ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่อเนจอนาถใจชีวิตคนไทยในโมงยามนี้ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องพากันตาคาถนน ตายในบ้าน จากการติดเชื้อโควิด-19 โดยระบบสาธารณสุขของไทยที่เคยได้ชื่อว่าคุมโรคได้ดีติดอันดับโลก กลับกลายมาล่มสลายรองรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-ไม่ไหวจากตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมหลักแสน ติดเชื้อรายวันพุ่งขึ้นหลักหมื่น โดยมียอดตายนับร้อย ไม่นับอาการโคม่าที่รอเวลานับถอยหลังอีกจำนวนไม่น้อย
แต่ที่หดหู่ใจไม่แพ้ก็คือ แม้แต่ “ฟ้าทะลายโจร” พืชสมุนไพรที่ถือเป็นความหวังหนึ่งเดียวของคนไทยยามนี้เพราะมีบทพิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในรายที่มีอาการไม่มาก ขณะวัคซีนที่มีอยู่ในมือขาดแคลนและมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพก็ยังต้องเผชิญกับ “มารผจญ” ด้วยมีความพยายามที่จะออกมาให้ข้อมูลในทำนองว่า ฟ้าทะลายโจรที่ได้ผลดีนั้น จะต้องเป็นชนิดที่สกัดเอาสารสำคัญคือ “แอนโดรกราโฟไลด์” ออกมา มิใช่แบบที่รับประทานในลักษณะของ “ผงหยาบ”
แถมมีความพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า สารสกัดแอนโดรกราไลด์นั้น มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์และโปรตีนหลายชนิดของเชื้อโรคร้ายนี้ และเป็นที่มาทำให้โรงงานหลายแห่งต้องผลิตสารสกัดฟ้าทะลายโจรโดยยึดมั่นที่ตัวสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็น “หลักเท่านั้น” ว่าต้องมีเท่าไหร่จึงจะสามารถรักษาเชื้อโรคร้ายนี้ได้ ร้ายหนักไปกว่านั้นก็คือ มีประเภทที่บอกว่า ให้พิจารณาที่กล่องบรรจุผลิตภัณฑ์อีกต่างหากว่า ถ้ายี่ห้อไหนไม่เขียนเอาไว้ว่ามีสารแอนโดกราโฟไลด์ ไม่แนะนำให้ใช้
คำถามมีอยู่ว่า ฟ้าทะลายโจรต้นไหนไม่มี “สารแอนโดรกราโฟไลด์”
คำถามมีอยู่ว่า นี่เป็นการ “ล็อกเสปก”ให้กับ “บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่” ใช่หรือไม่ ทั้งๆ ที่การใช้ “ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจรถือเป็นภูมิปัญญาไทยซึ่งมีประวัติใช้กันมาอย่างยาวนานทั้งปริมาณที่ใช้สำหรับการรักษาและความปลอดภัย รวมทั้งมีงานวิจัยและผลการใช้จริงพบว่า ในฟ้าทะลายโจรนั้นมีมากกว่าแค่สารแอนโดรกราโฟไลด์เพียงชนิดเดียว
“ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งศึกษาหาข้อมูลเรื่องฟ้าทะลายโจรมาอย่างต่อเนื่อง ให้ข้อมูลว่า หลักฐานหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคืองานวิจัยร่วมของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสวีเดนและอินเดีย ซึ่งได้พบว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด”ในฟ้าทะลายโจรที่ทำงานร่วมกันในการยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้ งานวิจัยชิ้นดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางด้านชีวโมเลกุลและพลวัตรที่ชื่อว่า Journal of Biomolecular Structure and Dynamics เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด” ที่ไม่ใช่แค่สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่มีกลไกยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้เท่านั้น แต่มีสารสำคัญถึง 4 ชนิดที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
สารแอนโดรกราโฟไลด์ หรือ AGP 1, 14-deoxy 11,12-didehydro andrographolide หรือ AGP2 รวมทั้งสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 และสาร 14-deoxy andrographolide หรือสาร AGP4 ซึ่งได้ทำหน้าที่ร่วมกันในการยับยั้งเชื้อโควิด-19
โดยเฉพาะสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 หรือสาร AP3 ที่มีบางบริษัทสกัดทิ้งออกไปนั้น กลับมีส่วนสำคัญเข้าไปสู่เป้าหมาย 4 ตำแหน่งของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่เอนไซม์ 3 L main protease หรือ 3CLpro, Papain-like proteinase หรือ PLpro, RNA-directed RNA polymerase หรือ RdRp และโปรตีนของหนามโควิด (spike protein) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 [1]
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต บอกด้วยว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ในขณะที่บัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนด “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อลดความรุนแรงของโรคหลังติดเชื้อสำหรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรืออาการน้อย แต่ในขณะที่เรือนจำกรุงเทพได้ใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 12 แคปซูลต่อวัน ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เพียง 132 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น เมื่อกินผงหยาบฟ้าทะลายโจรไป 5 วัน ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยปราศจากเชื้อโรคร้ายนี้ในวันที่ 8 ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้เวลาถึง 12 วัน
นั่นเป็นตัวอย่างที่อาจแสดงให้เห็นว่า “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรอาจมีอะไรที่มากกว่า “สารสกัด” จึงมีผลการรักษาที่ดีเช่นนี้ได้ และทำให้มั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะได้เคยใช้กับคนไทยมานานหลายสิบปีแล้ว
แต่เมื่อย้อนกลับไปที่ผงฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ในบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น สถานภาพ ณเวลานี้คือ “ให้ใช้ได้แต่ยังต้องเก็บข้อมูลเพื่อหาความชัดเจนต่อไป” ซึ่งหมายความว่า สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ต่างหากที่ยังไม่มีความแน่ชัดเพราะไม่ได้ผ่านขั้นตอนในการเทียบน้ำหนักจากสัตว์ทดลอง การใช้ในบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยังอยู่ในขั้นการเก็บข้อมูลเท่านั้น ว่าเป็นปริมาณที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุดจริงหรือไม่ และยังไม่ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบกับการใช้ผงฟ้าทะลายโจรว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มีการเปรียบเทียบกันในสัตว์ทดลองเลย
ที่สำคัญคือผงหยาบฟ้าทะลายโจรที่บรรจุขายกันทุกวันนี้ก็ผ่านการรับรองจาก อย.เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในแต่ละแคปซูลก็มีกำหนดปริมาณและสารเอาไว้ชัดเจน
ทั้งนี้ บัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนดสำหรับโรคหวัดธรรมดาว่า ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นปริมาณยา “ต่ำที่สุด” ที่ 1.5 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 1.5x4 = 6 กรัมต่อวัน โดยให้กินติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน จึงย่อมเป็นปริมาณที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน โดย 6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 5 วันเทียบเป็นแคปซูลในชนาดต่างๆดังนี้ คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 4 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 3 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 5 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ส่วนปริมาณยา “สูงที่สุด” ที่ 3 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 3x4 = 12 กรัมต่อวัน โดยให้กินติดต่อกัน 5 วัน จึงย่อมเป็นปริมาณ “สูงสุด” ที่ยังปลอดภัย โดย 12 กรัมต่อวัน เทียบเป็นแคปซูลในขนาดต่างๆ ดังนี้คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 8 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 12 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 10 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
อาจารย์ปานเทพแนะนำด้วยว่า ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็นอย่างยิ่ง และมีรสขมมาก จนมีชื่อเสียงว่าเป็นราชาแห่งความขม ดังนั้นการนำมาใช้กับโรคระบาดนั้น ย่อมหมายถึงอยู่ในสถานะ “รสยาแรก” ที่ขมและเย็นเพื่อลดไข้หรือกำเดากำเริบให้สำเร็จภายใน 4 วันแรก หากไม่ทันโรคจะดำเนินต่อไปเข้าสู่ช่วงเวลาเสมหะ ซึ่งจะกำเริบอีก 9 วัน ดังนั้นการรักษาจะนานขึ้นเป็นเวลา 13 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงในการกักตัวผู้ป่วยโรคนี้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ใช้เวลารักษาไม่เกิน 14 วันในปัจจุบันการใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเดี่ยว “รสยาแรก” จึงสำคัญอย่างยิ่งใน 4 วันแรก แต่เนื่องจากผู้ป่วยและเชื้อโรคแตกต่างกัน ทั้งมีเชื้อมากหรือเชื้อน้อย ชนิดเชื้อเหมือนกันหรือต่างกัน ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำหรือสูงแตกต่างกัน และฟ้าทะลายโจรนั้นมีคุณภาพแตกต่างกันอีก้วย ล้วนแล้วแต่เป็น “ตัวแปร” ที่ทำให้ความสำเร็จหรือล้มเหลวแตกต่างกัน
ดังนั้นหลายคนจึงไม่ควร “รอคิวตรวจเชื้อ” และ “รอผลตรวจเชื้อ” โดยไม่ทำอะไร ซึ่งอาจใช้เวลานานเกิน 4 วัน ดังนั้นเมื่อมีอาการครั่นเนื้อตัว ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ มีไข้ ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่พบผู้ป่วยติดเชื้อ ให้รีบใช้ “ผง” หยาบฟ้าทะลายโจรโดยทันทีในฐานะเป็น “รสยาแรก”ให้จบภายใน 4 วันแรก โดยภายใน 1-2 วันแรกให้ใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน หากผ่านไป “วันครึ่ง” ยังไม่ดีขึ้นหรือดีขึ้นน้อยมาก ให้รีบเพิ่ม 2 เท่าเป็น 12 กรัมต่อวันตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างชัดแจ้ง เพราะต้องยอมรับว่า เวลานี้ ฟ้าทะลายโจรขาดตลาดและมีราคาแพงมาก การที่ขีดเส้นให้ใช้เฉพาะแต่สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์จึงเกิดคำถามตามมามากมายว่า มี “วาระซ่อนเร้น” อะไรหรือไม่ เอาแค่ผงหยาบฟ้าทะลายโจรที่บดและบรรจุแคปซูลขาย ประชาชนยังแห่เข้าคิวยาวเหยียดเพื่อซื้อกันเลย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ภาครัฐควรทำที่สุดก็คือ เร่งส่งเสริมการปลูกฟ้าทะลายโจรเอาไว้ที่บ้าน และแนะนำการใช้ถูกต้อง มิใช่จะมุ่งหน้าไปสู่การผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมแต่เพียงประการเดียว ซึ่งจะเข้าทางนายทุนเหมือนแทบจะทุกเรื่องที่ผ่านมา
ประชาชนคนไทยคงต้องติดตามวาระซ่อนเร้นเรื่องฟ้าทะลายโจรอย่างไม่วางตากันเลยทีเดียว