คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ผมก็เหมือนคนจำนวนมากที่พอโตขึ้นก็เริ่มคิดว่า เมื่อพ้นจากวัยเรียนแล้วตนเองจะทำงานอะไร และคิดถึงงานต่างๆ มากมายไปหมด แต่ละงานที่คิดมีทั้งงานที่น่าทำและงานที่ทำได้ ที่สำคัญ มีงานที่รักหรือชอบที่จะทำอยู่ด้วย
งานต่างๆ ที่คิดไปเรื่อยเปื่อยนี้มีทั้งงานที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ยิ่งงานที่รักที่จะทำด้วยแล้วยิ่งเป็นไปได้ยาก แต่มีงานอยู่ประเภทหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำแม้แต่น้อย และไม่เพียงจะไม่ชอบเท่านั้น ต่อให้ชอบก็ไม่มีปัญญาทำให้มันเจริญก้าวหน้าไปได้
งานที่ว่านี้คือ ค้าขายหรือเป็นพ่อค้านักธุรกิจ
ที่ผมไม่ชอบงานค้าขายนั้นมีอยู่หลายเหตุผล เหตุผลข้อแรกสุดคือ ไม่มีหัวในทางนี้ ถึงทำไปมีแต่จะเจ๊งกับเจ๊ง สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มอยู่นั้นเคยมีคนชวนให้ไปทำธุรกิจกับเขา ผมตอบไปว่า ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจของเขาเจ๊งก็จงอย่าชวนผมไปทำเป็นอันขาด
แล้วผมก็เล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ ผมเคยซื้อขนมนมเนยมาขาย ปรากฏว่าขายไปค่อนวันขายไม่ได้เลย พอตกเย็นใจก็เสียคิดถึงเงินที่ลงทุนไป จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาจนเป็นที่ขบขันของผู้ใหญ่ แล้วก็ช่วยผมซื้อเป็นการปลอบใจ
ใจคอแบบนี้เป็นพ่อค้าไม่ได้หรอกครับ คนที่เป็นพ่อค้าจะต้องอดทนและเข้มแข็ง จะต้องรู้สึกตนตลอดว่า การขายได้บ้างไม่ได้บ้างหรือมีกำไรก็ต้องมีขาดทุนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ขืนใจเสาะแบบผมตอนเด็กๆ อย่ามาเป็นพ่อค้าเป็นอันขาด
ตอนนั้นผมยังเด็ก การแสดงออกคือการร้องไห้โฮ ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แบบวันนี้ผมคงฆ่าตัวตายไปแล้ว ด้วยทำใจไม่ได้ที่ขาดทุน
ครั้งหนึ่งโรงงานของญาติคนหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจเกิดไฟไหม้ พอวันรุ่งขึ้นพนักงานและคนงานหญิงมาเห็นซากโรงงานที่ถูกไฟไหม้ก็ร้องไห้เสียขวัญ ญาติท่านนี้เห็นเข้าก็ยิ้มแล้วก็พูดปลอบใจไปว่า ไม่เป็นไร ไหม้ไปเดี๋ยวก็เปิดใหม่ได้
คนที่มีจิตใจแบบนั้นแหละถึงจะเป็นพ่อค้าได้ และเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นผมก็คงร้องไห้ไปกับพนักงานและคนงานไปแล้ว แทนที่จะให้กำลังใจให้สมกับที่เป็นผู้นำองค์กร
ส่วนเรื่องที่ว่าต้องมีหัวไปในทางค้าขายหรือที่เรียกกันว่า หัวการค้า ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย เพราะต่อให้รักที่จะเป็นพ่อค้ามากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีหัวการค้าเลยก็คงเป็นพ่อค้าไม่ได้เช่นกัน หรือขืนเป็นก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ในชั่วชีวิตผม ผมได้พบเจอคนที่มีหัวการค้ามากมาย แต่ละรายที่เจอก็ให้นึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเขาเก่งที่คิดอะไรมาขายให้เรา ส่วนเราที่เป็นลูกค้าก็ชอบด้วย และได้แต่บอกตัวเองว่าอย่างเราไม่มีทางที่จะคิดได้อย่างนี้เป็นอันขาด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมขอยกญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง เพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการทำมาค้าขายไปทั่วโลก
เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ขณะที่ผมเดินผ่านตลาดแห่งหนึ่งของกรุงโตเกียวอยู่นั้น ผมก็บอกกัลยาณมิตรชาวญี่ปุ่นที่เดินด้วยกันว่า ผมอยากจะซื้อกรรไกรตัดเล็บ ท่านก็พาผมเข้าร้านค้าเบ็ดเตล็ดหรือร้านโชห่วยร้านหนึ่ง พร้อมกับชี้ไปที่แผงที่วางกรรไกรตัดเล็บให้ผมไปเลือกเอา
พอหยิบขึ้นมาดูตอนแรกๆ ก็รู้สึกงงว่า ทำไมกรรไกรตัดเล็บของญี่ปุ่นมันดูป้อมๆ ยังไงพิกล ท่านบอกผมว่า ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะฐานของกรรไกรเป็นลิ้นชักดึงเข้าดึงออกได้ ผมจึงถามไปว่า มันคืออะไรไอ้ลิ้นชักที่ว่านี้
ท่านบอกว่า เมื่อเราตัดเล็บแล้วเศษเล็บจะกระเด็นเข้าไปในลิ้นชัก ไม่กระเด็นกระจายให้ต้องมาเก็บกวาดอีกทีให้เสียเวลา พอตัดเสร็จก็ดึงลิ้นชักที่ว่าออกมาแล้วเทเศษเล็บทิ้งลงถังขยะไปได้ พอได้ฟังเช่นนั้นก็ลองตัดเล็บตัวเองดู แล้วมันก็เป็นเช่นที่ท่านว่าจริงๆ
ผมรู้สึกทึ่งในความคิดของคนที่ผลิตกรรไกรตัดเล็บเสียจริงๆ ว่าเขาคิดได้ยังไง คนที่คิดคงเป็นคนช่างสังเกตหรือไม่ก็เป็นคนที่ตั้งคำถามต่อสิ่งที่อยู่แวดล้อมตัวเองได้ดี ตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นว่า คนที่คิดคงสงสัยมานานว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เศษเล็บกระจาย
และคำตอบที่ออกมาจึงคือ กรรไกรตัดเล็บที่มีลิ้นชัก
หลังจากนั้นผมยังไปญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่มีอยู่ปีหนึ่งผมไปกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน จนถึงวันก่อนจะกลับไทยไม่กี่วัน เรานัดกันไปซื้อของฝากด้วยกัน ผมยังแนะนำเพื่อคนไทยให้ซื้อกรรไกรตัดเล็บที่ว่านี้ไปฝากญาติมิตร ตอนฟังใหม่ๆ คุณเธอทำหน้างงๆ พออ่านสีหน้าได้ว่า ซื้อไปทำไมกรรไกรตัดเล็บนี้? แต่พอฟังผมอธิบายแล้วดึงลิ้นชักให้ดู คุณเธอก็ร้องว้าววว...ขึ้นมาด้วยความชอบใจ
ทุกวันนี้ผมยังใช้กรรไกรตัดเล็บที่ว่า ทุกครั้งที่ใช้ก็ให้นึกชมคนคิดกรรไกรตัดเล็บนี้ ว่าช่างมีหัวการค้าเสียจริงๆ
เรื่องต่อมาของการทำมาค้าขายและถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ความซื่อสัตย์สุจริตของคนที่เป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจ ผมคิดว่าเรื่องนี้คนไทยรู้กันดีทุกคน แต่ก็ไม่วายมีข่าวไม่เว้นแต่ละวันถึงการคดโกงทางการค้า
ผมเคยมีประสบการณ์ที่ไม่สู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่สองครั้ง
ครั้งแรก ทางบ้านได้เอาเครื่องทำความร้อนในห้องน้ำไปซ่อม พอซ่อมเสร็จก็บอกช่างซ่อมว่า ขออะไหล่เก่าที่เขาเปลี่ยนให้ใหม่คืนด้วย ช่างซ่อมบอกว่า หาไม่เจอแล้ว ไม่นึกว่าเราจะขอคืน จึงไม่ได้เก็บไว้ให้
พอเราติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนเสร็จก็ปรากฏว่า เครื่องยังใช้งานไม่ได้ ต้องถอดเอาไปให้ช่างซ่อมใหม่ แต่ตอนที่ไปถึงนั้นช่างไม่อยู่ อยู่แต่ลูกน้องซึ่งเพิ่งจบโรงเรียนอาชีวะมาใหม่ๆ เด็กหนุ่มคนนี้จึงเล่าให้ฟังว่า เจ้านายของเขาไม่ได้เปลี่ยนอะไหล่ให้ใหม่หรอก
เขาเพียงแต่เอาอะไหล่เดิมมาขัดด้วยกระดาษทรายแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่
ที่เด็กหนุ่มที่เป็นลูกน้องคนนี้เล่าให้ฟังก็เพราะว่า เขารับไม่ได้ที่เจ้านายของเขาไม่ซื่อสัตย์กับลูกค้า และบอกด้วยว่า ไม่ใช่เรารายเดียวที่โดนเจ้านายเขาโกง ส่วนตัวเขาตั้งใจว่าสิ้นเดือนนี้ก็จะลาออกไปทำที่อื่น
แต่จะด้วยเหตุใดก็ตามที หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนร้านนี้ก็ปิดตัวลง ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า ช่างคนนี้ไม่มีทางเจริญในอาชีพของตนเป็นแน่แท้
อีกครั้งหนึ่ง ผมเอาตู้เย็นไปซ่อม เมื่อซ่อมเสร็จช่างก็บอกว่า เขาเปลี่ยนมอเตอร์ให้ใหม่แล้ว พร้อมกับบอกค่าซ่อมมาว่า 4,000 บาท พอได้ยินเท่านั้นผมก็สวนกลับไปว่า ค่าซ่อมที่เขาคิดนั้น ผมเพียงเพิ่มเงินอีกไม่กี่ร้อยบาทก็ได้ตู้เย็นเครื่องใหม่แล้ว เขาคิดได้ยังไงตั้ง 4,000 บาท
ผลคือ ผมไม่ยอม และให้เงินช่างไปเป็นตัวเลขหลักร้อย ซึ่งช่างกำมะลอคนนี้ก็ยอมรับโดยไม่โต้เถียงใดๆ และเช่นเดียวกับช่างคนแรก คือหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ร้านของช่างคนนี้ก็ปิดตัวลง
ผมได้แต่นึกสงสัยว่า เขาจะนำพาครอบครัวหรือลูกเมียของเขาต่อไปอย่างไร ถ้าหากเขายังทำมาค้าขายกันแบบนี้
ตัวอย่างทั้งสองที่เล่ามานี้ ผมไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่เขาว่ากันว่า คนไทยค้าขายไม่เป็นหรือไม่ แต่ที่ผมเข้าใจและยอมรับแน่ๆ ก็คือ คนจีนเป็นคนที่ทำมาค้าขายเป็น
และที่เล่ามานี้ก็ไม่ได้หมายความว่า หลังจากนั้นผมไม่เคยเจอพ่อค้าขี้โกงอีกเลย อันที่จริงแล้วยังเจอเป็นระยะ และเป็นเรื่องแบบโกงเล็กโกงน้อย ที่ขำคือ บางกรณีที่ผมจับได้ คนขายก็ยังดื้อตาใส ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
แม้ผมจะค้าขายกับเขาไม่เป็น แต่ผมก็มีความสุขเมื่อต้องไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้จากคนที่ทำมาค้าขาย บางคนซื้อขายกันจนรู้จักมักคุ้นกันมาจนทุกวันนี้
ต่มาบัดนี้ ชีวิตเช่นนั้นของผมได้หายไปนานหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่โควิด-19 ระบาดรอบที่สอง-สาม-สี่เรื่อยมา การทำมาค้าขายของผู้คนที่ผมรู้จักและไม่รู้จักได้หายไปหมด หรือไม่ก็ซบเซาลงจนน่าใจหาย
ผมคิดถึงเขาและเธอเหล่านั้นในแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่เราจะได้เจอกันอีก
เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่อยากจะซื้อสินค้าอะไรแล้วไม่สามารถซื้อได้ เงินที่มีอยู่แทบไม่มีความหมาย จนต้องบอกกับตัวเองว่า หากนี่คือชีวิตวิถีใหม่ (new normal) แล้วมันคงเป็นวิถีที่ยากที่ผมจะยอมรับ
ขออย่าได้เป็นเช่นนั้นตลอดไปเลย