xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

BUG WORLD ฟ้าทะลายโจรกับเหล่าแมลงการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ข้อเท็จจริงที่คนไทยต้องยอมรับร่วมกันก็คือ การระบาดของโควิด-19 ณ เวลานี้นั้น หนักหนาสาหัสถึงขั้นยากยิ่งที่จะควบคุม

เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจที่ปัญหา “ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล” จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และประชาชนที่รู้ว่าติดเชื้อจำต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บ้านอย่างเดียวดายโดยแทบจะไม่มีความหวังว่า เมื่อไหร่ถึงจะมี “เตียงว่าง” ซึ่งก็มีไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตที่บ้านของตัวเอง

ขณะที่ “วัคซีน” ที่เคยเป็น “ความหวัง” ก็มิได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะยังคงมี “จำนวน” ไม่เพียงพอที่จะฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

ตัวเลขผู้ป่วยอย่างเป็นทางการซึ่งรายงานโดย “ศูนย์บริหารศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือ “ศบค.” พุ่งทะยานแตะทะลุหลักหมื่นและเชื่อว่าน่าจะถึงสองหมื่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ นี่ยังไม่นับรวมตัวเลขจากการตรวจแบบ Rapid Antigen Test Kit(ATK) อีกจำนวนมหาศาล เอาแค่เฉพาะกรุงเทพมหานคร(กทม.) ก็มีข้อมูลยืนยันว่า มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้าระบบแยกกักตัวที่บ้านแล้วกว่า 30,000 ราย ถ้ารวมจำนวนผู้ป่วยทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยอดผู้ป่วยที่แท้จริงน่าจะเพิ่มอีกหลายหมื่นคน ไหนจะ “ผู้ติดเชื้อเงียบ” ที่ไม่แสดงอาการแต่สามารถแพร่กระจายโรคได้

ในยามที่ประชาชนหมดหวังและไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แม้กระทั่ง “ฟาวิพิราเวียร์” ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาก็เข้าไม่ถึง ทางออกเพียงหนึ่งเดียวจึงพุ่งเป้าไปที่ “ฟ้าทะลายโจร” ด้วยเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถเข้าถึงง่าย ทั้งยังเป็นเป็นพืชที่สามารถ “ปลูกง่าย” และ “ใช้ง่าย” อีกต่างหาก

กระแสการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ระยะเริ่มต้นได้ผลติดลมบนจนในที่สุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ส่งเสริมการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะมีการทดลองใช้รักษาและผลออกมาดีในคลัสเตอร์กรมราชทัณฑ์ ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจนน่าเป็นห่วงก่อนหน้านี้ รวมทั้งคลัสเตอร์ชุมชนแออัดและกลุ่มผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นที่เข้าไม่ถึงสถานรักษาพยาบาล กระทั่งทำให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะบรรดา “แมลงการเมือง” ก็อยากมีซีนเกาะขบวนรถไฟสายฟ้าทะลายโจรกันเป็นทิวแถว ประเภทที่มาเพราะ “ตั้งใจ” ทำเพื่อประชาชนก็มีเยอะ ประเภทที่มาเพราะ “หิวแสง” ก็มีไม่ใช่น้อย แล้วก็ยังมีประเภทที่ “ไม่สนใจใยดี” หรือ “สนใจพอเป็นพิธี” ทั้งๆ ที่นั่งเก้าอี้คุมกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องก็พอจะมีให้เห็นอีกเช่นกัน

นี่ไม่นับรวมประเภทที่พยายาม “ล็อกเสปก” ให้มุ่งหน้าไปที่ “สารแอนโดรกราโฟไลด์(Andrographolide)” ที่สกัดออกมาจาก “ฟ้าทะลายโจร” เพื่อเอื้อแก่ทุนใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงชาวบ้านเขาใช้ใบสด หรือต้มจากต้นสดในการกินบำบัดรักษาเลย โดยไม่ต้องตากแห้ง ไม่ต้องบรรจุแคปซูลที่กำลังขาดตลาดเสียด้วยซ้ำ

แมลงการเมือง “รายแรก” ที่ให้ความสนใจกับ “ฟ้าทะลายโจร” เห็นทีจะหนีไม่พ้น “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่เดินหน้าผลักดันการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังไม่มีอาการอย่างเต็มที่โดยนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อนที่ ครม.จะมีมติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา เห็นชอบหลักการส่งเสริมการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาและลดภาระระบบสาธารณสุข ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของนายมศักดิ์ได้ดำเนินการมาตรการเชิงป้องกันความรุนแรงของโรคโควิด-19 ด้วยการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ ที่มีศักยภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์และลดการแบ่งตัวของไวรัส ใช้รักษาในกลุ่มผู้ต้องขังที่มีอาการไม่รุนแรง จำนวน 1.18 หมื่นคน พบว่าได้ผลดีสามารถรักษาผู้ต้องขังหายแล้ว ร้อยละ 99.02 จากยอดผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด19

นอกจากจะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยแล้ว เวลานี้กระทรวงยุติธรรมยังได้มอบหมายให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศปลูกสมุนไพรประเภทต่างๆ โดยเน้นการปลูกฟ้าทะลายโจรและกระชายขาวเป็นหลักในพื้นที่ 141 ไร่ นำร่องเริ่มต้นเพื่อช่วยผู้ต้องขังในเรือนจำที่ติดเชื้อโควิค-19 และโรคอื่นๆ รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนทั่วไปด้วย


แมลงการเมือง “รายที่สอง” ก็คือ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสังกัดค่ายพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ได้ใช้ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน 5 ศูนย์ และศูนย์สมุนไพรแบบครบวงจรที่อำเภอแม่มอก จังหวัดลำปาง ในการปลูกต้นกล้าฟ้าทะลายโจร ขิง ข่า กระชายขาว และตะไคร้ อย่างน้อย 100,000 กล้าในแต่ละศูนย์ พร้อมนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรกว่า 30,000 ราย โดยกรมพัฒนาที่ดินจะสนับสนุนองค์ความรู้เรื่องดิน น้ำ นวัตกรรมส่งเสริมการผลิต และให้กองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร (ส.ป.ก.) เป็นผู้รับซื้อผลผลิตนำไปแจกจ่ายประชาชนต่อไป

ขณะที่ “นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ในปีกภูมิใจไทย (ภท.) ก็ถือเป็นแมลงการเมือง “รายที่สาม” ที่เดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ไม่แพ้คนอื่น โดยได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ คัดเลือกสหกรณ์เข้าโครงการส่งเสริมปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรไทย ให้กับกระทรวงสาธารณสุข โดยการปลูกฟ้าทะลายโจร นำร่องจับคู่ธุรกิจกับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก หากได้ผลดีจะขยายปลูกสมุนไพรอื่นๆ เช่น ขมิ้น ขิง สร้างรายได้ให้เกษตรกรและสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะเริ่มโครงการในต้นเดือนสิงหาคมนี้

โดยขณะนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์อยู่ระหว่างคัดเลือกสหกรณ์ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการภูมิภาคละ 1 แห่ง พื้นที่ดำเนินการ 500 ไร่ โดยมีจัดเงินกู้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 สนับสนุนโครงการช่วงเริ่มต้น

ทีนี้ ก็มาถึง “แมลงการเมือง” รายถัดมาซึ่งเป็นที่โจษจันกันอย่างกว้างขวางจนเป็นข่าวเล็ดลอดออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในวันที่ “นายสมศักดิ์” นำเรื่อง “ฟ้าทะลายโจร” เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมีการเสนอต่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้มีการแต่งตั้ง “รองนายกรัฐมนตรี” คนใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง เพื่อให้การบริหารจัดการเรื่องยาฟ้าทะลายโจร อย่างเป็นระบบและครบวงจร โดยดำเนินการในรูปของ “คณะกรรมการ” เพื่อให้มีการจัดโครงสร้าง ดูแลตั้งแต่ การปลูก การผลิตเป็นยา การควบคุมคุณภาพ การรักษา และการวิจัย พัฒนา เพราะเรื่องนี้นอกจากจะใช้รักษาผู้ติดเชื้อในประเทศแล้ว ยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลอีกด้วย เรียกว่าต้องว่างแผนกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ

ปรากฏว่าอยู่ๆ “นายดอน ปรมัตถ์วินัย” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ยั้งยืนยงในเก้าอี้ตัวนี้โดยที่ไม่สะเทือนด้วยเป็น “รมต.โควต่าลุงตู่” รีบเสนอตัวเองเข้ามารับผิดชอบ เป็นประธานคณะกรรมการ แถมยังบอกว่า ตนเองได้ศึกษา และพูดเรื่องการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดมาเยอะ ทำเอารัฐมนตรีหลายคนออกอาการงงงวยและงวยงง ว่า “รองฯ ดอน” ได้เคยไปศึกษาหรือว่าไปพูดเรื่องฟ้าทะลายโจรที่ไหน เพราะไม่เคยปรากฏให้ได้รับรู้มาก่อน

ทว่า ก่อนที่จะมึนตึ๊บไปกันใหญ่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ปกติมักคุ้นชินกันวลี “ผมไม่รู้ ผมไม่รู้” ก็เอ่ยปากขัดจังหวะอย่างไม่รอช้าว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ท่านรองฯ ดอน ผมขอเป็นประธานคณะกรรมการในเรื่องนี้เอง เพราะอยู่ในความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว ...”

ว่ากันตามตรงแบบที่ไม่มีอคติทางการเมืองเจือปนก็ต้องยอมรับว่า “ลุงป้อม” สนใจเรื่องนี้จริงๆ เพราะเพิ่งมอบหมายให้ “เด็กสร้าง เด็กปั้นและเด็กในคาถา” อย่าง “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ ลงพื้นที่ไปดำเนินการ โดยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมผ่านมานี้เอง “ผู้กองธรรมนัส” ก็เพิ่งลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.พะเยา ไปเยี่ยมศูนย์ขยายพันธุ์ฟ้าทะลายโจร อ.แม่ใจ และตรวจเยี่ยมสถานีพัฒนาที่ดิน ท่าวังทอง อ.เมืองฯป็นต้นแบบปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร กระชายขาว เพื่อเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน

และในที่สุด “ลุงตู่” ก็แต่งตั้งให้ “ลุงป้อม” เป็น “ประธานคณะกรรมการ” โดยโครงสร้างจะมีกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรรมการ

ส่วน “ทูตดอน” ก็หน้าม้านไปตามธรรมเนียมพร้อมๆ กับมีเสียงวิจารณ์ตามมาว่าคงจะ “หิวแสง” เพราะใครๆ ก็กำลังพูดถึงฟ้าทะลายโจรแถมยังโดนย้อนกลับไปอีกต่างหากว่า ถ้า “ทูตดอน” เสนอตัวว่าจะไปเจรจากับประเทศผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อนำมาฉีดให้คนไทยในตอนนี้ ดูจะถูกกาละเทศะ ถูกที่ถูกเวลามากกว่า

ยิ่งเมื่อมาเจอ “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาบอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างพูดคุยถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด ว่า ได้โทรศัพท์ไปหา “ดอน ปรมัตถ์วินัย” ว่า มีเพื่อนที่อยู่สหรัฐอเมริกา ส่งข้อมูลมาบอกว่า ทำไมไม่ประสานติดต่อขอวัคซีน จากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเขามีวัคซีนเหลืออยู่ 50 ล้านโดส ก็เล่นเอา “เสียหน้า” ไปอยู่ไม่น้อย แต่ “ทูตดอน” ก็ใช้ชั้นเชิงทางนักการทูตตอบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ กำลังดำเนินการอยู่ แต่ว่ายังไม่เกิดผลจริงจัง

“ประธานชวน” จึงพูดกับนักข่าว เหมือระบายความอัดอั้นว่า .. .ก็ได้บอกไปว่า ถ้ามันมีช่องทางไหนที่สามารถช่วยกัน เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นก็ควรทำ เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ความเป็นความตายของชาวบ้าน หนึ่งชีวิตมีความหมาย จะมีทางไหนที่เราป้องกันเขาได้ ก็ต้องพยายามทำ...

“ทูตดอน” จึงกลายเป็น “แมงเม่า” ที่บินเข้ากองไฟไปโดยปริยาย

นอกจากนั้น ครม.ยังให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาหาแนวทางมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้ายาฟ้าทะลายโจร ตลอดจนควบคุมราคาของยาฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน


งานนี้นับเป็นภาระความรับผิดชอบโดยตรงของ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่นั่งเป็น “ว่าการ” ทั้งสองกระทรวงคือ “นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ กับ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีเกษตรฯ ที่แลดูจะไม่เทกแอกชั่นในเรื่องนี้เท่าใดนัก เริ่มจากกระทรวงพาณิชย์ที่ “นายจุรินทร์ ตอบคำถามเรื่องราคาฟ้าทะลายโจรที่พุ่งพรวดขึ้นว่า ที่ผ่านมาร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ออกมาตรการควบคุมราคาเพราะต้องการส่งเสริมให้ผลิตกันมากๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการก่อน ถ้ารีบไปคุมราคาจะกลายเป็นดาบสองคมหากเกษตรกรและผู้ประกอบการเห็นว่าไม่คุ้มจะหยุดผลิตทำให้เกิดการขาดแคลนจึงต้องชั่งน้ำหนักหาจุดพอดี
“....ผู้ที่เอาไปขายเป็นยาและไม่มีทะเบียนยาทาง อย.กระทรวงสาธารณสุข จะดำเนินการ .... ส่วนเรื่องการทำให้เกิดความปั่นป่วนทางราคาเรื่องนี้ให้กรมการค้าภายใน ติดตามใกล้ชิด หากมีการค้ากำไรเกินควร-ขายเกินราคา... เรามีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว ตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการปี 2542 ซึ่งมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ .... หากมีเบาะแสสามารถร้องหรือแจ้งมาที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์ทุกจังหวัด เราจะส่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ” นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์สื่อถึงมาตรการควบคุมราคาด้วยท่าทีรั้งๆ รอๆ

ทั้งนี้ มีข้อมูลว่า นายจุรินทร์ได้สั่งให้กรมการค้าภายในไปสำรวจราคาและดูว่าควรขายเม็ดละเท่าไหร่จึงจะจูงใจผู้ผลิตไม่ให้สินค้าขาดตลาด และประชาชนซื้อได้ในราคาเหมาะสม โดยจะพิจารณากำหนดราคาอ้างอิงร่วมกับองค์การเภสัชกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทว่า จนถึงวันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ยังขอเวลาพิจารณาเรื่องนี้อีกสักระยะทั้งๆ ที่ราคาฟ้าทะลายโจรพุ่งพรวดขึ้นไปตามที่มีข้อร้องเรียนของประชาชนไปยังรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี สังให้พาณิชย์รีบดำเนินการ แต่พาณิชย์ ก็ขอดูก่อน วนลูปกันไป พ่อค้านักฉวยโอกาสปั่นราคายังไม่ถูกเชือด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจึงตกหนักที่ประชาชนซึ่งหวังพึ่งฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 เพราะระบบสาธารณสุขรองรับผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อย่าง “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย จะว่าไปผลงานในเรื่องฟ้าทะลายโจรก็ไม่เข้าตาประชาชนเมื่อเทียบกับ “2 รัฐมนตรีช่วย” คือ “ร้อยเอกธรรมนัสและนางสาวมนัญญา” ที่ตอบรับนโยบายได้ดีกว่า แล้วที่ตั้งโต๊ะแถลงเรื่องส่งเสริมการปลูกฟ้าทะลายโจรก็เป็นผลงานของ “เสี่ยจ้อน-อลงกรณ์ พลบุตร” ผู้เป็นที่ปรึกษาเสียมากกว่า ขณะที่หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับของ “เสี่ยต่อ” คือ “กรมส่งเสริมการเกษตร” ก็ปฏิบัติตามหน้าที่นี้อยู่แต่เก่าก่อนในการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรอยู่แล้ว เพียงแต่โควิด-19 รอบนี้ทางกรมฯ ได้เร่งโครงการผลิตต้นพันธุ์ฟ้าทะลายโจรผ่านศูนย์ขยายพันธุ์พืชทั้ง 10 ศูนย์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

แต่ว่าก็ว่าเถอะ “แมลง” คนสำคัญที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ก็คือ “นพ.บุญ วนาสิน” ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเครือโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาออกโรงฟาดงวงฟาดงาเรื่อง “โมเดอร์นา” อย่างถึงพริกถึงขิงว่าถูกกระทำอย่างโน้นอย่างนี้ แถมยังคุยฟุ้งอีกต่างหากว่า เตรียมเซ็นสัญญากับบริษัท “ไฟเซอร์” เพื่อนำเข้ามาในประเทศไทย แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะความจริงไม่มีบริษัทขายวัคซีนยี่ห้อไหนขายตรงให้กับภาคเอกชน มีแต่ขายให้รัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากเป็นวัคซีนที่อนุมัติใช้ในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงได้

วันนี้ “หมอบุญ” หายเข้ากลีบเมฆและสังคมเห็น “ลิ้นไก่” ที่อยู่ในปากแล้วว่า ไม่ได้สนใจอะไรนอกจาก “หุ้น” ของตัวเอง

เฉกเช่นเดียวกับสารพัด “หมอ” ที่อยู่ข้างกายนายกฯ ที่วันนี้ก็มิได้เคยแสดงความรับผิดชอบอะไรออกมาเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาและการบริหารวัคซีนที่ผิดพลาด จนได้รับฉายาว่า “เวชบริกร” ก็เท่านั้น





กำลังโหลดความคิดเห็น