3 เดือนหลังการพบกันอย่างเผ็ดร้อนที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา (ระหว่างรมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ และของจีน) ได้มีการเดินสายรณรงค์จากฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อระดมหว่านล้อมเหล่าพันธมิตร และหุ้นส่วนให้ร่วมกันแสดงพลังกดดัน และสกัดกั้นพฤติกรรมของจีนที่สหรัฐฯ เรียกว่า ก้าวร้าว, ไม่เคารพกฎกติกาของโลก ในการเข้ายึดครองน่านน้ำน่านฟ้าสากล อันเป็นเส้นทางเดินเรือของนานาชาติ ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงถึงระดับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ซินเจียง หรือการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและในการชุมนุมที่ฮ่องกง
เริ่มจาก รมช.ต่างประเทศเวนดี เชอร์แมน (Wendy Sherman) ได้เดินทางเยือนเขมร, อินโดนีเซีย และประเทศไทย ถึงขนาดเปิดทางมอบวัคซีนไฟเซอร์ให้ไทย 1.5 ล้านโดส (และต่อมาจากการเรียกร้องของคนไทยในสหรัฐฯ ต่อ ส.ว.รัฐอิลลินอยส์-แทมมี ลัดดา ดักเวิร์ธ ทำให้ทำเนียบขาวบริจาควัคซีนให้ไทยเพิ่มอีก 1 ล้านโดส)
สหรัฐฯ ได้มอบวัคซีนให้กับอินโดนีเซียเช่นกันเป็นโมเดอร์นาถึง 4 ล้านโดส และกัมพูชาก็ได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จำนวน 1.06 ล้านโดส โดยสหรัฐฯ มอบให้ผ่านโครงการ COVAX
หลังการเดินทางของ รมช.แวนดี ก็มีการเดินทางเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ รมต.กลาโหม ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) อดีตพลเอก ผบ.ทบ.ผิวดำ ของกองทัพสหรัฐฯ โดยเยือนสิงคโปร์, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพื่อให้ความมั่นใจต่อเหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ ว่า สหรัฐฯ ยังปักหลักมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก
สิงคโปร์นั้นเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ มาช้านาน โดยเฉพาะในช่วงสงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย และสงครามอิรัก
สำหรับเวียดนามนั้น แม้จะเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตช่วงสงครามเวียดนาม ที่อเมริกาได้ถล่มเวียดนามอย่างสาหัส; ก่อให้เกิดพิษร้ายจาก “ฝนเหลือง” เคมีที่ทำลายดิน, แม่น้ำ และป่าไม้จำนวนมหาศาล แต่วันนี้ สหรัฐฯ กำลังให้การสนับสนุนเวียดนามเต็มที่เพื่อช่วยในการสกัดกั้นจีน เพราะเวียดนามมีเขตน่านน้ำที่เป็นแหล่งมั่งคั่งทางตะวันออก; ทั้งทรัพยากรน้ำมัน, แก๊สธรรมชาติ, แหล่งประมงชุกชุม ขณะเดียวกัน ทางจีนก็ได้ขยายอิทธิพลเข้าครอบครองดินแดนที่จีนอ้างว่าเป็นเขตน่านน้ำของจีนมาแต่บรรพกาล และขณะนี้ การลงทุนของสหรัฐฯ ในเวียดนามก็ได้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมๆ กับทุนญี่ปุ่นที่ขยับขยายจากจีน ก็ได้มุ่งหน้าสู่เวียดนามเต็มที่
รมต.กลาโหม ลอยด์ ออสติน ประสบความสำเร็จมากในการเดินทางเยือนเวียดนาม ที่เหล่าผู้นำและคนรุ่นใหม่ดูจะเทใจให้กับสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น โดยให้น้ำหนักน้อยลงกับความเจ็บปวดที่เคยได้รับจากกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม แต่กลับมองว่าจีนกำลังเข้าครอบครองทรัพยากร และดินแดนของเวียดนาม และสหรัฐฯ ก็เพิ่งส่งเรือลาดตระเวนมอบให้เวียดนามเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย
รมต.ลอยด์ ได้ตกลงมอบวัคซีนโมเดอร์นาให้เวียดนามถึง 5 ล้านโดส (มากกว่าไทยเท่าตัว) และกำลังเจรจาที่จะมาตั้งโรงงานผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ ที่นั่นด้วย!
ผู้นำเวียดนามถึงกับประกาศในช่วงแถลงกับสื่อร่วมกับรมต.ลอยด์ว่า เวียดนามกำลังยินดียิ่งที่จะให้การต้อนรับรองปธน.กมลา แฮร์ริส ที่จะเยือนเวียดนามในอีกไม่ช้า (ในปลายเดือนสิงหาคม) ทั้งๆ ที่ทำเนียบขาวยังไม่ทันประกาศกำหนดเดินทางนี้ด้วยซ้ำ!
ที่ฟิลิปปินส์ รมต.กลาโหม ลอยด์ ดูเหมือนประสบผลสำเร็จดียิ่ง เมื่อสามารถทำให้ ปธน.ดูเตอร์เต กลับลำ จากที่เคยประกาศหลายครั้งว่า จะฉีกข้อตกลงที่ฟิลิปปินส์ได้เคยทำไว้กับสหรัฐฯ เรื่องกองกำลังสหรัฐฯ ที่จะมาเยือนฟิลิปปินส์ หรือ Visiting Forces Agreement ที่จะยังเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงยิ่ง โดยจะยังคงรักษาข้อตกลงนี้ต่อไป
ด้าน รมต.ต่างประเทศแอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) ก็ได้เดินทางไปยังอินเดีย เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย ซึ่งขณะนี้แน่นแฟ้นยิ่งในการรวมพลังคานกับจีน เพราะอินเดียเพิ่งมีปัญหากับจีนที่ชายแดนบริเวณภูเขาหิมาลัย จนกองกำลังทั้งสองฝ่ายถึงกับประจัญบานกัน และถึงสูญเสียชีวิตมากทีเดียว
อินเดียนั้น เป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของประเทศขนาดใหญ่ ในแต่ละทวีป; เริ่มจากบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ และมีความมุ่งมั่นเพื่อร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ จนถึงขนาดจัดตั้ง BRICS Bank หรือธนาคารเพื่อการลงทุน BRICS ที่มีโต้โผใหญ่ก็คือ เงินจากประเทศจีน ที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือยามฉุกเฉินแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ดังนั้น การรุกคืบของสหรัฐฯ ที่กำลังสานสัมพันธ์และให้การสนับสนุนอินเดียอย่างแนบแน่น ทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ก็น่าจะกระทบกับความแน่นแฟ้นของสมาชิกกลุ่ม BRICS; และรวมทั้งประเทศอินเดีย และแอฟริกาใต้ ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม G7 ที่อังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย ก็เป็นสัญญาณการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม BRICS นั่นเอง
อินเดียนั้น นอกจากมีปัญหาพรมแดนกับจีน ยังไม่เห็นด้วยต่อโครงการ Belt and Road Initiative ของปธน.สี และการเดินทางของ รมต.ต่างประเทศบลิงเคน ก็ยังได้มอบวัคซีนให้กับอินเดียเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อระบาดใหญ่ในอินเดีย ตลอดจนตอกย้ำ คำมั่นสัญญาเดิมที่สหรัฐฯ หมายมั่นจะให้อินเดียเป็นฐานผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ จำนวนสูงถึง 1 พันล้านโดส เพื่อนำมาแจกจ่ายให้ประเทศในเอเชียเช่น กลุ่มอาเซียน
รวมทั้งการจัดซ้อมรบระหว่างสมาชิก Quad ประกอบด้วย เรือรบบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ, ร่วมกับกองกำลังของอินเดีย, ออสเตรเลียและญี่ปุ่น โดยจะมีกองกำลังของเกาหลีใต้, สิงคโปร์เข้าร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นการซ้อมรบใหญ่ของกลุ่ม Quad ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ กองเรือรบบรรทุกเครื่องบิน HMS ควีนเอลิซาเบธ ของอังกฤษก็กำลังเดินทางข้ามหลายมหาสมุทรมาเข้าร่วมกับสหรัฐฯ เป็นกองกำลังผสมในอินโด-แปซิฟิกด้วย แม้จะถูกตั้งคำถามว่า อังกฤษไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตน่านน้ำอินโด-แปซิฟิกแต่อย่างใด แต่อังกฤษหลังจากออกจากอียูแล้ว ยิ่งต้องการสร้างพันธมิตรนอกนาโต ขนาดส่งกองเรือยักษ์เดินทางมาเป็นแรมเดือน เพื่อมาร่วมซ้อมรบในอินโด-แปซิฟิกครั้งนี้ด้วย
แล้วยังมีเรือรบ Bayen ของเยอรมนี ที่มีกำหนดการเดินทางมาสมทบกับกลุ่มกองเรือรบในอินโด-แปซิฟิกของฝ่ายสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งรมต.กลาโหมเยอรมนีออกมาประกาศว่า จะร่วมกับฝ่ายพันธมิตรประเทศประชาธิปไตย เพื่อร่วมพิทักษ์น่านน้ำน่านฟ้าสากลในทะเลจีนใต้ด้วย แม้ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นภารกิจสกัดกั้นการแผ่อิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้ เพราะเยอรมนีจะต้องระวังความสัมพันธ์กับจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของสินค้าเยอรมนี และการลงทุนของทุนจีน แต่เยอรมนีก็ต้องแสดงจุดยืนร่วมกับสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
อุณหภูมิในทะเลจีนใต้ดูจะร้อนขึ้นจริงๆ