหวเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงมาจากประชาชนเป็นหลัก ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลและพลังอำนาจอื่น ๆ ยังไม่เห็นสัญญาณชัดเจนว่า จะทอดทิ้งพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด อาจเป็นเพราะว่า กลุ่มพลังอำนาจเหล่านั้นมีวิธีคิดและการประเมินผลประโยชน์และความเสียหายของประเทศที่เกิดจากรัฐบาลประยุทธ์ต่างจากประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นได้ แต่หากเมื่อไรที่รูปธรรมของความเสียหายมีมากขึ้น และหนักหน่วงในระดับที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อาจรับไหว หากกลุ่มพลังอำนาจการเมืองต่าง ๆ ที่ยังหนุนหลังพลเอกประยุทธ์อยู่ ยังไม่เปลี่ยนท่าที พวกเขาก็ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในแง่ความเสื่อมศรัทธา การสูญเสียความเชื่อถือ และอาจรวมถึงเสื่อมลงของอำนาจด้วย