ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “วัคซีนสูตรไขว้” หรือการฉีดวัคซีนผสมสูตรสลับชนิด “คนเขว” หนักหาใช่ใครอื่นแต่เป็น “ลุงตู่” ที่ออกอาการสับสนงงงวย สั่งเบรกหัวทิ่มก่อนกลับลำให้เดินหน้าฉีดต่อได้ สร้างความสับสนทำให้ “นนท์พร้อม” กับโรงพยาบาลอีกหลายแห่งประกาศงดฉีดวัคซีนต่างชนิด ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกต่างฉีดสลับยี่ห้อและเข็มสามเพิ่มภูมิต้านทาน
ปัญหาขาดแคลนวัคซีนที่จัดหาไม่ทันรวมทั้งการส่งมอบไม่มาตามกำหนดนัด ทำให้บรรดาหมอและผู้เชี่ยวชาญคิดค้นสูตรการฉีดวัคซีนสลับชนิดสลับยี่ห้อโดยมีผลทดลองอ้างอิงจากกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มหนึ่งและเข็มสองไม่เหมือนกันนับพันคนแล้วพบว่ามีภูมิต้านทานดีขึ้น กระทั่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้ฉีดวัคซีนสลับจาก “ซิโนแวค” เข็ม 1 แล้วเข็มที่ 2 ให้เป็น “แอสตร้าเซนเนก้า” และฉีดซิโนแวค เข็ม 1 และ 2 แล้ว ให้บูสเตอร์เข็ม 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า
ทว่า ในวันถัดมา กลับมีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเบรกในวงประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม โดย “นายกฯลุงตู่” ได้นำคลิปวิดีโอ ของ ดร.สมยา สวามินาธาน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่พูดถึงการฉีดวัคซีนสูตรผสมหลายชนิดมาเปิดให้ที่ประชุมได้รับชมและรับฟังคำเตือนจาก WHO ว่าการออกนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบผสมหรือจับคู่กันเองถือเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงเพราะตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าการฉีดวัคซีนแบบผสมจะปลอดภัยไร้ผลข้างเคียงหรือมีประสิทธิภาพดีกว่าฉีดยี่ห้อเดียวกัน อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพที่ชัดเจน
ทว่า หากฟังอย่างได้ศัพท์ไม่สับสน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ WHO บอกชัดว่า การตัดสินใจฉีดวัคซีนสลับชนิดไม่ควรเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคลแต่หน่วยงานสาธารณสุขของประเทศนั้นๆ สามารถทำได้ ซึ่งก็ชัดว่าต้องให้คณะแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตัดสินใจและวางระบบในการฉีดวัคซีนสลับชนิด
แน่นอน สำหรับประเทศไทย การตัดสินใจเรื่องวัคซีนอยู่ในมือของคณะหมอ และศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อยู่แล้ว อย่างเรื่องการฉีดวัคซีนสลับชนิดกันนั้น ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดหลายครั้งว่าการฉีดวัคซีนสลับชนิดได้ผลดีมาก ล่าสุด “หมอยง” โพสเฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” ว่า การให้วัคซีนเข็มแรกเป็นชนิดเชื้อตาย แล้วตามด้วยไวรัส Vector จะกระตุ้นได้ดีมาก อ้างอิงจากผู้รับวัคซีนสลับยี่ห้อกว่า 1,200 คน ของข้อมูลที่ถูกในบันทึกในแอปพลิเคชันหมอพร้อม พบว่า ภูมิสูงขึ้น และไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรงแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน “หมอยง” ได้อธิบายระหว่างการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุข ในวันเดียวกันกับที่ครม.มีการประชุมถึงแผนการสลับชนิดวัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชน โดยยกตัวอย่างว่าที่ผ่านมาก็มีการสลับชนิดวัคซีนเกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ อย่างเช่น ที่สหราชอาณาจักร มีการฉีดวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” เป็นโดสแรก และ วัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มที่ 2
“หมอยง” บอกว่า สาเหตุที่เลือกใช้วัคซีนสลับเข็มแทนฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม เป็นเพราะสถานการณ์ขณะนี้ที่วัคซีนขาดแคลน จะรอให้ประชาชนฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม โดยใช้เวลาระหว่าง 2 เข็มนี้ ถึง 10 สัปดาห์ ก็จะช้าเกินไปที่จะเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่เมื่อฉีดซิโนแวค แล้วสลับไปฉีดแอสตร้าเซนเนก้าจะร่นเวลาระหว่างเข็ม 1 และเข็ม 2 เหลือเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น อีกทั้งยังยกกลุ่มตัวอย่างจากฐานข้อมูล “หมอพร้อม” ว่า มีคนไทยฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อไปแล้วในชีวิตจริงประมาณ 1,200 คน พบว่า ปลอดภัย ไม่มีใครมีอาการข้างเคียงรุนแรง
หลังจากเคลียร์ความชัดเจนและเข้าใจตรงกันได้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีว่า “ลุงตู่” ไม่มีนโยบายระงับการใช้วัคซีนสูตรผสมแต่อย่างใด
ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันกับ “หมอยง” ว่า มีหลายประเทศด้วยกันที่มีการฉีดวัคซีนข้ามยี่ห้อ อย่างสเปนและเยอรมนี ก็ใช้แอสตร้าเซนเนก้าและตามด้วยไฟเซอร์ เพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ส่วนประเทศที่ใช้ซิโนแวค และซิโนฟาร์มเป็นหลัก เช่น อินโดนีเซีย บราซิล ชิลี และไทย ขณะที่จีนเริ่มพูดถึงผู้ที่ได้รับซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม เข็มที่ 3 อาจจะฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ต่างออกไปจากเดิม
“หมอธีระวัฒน์” โพสเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” อธิบายความเพิ่มเติมในวันต่อมาว่า ความสับสนที่เกิดขึ้นจากการไขว้วัคซีน ต้นเหตุน่าจะเกิดขึ้นจากการที่หาวัคซีนไม่ได้ ดังนั้นการจะแก้ความสับสนคือ “แก้ที่ต้นเหตุ” หาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีเข้ามาให้เพียงพอสำหรับคนไทย
แต่สิ่งที่ “หมอธีระวัฒน์” ไม่เห็นด้วยก็คือ วัคซีนแอสตร้าฯ จะเริ่มสร้างภูมิให้เห็นได้ชัดเจน 14 วันหลังจากฉีดเข็มแรก แต่ในทางกลับกันวัคซีนซิโนแวคจะเริ่มสร้างภูมิเกือบ 30 วันหลังฉีดเข็มที่สอง ดังนั้นการไขว้ซิโนแวคต่อด้วยแอสตร้าฯ จะไม่เป็นไปตามหลักการไขว้วัคซีนที่ปฏิบัติกันไปแล้วในแอสตร้าฯกับไฟเซอร์ และโมเดอร์นา นอกจากนั้นซิโนแวค ยังไม่มีความชัดเจนในประสิทธิภาพเจาะจงในการกันติดกับเดลตาดังที่เห็นในชิลีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาหรือในบราซิลและในอินโดนีเซีย เป็นต้น แต่ที่ประเทศจีนที่ได้ผลนั้นแม้จะยืนพื้นด้วยซิโนแวค เป็นเพราะมีการคัดกรองและแยกตัวอย่างดีเยี่ยมและเข้าถึงประชาชนทุกคนพร้อมกันนั้นคือการทำตามวินัยสูงสุด
การไขว้ซิโนแวคกับแอสตร้าฯ อาจจะกลายเป็นเสียวัคซีนเข็มแรกไปและยิ่งไปกว่านั้นภูมิที่ได้โดยไม่สามารถจับได้แน่นกับเดลต้าอาจจะกลายเป็นทำให้เกิดผลร้ายมากขึ้นโดยการที่ภูมิไปจับไวรัสและนำพาไปหาเซลล์ที่สร้างการอักเสบอย่างรุนแรงต่อซิโนแวคเมื่อใช้ไปสองเข็มและภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ทดแทนได้ด้วยการกระตุ้นเข็มที่สามด้วยแอสตร้าฯ ซึ่งช่วยให้ภูมิสูงขึ้นอย่างมาก และขณะเดียวกันมีความสามารถเจาะจงกับเดลต้าได้มากขึ้น ซึ่งในระยะแรกควรใช้ในบุคลากรด่านหน้าที่ต้องรักษาผู้ป่วยและถ้าเกิดติดจะยิ่งแพร่เชื้อให้ผู้ป่วยได้มากขึ้นไปอีก
นั่นคือความเห็นและความห่วงใยของ “หมอธีระวัฒน์” กรณีฉีดวัคซีนไขว้ชนิดกัน
ด้าน ศาสตราจารย์นายแพทย์ มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โพสต์เฟซบุ๊กเห็นด้วยกับการปรับสูตรวัคซีน ซิโซแวคก่อนแล้วค่อยตามด้วยแอสตร้าเซนเนกา เพราะจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าการฉีดซิโนแวคสองเข็ม ซึ่งไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ ตอนนี้ประเทศไทยขาดแคลนแอสตร้าเซนเนกาอย่างมาก เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตไม่สามารถจัดส่งวัคซีนได้ตามที่รัฐวางแผนไว้ การใช้สูตร ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนกา จะทำให้รัฐบริหารวัคซีนซิโนแวคที่มีเพียงพอ แต่มีความต้องการต่ำและมีประสิทธิภาพต่ำกว่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม มาตรการการฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร ควรเป็นมาตรการระยะสั้นในช่วงที่แอสตร้าเซนเนกา และวัคซีนประสิทธิภาพสูงชนิดอื่นอย่าง ไฟเซอร์ (Pfizer) หรือ โมเดอร์นา (Moderna) ยังไม่มาเท่านั้น ควรหยุดสั่งซิโนแวคเพิ่ม เปลี่ยนไปจัดหาวัคซีน mRNA หรือวัคซีนอื่นที่ประสิทธิภาพสูงอื่น เช่น โนวาแวกซ์ (Novavax) มาเป็นวัคซีนหลักจึงเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่เหมาะสมกว่า
เอาเป็นว่า นโยบายการฉีดวัคซีนผสมสูตรของรัฐบาลลุงที่แม้จะชัดเจนขึ้นแล้ว แต่ความที่มีการกลับไปกลับมา สร้างความสับสนให้กับหน่วยปฏิบัติพอควร อย่างเช่นกรณีจังหวัดนนทบุรี ที่ประกาศผว่านเฟซบุ๊กสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เมื่อคืนวันที่ 13 กรกฎาคมว่า “นนท์พร้อม” จะปรับสูตรการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดใหม่ตามแนวทางของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคมเป็นต้นไป แต่พอวันรุ่งขึ้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ออกประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊กยืนยันการฉีดวัคซีนตามสูตรเดิม โดยระบุว่า ตามที่ได้มีการดำเนินการตามมติและข้อสั่งการของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ให้ปรับสูตรการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เป็นซิโนแวค (SV) +แอสตร้าเซนเนก้า (AZ) นั้น เนื่องจากมีการทบทวนแนวทางปฏิบัติให้เหมาะสม จึงเห็นควรให้ชะลอการเปลี่ยนสูตรวัคซีนไปก่อน
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลราชเวช, โรงพยาบาลหางดง, โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงใหม่ และโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ประกาศหยุดฉีดวัคซีนรอความชัดเจนการเปลี่ยนสูตรวัคซีนเพื่อป้องกันการสับสนของข้อมูล ทางโรงพยาบาลจึงประกาศงดให้บริการฉีดวัคซีนที่รัฐจัดสรรให้ตั้งแต่วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจน
ความวุ่นวายอันเกิดมาจาก “ตู่ไขว้เขว” ทำให้ “คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ” ต้องประชุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมาและมีมติยืนยันออกมาตามเดิมอีกครั้ง
สำหรับ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ออกประกาศเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม กรณีฉีดวัคซีนต่างชนิด โดยระบุว่า ขณะนี้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ยังไม่มีนโยบายให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ต่างชนิดกัน เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ที่ใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนชนิดเดียวกันทั้ง 2 เข็ม ตามที่บริษัทผู้ผลิตได้รับอนุญาต "ยกเว้น" ผู้อยู่ในโครงการศึกษาวิจัย หรือกรณีผู้ฉีดแพ้หรือมีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดวัคซีนเข็มแรก สามารถให้วัคซีนต่างชนิดกันในเข็มที่ 2 ได้ถ้าแพทย์เห็นสมควร กรณีไม่ให้ข้อมูลที่สมบูรณ์และหลีกเลี่ยง เพื่อให้ได้รับวัคซีนต่างชนิดหรือวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันก่อนเวลาที่เหมาะสม ทางราชวิทยาลัยจะไม่รับผิดชอบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม และการประกันอาจไม่คุ้มครองการรักษาพยาบาลที่เกิดจากอาการข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน
นโยบายการฉีดวัคซีนสลับชนิดสลับยี่ห้อ นอกจากไทยแล้วยังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น แคนาดา สเปน และเกาหลีใต้ ที่อนุมัติการสลับวัคซีน โดยเหตุผลส่วนใหญ่มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เชื่อมโยงกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม อนุญาตให้ดำเนินการฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อระหว่างแอสตร้าเซนเนก้ากับวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค โดยจะเสนอให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นตัวเลือกเข็มที่ 2 สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกาเข็มแรก หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วประมาณ 8-12 สัปดาห์ แนวทางปฏิบัตินี้จะดำเนินการกับผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนที่ยินยอมเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ว่ายี่ห้อใดก็ตาม จะได้รับการจัดลำดับความสำคัญให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์
ส่วนการศึกษาของสเปน พบว่า การใช้วัคซีนผสมระหว่างไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ตามผลการวิจัยเบื้องต้น ขณะที่อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มที่สองในเดือนมิถุนายน หลังจากฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาเข็มแรกผ่านไปแล้ว 2 เดือน
สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนของไทยนั้น “คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ” ก็ได้มีมติออกมาเมื่อวันที่ 14 กรกฏาคม 2564 ในสองประเด็นคือ
หนึ่ง-ในการจัดหาวัคซีนปี 2565 อีก 120 ล้านโดสนั้น จะมีการจัดหาทั้งรูปแบบ mRNA ไวรัลเวกเตอร์ โปรตีนซับยูนิต และรูปแบบอื่นๆ โดยให้คำนึงถึงวัคซีนที่ตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ โดยปริมาณการจัดหานั้น ต้องคำนึงเรื่องของผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน ไปจนถึงการฉีดกระตุ้น รวมถึงการสำรองวัคซีน ไว้รองรับกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งมีมติให้กรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนสำหรับปี 2564 ให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดสด้วย
และสอง- พิจารณาควบคุม “การส่งออก” วัคซีนไปยังต่างประเทศ โดยมีแนวทางให้พิจารณาแก้ไขร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ในการกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งในเบื้องต้นแนวทางการจัดสรรคือ 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศจะถูกกันไว้ใช้ในประเทศไทย อันหมายถึง “แอสตร้าเซนเนก้า” แต่ก็ยังไม่มีหลักรับประกันอะไรว่า ในทางปฏิบัติจะสามารถทำได้หรือไม่
เอาเป็นว่า ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานและชีวิตประชาชนแขวนอยู่บนเส้นดายจากโควิด-19 เช่นนี้ ผู้นำประเทศต้องมี “สติ” ให้มั่น ไม่ใช่มัวแต่ “ยืนงง” จนทำให้ “ไขว้เขว” กันไปหมด โดยเฉพาะเรื่อง “วัคซีนทางเลือก” ที่สมควรจะซื้อมาฉีดให้ประชาชนฟรี ไม่ใช่ซื้อมาให้เอกชนขายทำกำไร.