คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ทรงพระราชนิพนธ์ “อุตตรกุรุ” เพื่อเป็น pharmakon หรือยาถอนพิษจากหมกมุ่นฝันละเมอถึงสังคมอุดมคติหรือ utopia เพราะในช่วงเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ กระแสความคิดการปกครองสาธารณรัฐหรือ “รีปับลิค” และ “สังคมนิยม” หรือ “โซเชียลลิสต์” กำลังระบาด
โดยแนวคิดสาธารณรัฐได้เข้ามาสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้าแล้ว ดังที่ปรากฏในข้อเขียนของ หมอบรัดเลย์และเทียนวรรณและ ก.ศ.ร. กุหลาบ ก็ยังเกิด การปฏิวัติซินไฮ่ ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในจีนจากระบอบที่มีพระมหากษัตริย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป โดยในทางหลักการทฤษฎีเชื่อว่าในระบอบสาธารณรัฐ ผู้คนจะมีเสรีภาพและความเสมอภาคกันอย่างแท้จริง
การปฏิวัติซินไฮ่เกิดขึ้นในปี พ.ศ 2544 หนึ่งปีหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงครองราชย์ และมีอิทธิพลต่อคณะนายทหารหนุ่มที่ก่อการกบฏหรือที่รู้จักกันในนามของ “กบฏ ร.ศ. 130” (พ.ศ. 2455) มีหลักฐานว่า แกนนำคณะกบฏได้รับอิทธิพลจากหนังสือ “จีนโนสยามวารศัพท์” ที่ได้นำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีนจนเกิดกระแสความนิยมในหมู่คณะทหารหนุ่มจนคิดปฏิวัติในเหตุการณ์ ร.ศ. 130
อันที่จริงเป้าหมายของการกบฏยังไม่แน่ชัด เพราะคณะนายทหารดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สาธารณรัฐ อีกฝ่ายต้องการยังคงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ แต่ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นคือ ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั่นเอง (Constitutional Monarchy)
แม้ว่าความพยายามของคณะนายทหารหนุ่มนั้นจะล้มเหลว แต่การกบฏส่งผลพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯอย่างยิ่ง นั่นคือ พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามบันทึกของ พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) เรื่อง “การศึกษาเป็นรากฐานประชาธิปไตย” กล่าวว่า “หลังจากเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกเอาเรื่องขบถ ๑๓๐ ขึ้นมากล่าวอ้างเป็นประเด็นสำคัญว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกอำนาจหน้าที่ให้เขาเสียที คือหมายความว่าควรจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระเจ้าแผ่นดินอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ แต่ที่ประชุมเสนาบดีไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลา ประชาชนพลเมืองของเรายังไม่มีการศึกษาพอที่จะทำเช่นนั้น เมื่อโดนเข้าแบบนี้ ถ้าจะพูดกันอย่างสามัญชน ก็ต้องเรียกว่าเถียงไม่ขึ้น หรือพูดไม่ออก ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ ประชาธิปไตยจึงชะงักงันเป็นหมันมาตลอดรัชกาล”
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงเร่งการปฏิรูปการศึกษา โดยทรงโปรดขยายการศึกษาไปถึงขั้นอุดมศึกษา โปรดให้ปรับปรุงและขยายกิจการโรงเรียนมหาดเล็กที่ได้ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5 ให้ยกฐานะขึ้นเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ให้ยกฐานะจากโรงเรียนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย โดยให้อยู่ในสังกัดของกระทรวงธรรมการ และต่อมาในปี พ.ศ. 2464 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นในปี พ.ศ. 2464 เพื่อบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปต้องเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนจนถึงอายุ 14 ปีบริบูรณ์ โดยไม่เสียค่าเล่าเรียน เพื่อให้ประชาชนได้มีการศึกษาและจะไม่ได้ถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเวลาต่อไป
การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองที่มีผลกระทบอย่างมากต่อสยาม คือ การปฏิวัติซิ่นไฮ่ (Xinhai Revolution) เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดการแพร่หลายและความนิยมในระบอบการเมืองสาธารณรัฐ หรือมีการเรียกเป็นคำทับศัพท์ในสมัยนั้นว่า “รีปับลิค” สำนักพิมพ์ต่างประเทศร่วมถึงที่อยู่ในบังคับของชาวต่างชาติในสยาม อาทิ จีนโนสยามวารศัพท์ได้นำเสนอเรื่องนี้จนเกิดกระแสความนิยมในหมู่คณะทหารหนุ่มคิดปฏิวัติในเหตุการณ์ ร.ศ. 130
หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ “กบฏ ร.ศ. 130” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ “อุตตรกุรุ” ขึ้นในปี พ.ศ. 2456 “อุตตรกุรุ” ไม่เพียงแต่จะเป็นยาถอนพิษ “รีปับลิค” แต่รวมถึงแนวคิด “สังคมนิยม” ด้วย ซึ่งกระแสสังคมนิยมกำลังระบาดในยุโรปขณะนั้น ส่งผลให้รัสเซียเปลี่ยนแปลงปกครองในปี พ.ศ. 2460
อาจารย์ชัชพันธุ์ ยิ้มอ่อน อาจารย์สาขารัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ผู้ศึกษาพระราชนิพนธ์และพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กล่าวถึงพระราชนิพนธ์ “อุตตรกุรุ” ไว้ว่า เดิมทีพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษในชื่อ “Uttarakuru” ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยโดยพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรกับพระยาบุรีวรราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) และในการพระราชนิพนธ์ “อุตตรกุรุ” พระองค์ทรงรับรู้ถึงกระแสระบาดของลัทธิสังคมนิยมในยุโรป และทรงเข้าใจวิธีจัดการปกครองตามลัทธิดังกล่าวจากนักคิดนักเขียนผู้ทรงภูมิปัญญาในยุโรป อาทิ หนังสือเรื่อง “ยูโทเปีย” ของโทมัส มอร์ และจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอร์ นักเขียนบทละคร พระองค์ทรงกล่าวว่า ดินแดนมหัศจรรย์ที่โทมัส มอร์เขียนเอาไว้นั้นกลับมาปรากฎอยู่ในหนังสือไทยโบราณของพระยาลิไทยที่ได้เขียนถึงดินแดนลักษณะเดียวกันนี้มานานกว่า 600 ปีแล้วว่า
“คงจะเป็นเรื่องประหลาดใจ สำหรับผู้อ่านที่เป็นชาวยุโรป และบางทีที่เป็นชาวไทยด้วยเหมือนกัน ที่จะทราบว่า ก่อนที่เซอร์โทมัส มอร์ เขียนเรื่อง ยูโทเปีย ขึ้นนั้น ในทวีปเอเซียของเราได้มีผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับดินแดนที่น่าพิศวงอันมีชื่อว่าแดน อุตตรกุรุ ณ แดนนี้มีลักษณะที่เจ้าของเรื่องยกย่องไม่น้อยไปกว่ายูโทเปียของมอร์ ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องของดินแดนน่าพิศวงนี้ในหนังสือไทยโบราณที่มีชื่อว่า ไตรภูมิพระร่วง..”
อันที่จริง อุตตรกุรุ เป็นปกรณัมโบราณของฮินดูที่มีมาก่อนไตรภูมิพระร่วงของพุทธ แต่ก็เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับดินแดนลี้ลับที่ไม่ต่างกันมากนัก
“อุตตรกุรุ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแดนพิศวงที่จัดเป็นทวีปหนึ่ง โดยมีถิ่นฐานที่ตั้งอยู่ที่ “แผ่นดินทางทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ... กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กๆ ๕๐๐ ล้อมรอบเป็นบริวาร” และทวีปอุตตรกุรุยัง “มีภูเขาทองล้อมรอบ” อีกด้วย
เมื่อพูดถึงขนาดพื้นที่ของอุตตรกุรุทวีป ที่ว่ากว้าง “8,000 โยชน์” เท่ากับ 128,000 กิโลเมตร ถามว่ายาวไหม ? คำตอบคือ เส้นรอบวงของโลกยังยาวแค่ 40,077 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ! พูดง่ายๆ ว่า ขนาดของทวีปอุตตรกุรุใหญ่กว่าโลกสามเท่า เมื่ออุตตรกุรุใหญ่กว่าโลกสามเท่า ก็ไม่น่าจะอยู่ในโลก แต่น่าจะเป็นดาวอีกดวงหนึ่งต่างหาก และการมี “แผ่นดินเล็กๆ ๕๐๐ ล้อมรอบเป็นบริวาร” ก็น่าจะเทียบได้กับดาวบางดวงในระบบสุริยจักรวาลที่มีดาวบริวารล้อมรอบ หรือเป็นระบบจักรวาลย่อยๆในสุริยจักรวาลอีกทีหนึ่ง ผมนึกถึงดาวพฤหัสบดีที่เป็นดาวที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลายในสุริยจักรวาล ใหญ่ขนาดจุโลกของเราได้ถึง 1,430 โลกเลยทีเดียว และดาวพฤหัสบดียังมีดาวบริวารอีกอย่างน้อย 16 ดวง
จินตนาการดินแดนพิศวงในไตรภูมิพระร่วงที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำพระราชนิพนธ์นี้นับว่าคล้ายๆจินตนาการดินแดนในอุดมคติของฝรั่ง เพราะตั้งแต่เพลโต สมัยกรีกโบราณเรื่อยมาจนถึงเซอร์โทมัส มอร์ (ค.ศ. 1516) และฟรานซิส เบคอน (ค.ศ. 1626) ล้วนแต่จินตนาการเป็นเกาะหรือทวีปด้วยเช่นกัน
เอาเป็นว่าอุตตรกุรุ หรือทวีปในอุดมคติมีขนาดใหญ่มากมหาศาลและมีบริวารถึง 500 แห่ง !
แล้วมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ?
นครอุตตรุกุรุมีมนุษย์อาศัยอยู่ครับ “มนุษย์..นั้นมีหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคนทั้งหลายอาศัยอยู่มาก”
ทำไมต้องมีรูปหน้าสี่เหลี่ยม ? ไม่มีหน้ารูปไข่ รูปหัวใจ รูปวงกลม ?
เดาไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นเพราะ ถ้าให้มีรูปหน้าแตกต่างกัน ก็จะเกิดความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันไงครับ
นอกจากหน้าสี่เหลี่ยมเหมือนกันหมดแล้ว “ชาวอุตตรกุรุทวีปยังมีรูปร่างสมทรง ไม่สูงไม่ตํ่า ไม่อ้วนไม่ผอม ดูงามด้วยรูปทรงสมส่วน มีเรี่ยวแรงกำลังกายคงที่ไม่เสื่อมถอยไปตามวัย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่” นั่นคือ นอกจากทรงหน้าเหมือนกันหมด รูปร่างก็ยังดีเหมือนกันหมด และแม้ว่าจะอายุมากขึ้นเท่าไรก็ตาม แต่ก็ยังแข็งแรงเท่ากันหมดด้วย
จะเห็นได้ว่า การออกแบบให้มีทรงหน้าเหมือนกัน รูปร่างเหมือนกัน แข็งแรงเท่ากันไม่ว่าจะหนุ่มสาวแก่ชรา ก็คือ การตัดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้น สภาวะสำคัญของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปคือ ความเสมอภาค และจะเสมอภาคได้จริงก็ต่อเมื่อต้องตัดเงื่อนไขพื้นฐานที่จะทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทิ้งไปให้ได้ นั่นคือ ความแตกต่างทางสรีระร่างกาย !
ทำไมความแตกต่างทางสรีระร่างกายจึงเป็นเงื่อนไขทำให้มนุษย์ไม่เสมอภาคกัน ? ไม่ใช่อยู่ที่เปลี่ยนรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนระบอบการปกครองดอกหรือ ?