ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จาก “สตรอง” กลายเป็น “สะเทือน”
ตามรายงานข่าวที่ระบุว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งกับคำถามผู้สื่อข่าวที่ส่งโพยมาล่วงหน้า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
“ดูแต่ละคำถาม ถามแบบนี้จะให้ตอบอย่างไร ผมไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทุกคนช่วยกันทำงาน ผมไม่คิดว่าเป็นเวลาของการเล่นการเมืองนะ ถ้าท่านจะออกจากผมก็แล้วแต่ ผมก็จะทำงานของผมต่อไป ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ”
ฟังผิวเผินเหมือนฟาดไปที่ “กระจอกข่าว” สื่อมวลชนที่ตั้งคำถามไม่ถูกใจ หมกมุ่นแต่ประเด็นการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีพรรคร่วมรัฐบาลโดดเดี่ยว “นายกฯ ตู่” หรือกรณีมีการเรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ความเป็นความตายของประชาชน
แต่เมื่อดูบริบทเหตุการณ์จับความสำคัญ น่าจะพุ่งน้ำหนักไปที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่นั่งหน้าสลอนร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์วันนั้นมากกกว่า โดยเฉพาะประโยคลงท้ายที่ว่า “ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ”
หากหงุดหงิดแค่สื่อ คงไม่ติดปลายนวมใส่น้ำหนักแบบเสยปลายคาง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “บิ๊กตู่” ฟาดงวงฟาดงาระหว่างการประชุม ครม. เพียงแต่ถอดรหัสใครจะทิ้งก็ตามใจ อยู่ในภวังค์ของคนที่ “โดดเดี่ยว-เดียวดาย”
ในจังหวะที่น่าจะถึงจุด “เคว้งคว้าง” มองหน้ามองหลังแทบไม่เหลือใคร ไม่อย่างนั้นระดับ “บิ๊กตู่” ที่เคยมี “ภูมิต้านทานสูง” คงไม่พึมพำเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
ราวกับเป็นคนละคนกับ “ฮีโร่ตู่” ก่อนหน้านี้ที่เคยร้อนแรง แข็งแกร่ง จนปรอทแทบแตก ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โนแคร์ว่าใครจะทิ้งขว้าง เพราะ “แอนติบอร์ดี้” ทางอำนาจของ “เครือข่าย 3 ป.” สูงปรี๊ด ชนิดที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องมาคอยเกาะแข้งเกาะขา เป็นฝ่ายวิ่งเข้าหา “ท่านผู้นำ”
งานนี้ไม่รู้จะโทษพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำตัวเหมือนอยู่โลกคนละใบได้หรือไม่ เพราะที่มาถึงจุด “คนเดียวลำพัง” ได้ ก็ด้วยน้ำมือ “ท่านผู้นำ” เอง
เถียงไม่ได้กับการตัดสินใจใช้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เป็นแกนกลางในการแก้ปัญหา แต่การบริหารงานกับเหมือน “รัฐราชการ” ผสมกับ “กองทัพ” ได้ผลลัพธ์เป็นสารพันปัญหาที่ออกมา โดยเฉพาะความทับซ้อนทางอำนาจขั้นสุดแบบ “รัฐซ้อนรัฐ”
ที่สำคัญ นับตั้งแต่ตัดสินใจรวบอำนาจรัฐมนตรีผ่านกฎหมาย 31 ฉบับ เพื่อหวังบริหารแบบ “ซิงเกิลคอมมานด์” ขึ้นตรงกับตัวเองคนเดียวแบบเบ็ดเสร็จ รัฐมนตรีในรัฐบาลเป็นแค่ไม้ประดับแจกัน
นั่นแหละคือ วันที่ “อยู่ลำพังโดยสมบูรณ์แบบ”
อาจเพราะความมั่นใจในตัวเองที่สูงปรึ๊ด ทำให้ “บิ๊กตู่” เลือกจะเป็น “วันแมนโชว์” ในภาวะมหาวิกฤตการณ์ไวรัสมรณะโควิด-19 ที่มวลมนุษยชาติไม่เคยเผชิญ
งานใหญ่เวิลด์ไวลด์ขนาดนี้ แทนที่จะเน้น “ทีมเวิร์ก” โดยมองข้ามความรู้สึก และกติกาของการอยู่ร่วมกัน เลือก “ฉายเดี่ยว” จนเพลี้ยงพล้ำหน้าคะมำไปกับปัญหา
ส่วนหนึ่งที่ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจแบบนี้ อาจเคยได้ผลมาในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี “ปืน-รถถัง” จนสะกดความพยศของฝ่ายตรงข้ามได้เกือบ 5 ปีเต็ม เลยคิดว่าผลลัพธ์จะได้แบบเดิม หากแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่กลัวรถถัง ไม่กลัวปืน
ดังนั้น เมื่อเลือก “วันแมนโชว์” ก็ต้องยืนกอดอกหนาวสะท้านอยู่กลางพายุ
จริงๆ แล้ว สัญญาณว่า “ซิงเกิลคอมมานด์” เวอร์ชั่น “บิ๊กตู่” ดื้อยาตั้งแต่การระบาดระลอกที่ 2 ต้นปี 2564 จากประเด็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองที่ จ.สมุทรสาคร และการระบาดระลอกที่ 3 ในต้นเดือน เม.ย.64 แล้วว่า “สอบตกซ้ำ” ถึงขั้นควรจะโดน “รีไทร์” ไปแล้วด้วยซ้ำถ้าประเมินแบบนักเรียน-ศึกษา
ผิดซ้ำแล้ว พลาดซ้ำเล่า ก็ยังทำแบบเดิมๆ โดยคิดว่า ผลลัพธ์จะแตกต่างออกไป ผสมโรงกับการบริหารบ้านเมืองเรื่องอื่นๆ กระแสไล่ให้ “ออกไป” ก็เลยยิ่งกระหึ่ม
ขณะเดียวกัน “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็ “แสบ” ไม่เบาเหมือนกัน ในเมื่อมองกันเป็นดอกไม้ในแจกัน ก็ปล่อยให้ “ท่านผู้นำ” เป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” ต้อนรับทัวร์ในแต่ละวันกันไป ส่วนตัวก็หันไปทำงานรูทีนชิงพื้นที่ข่าวพีอาร์ไปวันๆ
ไม่ว่า “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่หลังดิ้นหลุดครหา “หน้ากากอนามัย-ถุงมือยาง” เมื่อครั้งการระบาดระลอกแรก ต้นปี 2563 ได้แล้ว ก็ใส่เกียร์ “ลอยตัว” ไม่ขอร่วมแชร์สหบาทา แทบไม่มีบทบาทในสมรภูมิโควิด-19 ของรัฐบาลเลย อาจจะด้วยกระทรวงหลักที่พรรคดูแล “พาณิชย์-เกษตรและสหกรณ์” ไม่ใช่ด้านหลักที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโรคระบาด มีเพียง “หมอตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เพียงรายเดียวเท่านั้นที่เกี่ยวข้องโดยตำแหน่ง
ที่เห็นและเป็นไป “วิกสามเสน” ก็เพียงปั้นข่าวยอดส่งออก ราคาสินค้าเกษตร กรุยทางหาพื้นที่สื่อโปรโมท “หัวหน้าอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามสไตล์ “พรรคเขี้ยวลากดินแห่งชาติ” เท่านั้น
ขณะที่ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่แรกเริ่มเดิมทีวิกฤตโควิดมาใหม่ๆ เรียกว่า “รับเละ” ทัวร์ลง “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านสาธารณสุขปราบปรามโรคระบาดจน “งอมพระราม” แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีรวบอำนาจไปใส่ใน ศบค. แล้วยังมีคณะกรรมการที่ “บิ๊กตู่” ตั้งขึ้นหยุบหยับ ก็เบาไปเยอะ
เมื่อ “หัวหน้าหนู” ไม่มีงานหยิบจับเป็นชิ้นเป็นอัน ถนนทุกสายใครด่าทอปมโควิดก็วิ่งตรงไปที่ “นายกฯ ตู่”
ทว่า ก็ยังมี “ลูกหลง” กระเด็นไปถึง “ค่ายบุรีรัมย์” บ้าง ต้องงัดลูกเขี้ยวทางการเมือง อาศัยจังหวะทัวร์ลง “บิ๊กตู่” ปล่อยแถวสอง-แถวสามในพรรคออกมาเล่นมาเปิดประเด็น “แพะรับบาป” ฟอกให้ “หมอหนู” ที่โดนกรุ๊ปทัวร์ไปเยี่ยมบ่อยก่อนหน้านี้
พรรคภูมิใจไทย ชักแม่น้ำสารพัดสายเพื่อให้สังคมเห็นว่า “หมอหนู” ไม่ควรโดนถล่มอะไรเกี่ยวกับเรื่องโควิดอีก เพราะถูกริดลอนจนง่อยเปลี้ยเสียขาในอำนาจ
ตั้งแต่เรื่องเตียงไม่เพียงพอใน กทม. ที่มีการหยิบยกเอาคำสั่งตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้ ขึ้นมากางว่า กรรมการชุดนี้ มี “บิ๊กตู่” เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ขณะที่ “หมอหนู” ไม่มีตำแหน่งอะไร
ขณะเดียวกัน กรรมการชุดนี้ที่พรรคภูมิใจไทยโยนเผือกไปให้ พบว่ามีรายชื่อของ “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นรองผู้อำนวยการ
เหมือนต้องการจะชี้เป้าปักหมุดให้ “คณะทัวร์” แวะเวียนไปเยี่ยม “บิ๊กตู่-บิ๊กวิน” โดยเฉพาะรายหลัง ถือว่ามี “ปมในใจ” กันมา ตั้งแต่เรื่องสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ฟากฝั่ง “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ก็อ่านเกมออกว่าเป็นศึก “โยนขี้” ของพรรคภูมิใจไทย เลยกดปุ่มส่งตัวชน สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. ออกมาสวนหมัด นอนโลงซ้อมตาย ไถลไปไล่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งเป็น “ฝ่ายประจำ” ให้เป็น “แพะ” เสียอย่างนั้น
แต่ทุกคนรู้กันดี หมัดนี้ “สิระ” ที่ต่อย “หมอโอภาส” แท้จริงเป็นของฝากไปถึง “หมอหนู” ต่างหาก
ท่าที “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” ดูไปดูมา บางทีก็เหมือนแอบเตี้ยม “บทลอยตัว” กันมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นช็อตที่ “หมอตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ค่ายประชาธิปัตย์ อยู่ๆ ออกมายอมรับว่า วัคซีนหลัก “แอสตร้าเซนเนก้า” จะไม่สามารถส่งวัคซีนให้ครบตามเป้าหมาย 61 ล้านโดสภายในปีนี้
ก่อนที่ไม่กี่วันต่อมา นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผู้ใต้บังคับบัญชา “หมอหนู” จะออกมาขออภัยต่อสังคมที่ไม่สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอต่อสถานการณ์ พร้อมทั้งพยายามจะเข้าโครงการ Covax ที่ไทยยืนยันว่าจะไม่เข้าก่อนหน้านี้
กระทรวงสาธารณสุขที่มีรัฐมนตรีจาก 2 ค่าย งัดซีนสุภาพบุรุษยอมรับความผิด คิวนี้ “ลุงตู่” ก็เหมือนเป็น “ผู้ร้าย” ไปเลย เพราะจนกระทั่งถึงวันนี้ “ลุงตู่” รวมทั้ง “เวชบริกร” ที่อยู่ข้างกายก็ยังไม่เคยแอ่นอกยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่จะเอ่ยปากตอนนี้ก็ต้องบอกว่า TOO LATE หรือ “สายเกินไป” แล้ว
จากที่เคยปวารณาตัวเป็น “หนู” คอยช่วย “ราชสีห์” ตอนนี้ตัวใครตัวมันก่อน
อ่านกันไปถึงขั้นว่า กางกติการัฐธรรมนูญ 2560 แคนดิเดตนายกฯที่เสนอกันไว้เมื่อเลือกตั้ง มี.ค.2562 ยังไม่สิ้นสภาพ จับผลัดจับผลูเกิด “ลุงตู่” ถอดใจเลือกช้อยส์ลาออกขึ้นมา เปิดก๊อกแรกแคนดิเดตภูมิใจไทยที่ชื่อ “อนุทิน” ก็มีสิทธิ์ หรือกระทั่งแคนดิเดตประชาธิปัตย์ “เฮียมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีลุ้น
หรือไม่ถึงขั้นนั้น อย่างน้อยๆ ก็ “ด้อยค่า” ตัวนายกฯ เพิ่มอำนาจต่อรองพรรคเบอร์ 2-3 ในรัฐบาล ต่อไปเจรจา อะไรๆ จะได้ง่ายกว่าเดิม
อย่างไรก็ดีต่อให้ซุ่มโจมตีกันแบบ “สงครามเย็น” แค่ไหน เชื่อว่า ณ เวลานี้ยังไม่ถึงจุดที่พรรคร่วมรัฐบาลกล้าทิ้ง และไม่มีใครกล้าหนี เพราะสู้ก้มหน้าก้มตานั่งทับ “อำนาจ” อยู่กันให้ครบเทอมดีกว่า
เพราะนาทีนี้ใครคิดชิ่ง ลำบากทุกคู่ ลงสนามเลือกตั้งมีแต่พังไม่เป็นแถบ แพ้แบบแลนด์สไลด์แน่นอน แล้วถ้ายังกลับมาใช้ “มุกเดิม” คือ “มือ ส.ว.” อีก รับรองว่าอาจถึงขั้นจลาจลเพราะกระแสสังคมโกรธแค้นรัฐบาลชุดนี้ในระดับเดือดหลายเซลเซียส เต็มที่ก็ทำได้แค่เล่นบท “ไม่รัก-ไม่ช่วย-ไม่หนี” ปล่อย “บิ๊กตู่” ตายเดี่ยวคาหอคอย
ใส่เกียร์ “ลอยตัว” ไว้เหมือนเป็นการ “เพลย์เซฟ” ตัวเองไว้กรณีฉุกเฉิน เพราะสถานการณ์ไม่มีอะไรแน่นอน ประเทศเข้าขั้นวิกฤตโดยไม่รู้จุดสูงสุดจะอยู่ตรงไหน ระบบสาธารณสุขพังพินาศ คนตายเป็นไม้ใบร่วง ศพริมทางข้างถนนเริ่มมีให้เห็น คนติดเชื้อเพิ่มชะลูด ชีวิตคนในประเทศอยู่ในโหมด “รอติด-รอตรวจ-รอตาย”
กองหนุน “บิ๊กตู่” ที่เคยเหนียวแน่น วันนี้หรอมแหรม บางคนออกมายืนท้าวสะเอวชี้หน้าด่า เพราะเหลืออด หลับหูหลับตาชมไม่ลง ผสมปนเปกับ “กลุ่มต้าน” ที่ตั้งแท่นด่าอยู่แล้ว
หนักข้อกว่าถึงจุดที่รัฐหน้ามืด ถือกระบอง เอากฎหมายมาหวดคนวิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยแถว “ทหารเลว” ออกไปเพ่นพ่าน สาดน้ำมันใส่กองไฟ กรณี สนธิญา สวัสดี อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ว่ากันว่า เป็นเด็ก “แรมโบ้” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ ตรวจสอบ กรณีการ Call out ของดารา นักร้อง และ ผู้มีชื่อเสียง เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
หรือก่อนหน้านั้น อภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ไปแจ้งความเอาผิด “มิลลิ” ดนุภา คณาธีรกุล นักร้องแร็ปเปอร์ วัย 19 ปี ในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หลังจากแสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลผ่านบัญชีใช้งานสาธาณะทวิตเตอร์ ก่อน “มิลลิ” ไปพบพนักงานสอบสวน สารภาพผิด โดนปรับ 2,000 บาท ส่วนคดีอาญาไม่ติดใจเอาความกัน
คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม เสียค่าปรับ 2,000 บาทที่ว่า กลับชิงพื้นที่สื่อ-โซเชียล ฟาดกลับมาที่รัฐบาลว่า “รังแกเด็ก”
ไม่ใช่แค่ “อภิวัฒน์” มีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาลเท่านั้น ยังพะยี่ห้อ “ทนายประยุทธ์” ทั้งดูแลคดีส่วนตัวและของครอบครัว แล้วยังได้รับการแต่งตั้งจาก “นายกฯตู่” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จในการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และการฝ่าฝืนหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (คตส.)
กรณี “มิลลิ” ก็เลยโดนโยงเห็นภาพว่า “บิ๊กตู่” สั่งเล่นงานเอง นอกจะไม่ได้ทำให้คนเกรงกลัว ยังไม่ต่างอะไรกับการโยนฟืนเข้ากองไฟ สุมความขัดแย้งในสังคมมากขึ้นไปอีก
ฉายเดี่ยวจนได้เรื่อง บริหารไม่ได้ความ ความสงบที่เคยเป็นจุดขายหายวับ ภูมิต้านทานหายเกลี้ยง ราวกับฉีดวัคซีนผิดยี่ห้อ
ใครเป็น “ลุงตู่” วันนี้ก็เคว้งคว้างเข้าโหมด ALONE เป็นธรรมดา
และถ้าจะว่าไป นอกจาก ALONE แล้ว ยัง TOO LATE ที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กระเตื้องขึ้นอีกต่างหาก
สุดท้าย “ลุงตู่” อยากจะให้ประวัติศาสตร์ชาติไทยบันทึกชื่อของตัวเองเอาไว้อย่างไร ทุกวินาทีในการบริหารราชการแผ่นดินมีความสำคัญยิ่ง.