xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เสื่อมนะจ๊ะ “มินิฮาร์ท-2นิ้ว” ที่คนไทยไม่ขำ ซ้ำวิกฤตศรัทธา “ลุง” ขั้นสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หากจะเปรียบอาการรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับสถานการณ์การแก้ไขการแพร่ระบาดของไวรัโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ให้เห็นภาพ คงเหมือนคนไข้นอนพะงาบอยู่ห้องไอซียู โดยมีสายระโยงระยางเต็มทั่วรางกาย อยู่ได้โดยหายใจผ่านถังออกซิเจนเท่านั้น

ถอดปลั๊กออกปุ๊บ ชีพจรหยุดปั๊บ

เพราะนับตั้งแต่การแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 เดือน เม.ย.64 ถึงบัดนี้เป็นเวลา 3 เดือนเต็มแล้ว ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสมรณะในประเทศไทยยังอยู่ในขั้นวิกฤต และดำดิ่งลงเรื่อยๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันกระโดดไปวันละเกือบ “ครึ่งหมื่น” ขณะที่ตัวเลขผู้เสียดายพุ่งไปถึงวันละเกิน “ครึ่งร้อย”

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็ยัง “เปิดประเทศ”แบบไม่ทางการ และไม่เต็มใจ เวลคัมเอาเชื้อโควิดมาแทบทุกสายพันธุ์ที่มีบนโลก กลายเป็นศูนย์รวมของกลายพันธุ์ระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ-อัลฟา, สายพันธุ์แอฟริกาใต้-เบตา หรือสายพันธุ์อินเดีย-เดลตา ตัวร้ายชั่วโมงนี้

สำหรับสายพันธุ์อัลฟา เลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70% ส่วนสายพันธุ์เดลตาที่บุกมาถึงกลางกรุงแล้วในปัจจุบัน อิทธิฤทธิ์เยอะมาก ระบาดเร็ว แพร่เชื้อง่าย และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ ด้านสายพันธุ์เบตา เจ้าตัวนี้ระบาดรวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นราว 50% และลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้ด้วย

อาจจะเหลือแค่สายพันธุ์บราซิล หรือแกมมา ที่พลานุภาพรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เลี่ยงภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน เท่านั้นที่ยังไม่พบในประเทศไทย

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ตอนนี้ เหมือนตกอยู่ในสภาวะ “แก้ไม่ตก” กึ่งๆ ไปจะ “บ้อท่า” เสียด้วยซ้ำ เพราะทุกวันนี้ไม่มีอะไรเป็นใจเลย

ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไร้วี่แววจะลดลง คลัสเตอร์ใหม่กระจายไปทั่วประเทศ ผุดยิ่งกว่าดอกเห็ด ขณะที่พระเอกอย่าง “วัคซีน” วันนี้แม้งบประมาณพร้อม หมอพร้อม ประชาชนพร้อม แต่ “ของขาด”

แต่ละวันมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก วัคซีนก็มีมากระปิดกระปอย ยี่ห้อที่ได้ก็กลายเป็นถูกค่อนแคะว่า คุณภาพต่ำกว่ายี่ห้ออื่นๆ ที่มีในโลก

สถานการณ์วันนี้ว่าหดหู่แล้ว แต่จากรูปการณ์มีโอกาสวิกฤตไปได้กว่านี้ได้อีก หลังยอดผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการหนัก ต้องใช้ห้องไอซียูและเครื่องช่วยหายใจทะลุศักยภาพที่มี

หรือแม้แต่ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง วันนี้หลายคนต้องนอนซมอยู่ที่บ้านแบบไร้ความหวัง บางรายรอเป็นสิบวันกว่าจะมีเตียงมีรถมารับ บางรายรอจนตายไปก่อนก็มีให้เห็นถมเถ กระทั่งรัฐเองต้องโยนโปรโมรชัน Self Isolation-Home quarantine หรือให้ผู้ป่วยแยกกักตัวเองอยู่ที่บ้าน มีค่าอาหาร 3 มื้อ อุปกรณ์แพทย์ 3 อย่าง ออกมาแก้ขัด

ประเทศไทยถึงจุดที่คนอดรนทนไม่ได้ ออกมาตายดาบหน้าหลังหาสถานที่รักษาไม่ได้ ต้องพึ่ง “ภาคประชาสังคม” มาร่วมช่วยด้วยกัน ประสานหาเตียงให้คนไข้ เพราะหมดความหวังกับรัฐบาลชุดนี้

ชัดเจนจากกรณีผู้ป่วยหญิงวัย 60 ปีติดเชื้อโควิดกางมุ้งนอนอยู่หน้า สน.นางเลิ้ง เนื่องจากไม่อยากกลับบ้านเพราะกลัวว่าจะนำเชื้อไปแพร่ใส่คนในครอบครัว ทำเอาตำรวจบนโรงพักที่เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” ผวา ต้องประสานภาคประชาสังคมอย่างกลุ่ม “เส้นด้าย-Zendai” ให้มาดูแลผู้ป่วย

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ณ จุดนี้ ไม่ใช่แค่ “แต้มติดลบ” แต่อยู่ในจุดของ “วิกฤตศรัทธา” ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิง หรือพึ่งหวังกับประชาชนได้ แม้แต่ “แฟนคลับตัวเอง” ก็มีใจห่าง

สะท้อนผ่านผลสำรวจ หรือโพลล์หลายสำนัก ที่แม้วันนี้กระแสความนิยมในตัว “ประยุทธ์” ยัง “ยืนหนึ่ง” ในแผงนักการเมือง แต่ทุกโพลก็เป็นในทิศทาง “สาละวันเตี้ยลงๆ” จากที่เคยนำโด่งทิ้งห่างคู่แข่ง ก็ถูกลดช่วงว่างเข้ามาใกล้ทุกขณะ
อย่าง “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่สำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2564” เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.64 ที่ผ่านมาปรากฎว่า “นายกฯลุงตู่” ยังนำอยู่ที่ 19.32% แต่หากเปรียบเทียบการสำรวจของนิด้าโพล 3 ครั้งหลังสุดในหัวข้อเดียวกัน ก็ยิ่งแจ่มแจ้ง จากเดือน ธ.ค.63 “ประยุทธ์” อยู่ที่ 30.32% และเดือน มี.ค.64 อยู่ที่ 28.79%

3 เดือนผ่านไปกับการระบาดระลอก 3 เรตติ้งของ “บิ๊กตู่” หายฮวบไปกว่า 10% เหลือแค่ 19.32% เท่านั้น

ตลกร้ายกว่า ยิ่งรัฐบาลพยายามแก้ไข แต่มันยิ่งคล้ายกับ “ลิงแก้แห” ยิ่งแก้ยิ่งแย่ เหมือนซ้ำเติมปัญหา

อย่างล่าสุดเรื่องไม่ควรทำแต่กลับทำ การออกข้อกำหนดฉบับที่ 25 ประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ที่ได้แก่ กทม., นนทบุรี, ปทุมธานี, นครปฐม, สมุทรปราการ, นครปฐม, สงขลา, นราธิวาส, ปัตตานี และยะลา “ลักหลับ” กันยามวิกาลตีหนึ่ง ทำเอาคนไทยไม่รู้จะสะอึกสะอื้น หรือโมโหดี

เพราะไม่ได้มีแค่มาตรการปิดแคมป์คนงาน 30 วัน ที่รัฐบาลส่งสัญญาณบอกล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ “เล่นทีเผลอ” ด้วยการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ร้านอาหาร สั่งห้ามนั่งรับประทานในร้าน แต่ให้ซื้อกลับไปกินที่บ้านเท่านั้น ตรงนี้ที่ทำคนไทยปรอทแตก

พ่อค้าแม่ขายไม่ได้มีการเตรียมตัวเตรียมใจ อุตส่าห์ซื้อวัตถุดิบมาเตรียมขายของเอาไว้มากมาย แต่รัฐบาลดันลักหลับตอนดึก เหมือนซ้ำเติมกันมากกว่าจะบรรเทา

การออกข้อกำหนด “สั่งห้าม” ว่าหนักหน่วงสำหรับร้านอาหารที่วิกฤตอยู่แล้วเป็นทุนเดิม รัฐบาลกลับไม่ยอมคิดวิธีการว่า ระหว่างสั่งห้ามรับประทานในร้านแล้ว จะเยียวยาช่วยเหลือในสิ่งที่คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง

การทุ่มเงิน 7,500 พันล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดฉบับที่ 25 ไม่ว่าจะเป็นการให้กระทรวงแรงงานจ่ายค่าแรงให้กับแรงงาน 50% ของฐานเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท รัฐบาลจ่ายเงินให้ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก 2,000 บาท และกระทรวงแรงงานจ่ายเงินช่วยเหลือนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลา 1 เดือน ส่วนผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งรัฐบาลมีฐานข้อมูลผู้ประกอบการจากระบบถุงเงิน หากต้องการได้รับการช่วยเหลือ ให้ไปขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคมภายใน 1 เดือนนี้

แล้วรัฐบาลจะช่วยเหลือให้ลูกจ้างที่เป็นสัญชาติไทยเป็นเงิน 2,000 บาท เวลา 1 เดือน และนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดือน

หรือการให้ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคมได้ เพราะไม่มีลูกจ้าง ให้ไปลงทะเบียนในแอปพลิเคชันถึงเงิน ภายใต้โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 3,000 บาท เป็นเวลา 1 เดือน

มาตรการเหล่านี้ “ออกมาภายหลัง” เป็นช่วงหลังจากที่รัฐบาลโดนโซเชียลเนตเวิร์กถล่มจนโงหัวไม่ขึ้น ค่อยงัดออกมาภายหลัง ไม่ได้มีการเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลย ดังจะเห็นว่า มีการประชุมศูนย์บริหารเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 หรือ ศบศ. เพื่อเคาะมาตรการหลังจาก ศบค.สะบักสะบอมเรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่ตอกย้ำได้ดีว่า “ไร้ความรอบคอบ”ยึดติดขนบธรรมเนียมการบริหารประเทศแบบเอา “การทหาร” นำ คือ การสั่งปิดแคมป์คนงานแบบฉุกละหุก ไม่มีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าว่า การทำแบบนี้จะทำให้แรงงานกระเจิงกระจายออกต่างจังหวัด เพื่อเอาเชื้อไปแพร่แบบเที่ยวทั่วไทย

แม้จะมี “รายงานข่าว” ออกมาแก้เกี้ยวภายหลังว่า สาเหตุที่รัฐบาลประกาศจนแรงงานกระเจิงเป็น “ผึ้งแตกรัง” นั้นเป็นความตั้งใจ เพราะกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลไม่สามารถรองรับคนไข้ได้แล้ว อยากให้โรงพยาบาลตามต่างจังหวัดช่วยพยุง แต่นั่นก็เหมือน “คิดสั้น”

เนื่องจากสุดท้ายแล้วมันเป็นการกระจายความเสี่ยงไปให้คนต่างจังหวัด ทำให้โอกาสที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งจนน่ากลัว ซึ่งหากโรงพยาบาลต่างจังหวัดรับไม่ไหว ระบบสาธารณสุขของประเทศอาจถึง “ล่มสลาย” ทั้งประเทศอย่างที่กังวลกันอยู่

เช่นเดียวกับการลืมคิดไปว่า การล็อกดาวน์แคมป์คนงานไม่ให้ขยับ ยังอาจส่งผลต่อการก่อสร้างบางชนิดที่หากหยุดอาจเกิดความเสี่ยงที่จะถล่มลงมาได้ หาก “มืออาชีพ” อย่าง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไม่ออกมาทักท้วง คนไทยคงต้องยืนอยู่บนความเสี่ยงอีกเรื่องคือ “อุบัติเหตุ”

รายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างไม่ได้มีการวางแผนอะไรเลย แม้แต่กรณีการก่อสร้างบ้าน ซ่อมแซมบ้าน ที่ไม่ใช่การก่อสร้างขนาดใหญ่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ยังต้องมา “เสียคน” อีกรอบ หลังไปเหมาเข่งว่า ต้องหยุดทั้งหมด ทั้งที่ไม่ได้มีความเสี่ยงมากนัก จนโดนด่าทั่วคุ้งทั่วแคว สุดท้ายต้องมากลืนน้ำลายว่าทำได้

รัฐบาลบริหารประเทศ เหมือนให้สังคมขับเคลื่อนด้วยการ “ด่า” เข้าไปทุกวัน

ยิ่งนับวันยิ่งประจานสไตล์ “รวมศูนย์อำนาจ”หรือ “วันแมนโชว์”ของ “นายกฯตู่” ว่าไร้ประสิทธิภาพ

บรรดาอาจารย์หมอหลายท่านที่เครดิตดีๆ เป็นมืออาชีพ ต้องเอาชื่อเสียงมาทิ้งจนป่นปี้ไปหมด ดูอย่างในราย “หมอยง” นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อุตส่าห์ยอม “เปลืองตัว” มาช่วยงาน ศบค. แต่มาระทมเจอระบบการทำงานแบบ “ทหาร” จนถูกเด็กรุ่นหลานถอนหงอก ล่ารายชื่อไล่ปลด ทั้งที่ปัญหาเกิดจาก “ผู้นำ” 

วันนี้รัฐบาล “เสื่อม” หลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่ “ภาษากาย” ของ “บิ๊กตู่” ที่ผิดคิวไม่รู้กี่รอบ แต่ไม่เคยจำเป็นบทเรียน ตั้งแต่กรณีชู “มินิฮาร์ท” ระหว่างลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จากโศกนาฏกรรม “จ่าคลั่ง” ที่ จ.นครราชสีมา

จนมาล่าสุด “ชู 2 นิ้ว” พูด “นะจ๊ะ” ท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิด-19 พ่วงด้วยเสียงหัวเราะครืนของเหล่า “ลิ่วล้อ” ที่ยืนเป็นวอลล์เปเปอร์ ในประเทศที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน คนตายเป็นเบือ

จริงอยู่คำว่า “นะจ๊ะ” ไม่ได้หยาบคายอะไร แต่หากใช้ไม่ถูกจังหวะก็ต้องว่า “ไร้กาลเทศะ”

เป็นจังหวะ “โบ๊ะบ๊ะ” ที่ไม่มีใครขำด้วย แต่นำมาซึ่งเทรนด์ตัวย่อมากมาย ทั้ง “ผนงรจตกม” หรือ “ผนตรจรกม” เป็นอาทิ

กระทั่งการแถลงการณ์ของ “ผู้นำประเทศ” แต่ละครั้ง ที่โดยปกติสากลโลกมักมุ่งหวังปลุกความเชื่อมั่นให้กับประชาชน สคริปต์ไม่คม-ไม่โดนใจไม่ว่า ยังมีประเภทพูดไปเรื่อยนอกบทกลายกระทืบซ้ำความเชื่อมั่นให้ต่ำตมจมดินลงไปอีก

พอถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเข้า ก็งัดลูกไม้เดิมๆ ทำมึนตึง เลี่ยงการให้ข่าว-ให้สัมภาษณ์ โบ้ยไปว่าถูกขยายความให้เข้าใจผิด

ก็ยิ่งสะท้อนถึง “ภาวะผู้นำ” ของ “นายกฯตู่” ไปกันใหญ่

ขณะเดียวกันก็มี “ตัวเรียกแขก” ช่วยปั่นกระแส “ยี้” หนักไปอีก อย่างรายของ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ลูกพี่ของ “น้องตู่” ที่ตอกกลับแคมเปญขัดขืน “กูไม่ทนมึงจะทำไม” ที่มีการชวนผู้ประกอบการรายย่อย “อารยะขัดขืน” เปิดร้านอาหารขัดคำสั่ง ศบค.

โดย “ลุงป้อม” ตอบกลับแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า “รัฐบาลได้ช่วยทั้งหมดแล้ว จะเอาอะไรอีก โว๊ะ" ทำเอาเสียงโห่ฮากระหึ่มอีกครั้ง เพิ่มดีกรีชิงชังรัฐบาลหนักข้อขึ้นไปอีก

ทำให้โมงยามนี้ ใครออกมามาด่า “บิ๊กตู่-รัฐบาล-ศบค.” อย่างไรก็ดู “ฉลาดกว่า” หมด เพราะสิ่งที่คนอื่นคิดได้ คือสิ่งที่รัฐบาลคิดไม่ได้

จะเห็นว่าบรรดา “เซียนข้างบ่อน” ทั้ง “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้แต่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ที่ขยันออกมาติติงในช่วงนี้ถี่ยิบ

แม้จะรู้ว่ามีนัยทางการเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด่าอะไรก็ “ถูกทุกข้อ”

เพราะตอนนี้ปัญหาของ “บิ๊กตู่” คือ ประชาชนไม่เชื่อมั่น-ไม่เชื่อมือ จนตกอยู่ในสภาวะ “เสื่อมนะจ๊ะ” อย่างเป็นทางการไปแล้ว

คงจะเป็นอย่างที่ “คนเคยรัก” อย่าง สมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ฟาดแรงๆว่า มองย้อนไปในอดีต 50 ปีไม่พบว่าผู้นำของไทยท่านใดจะเจอวิกฤตศรัทธาเหมือน หรือใกล้เคียงกับผู้นำท่านนี้

“ผู้นำของประเทศที่ไร้ความศรัทธาจากผู้คนจะยืนอยู่ได้อย่างไร ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นกันมามากต่อมากแล้ว ไม่มีใครฝืนศรัทธาของประชาชนได้ เพราะศรัทธาเป็นของบริสุทธิ์ ซื้อขายกันแบบซื้อเสียงไม่ได้”

ที่ว่าไปแค่มิติแก้วิกฤตโควิด-19 การบริหารประเทศในมิติอื่นๆก็ “โคม่า” ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแนวรบด้านเศรษฐกิจที่ “บิ๊กตู่” ก็เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเอง ก็ไม่มีทีท่าจะลืมตาอ้าปากได้ ทั้งที่มี “ตัวช่วย” เงินกู้มาแล้วตั้ง 1.5 ล้านล้านบาท

แต่อย่างว่า “รัฐบาลลุง” แต้มติดลบต่ำตมแค่ไหน ก็อยู่แพร่เชื้อในไทยมา 7 ปีเต็ม แถมยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอัพเกรดตัวเอง ไม่ต่างเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ “เดลตา พลัส” ที่ฆ่ายาก ด้วยมี “ภูมิคุ้มกัน” จากการกุมสถานการณ์ “การเมือง” ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

แม้วันนี้คนไทยจะต้องขับเคลื่อนรัฐบาลด้วยการ “ด่า” แต่ “ด่า” ให้ตายอย่างไร “ลุงๆ” ก็คงไม่ยอมไป

อาจถึงเวลาที่คนไทยต้องลองเปลี่ยนมาพูดจาหวานๆกับ “ลุงตู่ และลุงๆ” ทั้งหลายบ้าง เผื่ออะไรๆที่เสื่อมๆจะสดใส อะไรที่แย่ๆจะดีขึ้นบ้าง

“ไม่ไหวก็ออกไปได้...นะจ๊ะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น