ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งนับวันต้องยอมรับว่า กระแสไม่ทน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยิ่งดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจาก “ฝ่ายตรงข้าม” ที่โก่งคอโห่ดัง และถี่ขึ้น โดยเฉพาะหลังครบรอบ 7 ปี ตั้งแต่ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับแฮชแทก “7 ปีแล้วนะไอ้…” หรือกระทั่งบรรดา “ติ่งลุง” ที่เริ่มมีใจออกห่าง “นายกฯ อดีตฮีโร่” ที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงเริ่มต้นของการเข้าถืออำนาจบริหารประเทศผู้นี้
สะท้อนผ่านผลสำรวจ หรือโพลล์หลายสำนัก ที่แม้วันนี้กระแสความนิยมในตัว “ประยุทธ์” ยัง “ยืนหนึ่ง” ในแผงนักการเมือง แต่ทุกโพลก็เป็นในทิศทาง “สาละวันเตี้ยลงๆ” จากที่เคยนำโด่งทิ้งห่างคู่แข่ง ก็ถูกลดช่วงว่างเข้ามาใกล้ทุกขณะ
เห็นได้ชัดเจนจาก “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่เพิ่งเปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2564” เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.64 ที่ผ่านมา
กับข้อถามที่ว่าบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า ในแง่ตัวบุคคล “นายกฯ ประยุทธ์” ยังนำอยู่ที่ 19.32% ตามมาด้วย “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ที่ 13.64%, “บิ๊กตู่ใหญ่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ได้ 8.71% และ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ 5.45%
อย่างไรก็ดีที่คนยังแพ้อันดับ 1 คือ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ที่ได้ไปถึง 37.65%
และหากเปรียบเทียบการสำรวจของนิด้าโพล 3 ครั้งหลังสุดในหัวข้อเดียวกัน ก็ยิ่งมี “นัยสำคัญ” ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะในทุกอันดับที่ว่าไปยังคงเหมือนเดิม คือ หาคนที่เหมาะสมไม่ได้-ประยุทธ์-สุดารัตน์-เสรีพิศุทธ์-พิธา แต่จะมีเพียง “ประยุทธ์” รายเดิมเท่านั้นที่คะแนนจากสำรวจเมื่อปลายปี 63 มาถึงกลางปี 64 ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยการสำรวจเมื่อเดือน ธ.ค.63 “ประยุทธ์” ได้ที่ 30.32% ใกล้เคียงกับ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ที่ได้ 32.10% ถัดมา มี.ค.64 ได้อยู่ที่ 28.79% ส่วน “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” อยู่ที่ 30.10%
กระทั่งล่าสุด มิ.ย.64 ประชาชนที่เลือก “ประยุทธ์” เหลือแค่ 19.32% หากไปกว่า 10% เลยทีเดียว
จนอาจกล่าวได้ว่า กำลังเป็น “วิกฤตศรัทธา” ที่มีต่อตัวท่านผู้นำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ “ขั้วตรงข้าม” ก็ได้ทีไล่ขย่มทันที แม้จะอยู่ในช่วงโควิดแพร่ระบาดก็ตาม ปักหมุดหมายวันที่ 24 มิ.ย.64 ครบรอบ 89 ปี วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประกาศนัดชุมนุมแสดงพลังเปิด “เกมรุก-ไล่” รัฐบาลประยุทธ์อย่างพร้อมเพรียง ถึง 5 คณะ ภายใต้ยุทธการ “แม่น้ำ 100 สาย”
ตั้งแต่กลุ่มไทยไม่ทน-สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ภายใต้การนำ จตุพร พรหมพันธุ์ - อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ สมทบด้วยกลุ่มประชาชนคนไทย ของ “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ ที่นัดชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล ประกาศขีดเส้นตาย 3 เดือน “ประยุทธ์” อยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
ขาประจำอย่าง “ม็อบราษฎร” หรือ “ม็อบ 3 นิ้ว” ที่กลับมาจัดกระบวนทัพอีกครั้ง หลังแกนนำตัวท็อปอย่าง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์- “ทนายซอยจุ๊” อานนท์ นำภา- “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา - “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงศ์ จาดนอก- “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ- “แอมมี่ บอททอมบูลส์” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกันมาระยะหนึ่ง
จุดประสงค์ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” งวดนี้ ประกาศว่าจะเป็นการยืนยัน “เพดานเดิม” อันเกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และเชื่อว่าถือโอกาสเช็ก “มาตรฐาน” การละเมิดเงื่อนไขให้ประกันตัวของศาล เพื่อวางเกมเคลื่อนไหวในอนาคต
ร่วมด้วย กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า และกลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ทำกิจกรรมขับไล่รัฐบาลคู่ขนานกัน
ขาดไม่ได้ “นักรบห้องแอร์” อย่าง “กลุ่ม Re-solution” นำโดย “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ที่มีแนวร่วมหน้าใหม่อย่าง “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายของ “จารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ที่จัดอีเวนต์ “รื้อ-ล้าง-โละ ระบอบประยุทธ์” ผ่านการรณรงค์ล่ารายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถือเป็นการชิงจังหวะของ “ชาวม็อบ” ที่สบช่องกระแสไม่ทน “ลุง” กระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็หมายไล่ต้อนเข้ามุม เอาให้น็อกคาเวที
ไม่ต้องสืบความให้เหนื่อย รู้กันดีว่าหลักใหญ่ใจความวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นต่อตัว “ลุงตู่” มาจาก “ความล้มเหลว” ในการบริหารจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่เรื้อรังใกล้ล้มละลาย
การแก้ปัญหาโควิด-19 ที่เคยยืดอกภูมิใจเมื่อครั้ง “ระลอกแรก” จนโหนเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากนานาชาติได้ร่วมปี ก็ต้องมาพังครืนจากการระบาดระลอก 2 ช่วงปลายปี 2563 คาบเกี่ยวมาถึงต้นปี 2564 และเข้าโหมด “โคม่า” ในระลอก 3 ตั้งแต่เดือน เม.ย.64 ที่ผ่านมา
จนยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยพุ่งทะลุ 2.3 แสนราย ผู้เสียชีวิตอีก 1.7 พันคน แซงหน้าต้นกำเนิดเชื้อไวรัสมรณะอย่างประเทศจีนไปแล้วหลายช่วงตัว
เฉพาะระลอก 3 เดือน เม.ย.64 ก็ป่วยเพิ่มขึ้นมาถึง 2 แสนราย มีผู้ติดเชื้อรายวันหลักหลายพันต่อเนื่องมาร่วม 3 เดือน ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เป็นหลักสิบต่อเนื่องมาเช่นกัน ไม่รวมปัญหาผู้ป่วยอาหารหนัก หรือเตียงขาดแคลน จนเกิดเหตุสลดผู้ป่วยตายคาบ้าน-คาคอนโดฯให้เห็น
ซ้ำร้ายการบริหารจัดการ “วัคซีน” ที่ถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด ไม่ว่ากระบวนการ “จัดหา-กระจาย” ก็เรียกว่า “เละตุ้มเป๊ะ” ไร้ทิศทาง ขาดการบูรณาการที่ชัดเจน ทั้งที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหยุบหยับเต็มไปหมดตามสไตล์ “รัฐราชการ”
จนถูกโจมตีได้ทุกจุด ทั้งเรื่องความล่าช้าในการจัดหา และคุณภาพของวัคซีน หรือความล่าช้าในการฉีด ที่ตั้งเป้าเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ 100 ล้านโดส ครอบคลุมอย่างน้อย 50 ล้านคนในประเทศ คิกออฟกันไปตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. แต่บัดนี้ยังดูห่างไกลความเป็นจริง
ในขณะที่ “ไทยแลนด์” ยังมะงุมมะงาหราอยู่ ติดเทรนด์ “คอย.วัคซีน.อยู่” แต่หลายประเทศเริ่มกลับมา “ใช้ชีวิตปกติ” ไม่ต้อง “นิวนอร์มอล” ให้เมื่อยตุ้มกันแล้ว
แล้วยังต้องสะพึงกับ “เชื้อกลายพันธุ์” ที่นำเข้ามาถึงไทยจากทั่วโลก อังกฤษ-แอฟริกา-อินเดีย ล่าสุดกับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ “เดลตา” และ “เดลตา พลัส” ที่ทางการแพทย์ระบุว่า เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concern : VoC) แล้ว เนื่องจาก สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็ว เกาะกับเซลล์ของปอดได้ดี ลดการตอบสนองของโมโนโคลนอลแอนติบอดี
พูดง่ายๆว่า สายพันธุ์ “เดลตา” สุดแข็งแกร่ง สู้กับ “ภูมิคุ้มกัน” ได้ดีขึ้น เจอ “วัคซีนที่เอาไม่อยู่” คงไม่คณามือ ยิ่ง “เดลตา พลัส” ด้วยแล้ว ถ้าหลุดเข้าไทยเมื่อไร บันเทิงแน่นอน
พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปัญหามาจากการบริหารงานแบบ “วันแมนโชว์” ของ “บิ๊กตู่” ประเภท “ข้ามาคนเดียว” ตั้งแต่เป็นรัฐบาล คสช. ที่วันนั้นอำนาจล้นมือ มี “มาตรา 44” เป็นยาสารพัดนึก อีกทั้งผู้คนไม่คาดหวังสูง เพียงต้องการให้บ้านเมืองสงบ เกิดความปรองดองสมานฉันท์เท่านั้น
งานก็เลยเบา มีเวลาแต่งเพลงปรองดอง-รักชาติ ได้เป็นอัลบั้ม
แต่ “ตู่มาคนเดียว” ในวันนี้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งอำนาจที่หย่อนลงหลังเข้าโหมด “รัฐบาลเลือกตั้ง” อีกทั้งยังเจอวิกฤตประดังเข้ามา โดยเฉพาะ “โควิด-19” ที่ถือเป็นด่านหินพิสูจน์คนเป็น “ผู้นำ”
จนมีคำกล่าวว่า ยามวิกฤตผู้นำจะ “ดีชั่ว” ไม่สำคัญ แต่ผู้นำประเภท “ไร้วิสัยทัศน์-ไม่มีภาวะผู้นำ” เสียหายร้ายแรงกว่ากันมาก
ที่สำคัญ “ประยุทธ์” ยังถูกวิจารณ์หนักหน่วงไปอีกว่า เป็น “วันแมนโชว์” ประเภท “รับชอบ” แต่ไม่ “รับผิด” ซะอีก จากปัญหาความมั่วในเรื่องการฉีดและกระจายวัคซีน ที่ “โยนขี้” กันไปมาจนเหม็นคละคลุ้งไปทั้งรัฐบาล
ทั้งที่ “บิ๊กตู่” เป็นผู้อำนวยการ ศบค. ที่ประกาศคุมสถานการณ์เบ็ดเสร็จมาตั้งแต่ต้น
ปัญหาใหญ่ความสับสนอลหม่านในการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งสัญญาส่งมอบ “วัคซีนหลัก” หรือความคืบหน้า “วัคซีนทางเลือก” ที่เป็นเรื่องคาใจสังคม ก็ยังดูเหมือนว่า “นายกฯ ตู่” จะหลีกเลี่ยงการแถลงเคลียร์คัทให้ชัดเจน หรือออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เพื่อตอบข้อซักสงสัยจากสังคมโดยตรง
แล้วยังหาญกล้างัดรูปแบบ “ซิงเกิลคอนมานด์” เหมือนในยุค คสช.มาใช้ โดยออกคำสั่งยึดอำนาจกฎหมายหลายสิบฉบับเกี่ยวกับการแก้ไขและควบคุมสภานการณ์โควิด-19 มาไว้ที่ “นายกฯ” แต่เพียงผู้เดียว ให้เหตุผลว่า เพื่อการตัดสินใจได้อย่างฉับไว ครบวงจร
สร้างความอึดอัดให้กับองคาพยพพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะรายของ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่ถูกฉกอำนาจไปเต็มๆ แต่กลับกลายเป็นถูก “ทัวร์ลง” ฝ่ายตรงข้ามจ้องถล่ม
การยึดมั่นถือมั่น “วันแมนโชว์” ลามมาถึงปัญหาเรื้อรังด้านเศรษฐกิจ เป็น “ตลกร้าย” ที่ “อดีตนายทหารอาชีพ” ประกาศเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 2 หลังการเลือกตั้ง มี.ค.62
เป็นเหตุให้ “คนมีฝีมือ” ด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งชุดเก่าอย่าง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และทีมสี่กุมาร มาถึง “เฮียพงษ์” สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน ในปัจจุบัน
การนำพาเศรษฐกิจภายใต้ “กัปตันตู่” ก็ทรงๆ ทรุดๆ มาตลอด อาศัยแก้ผ้าหน้ารอดด้วยเหตุผล “ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ” ทั้งๆ ที่เคยได้ “อานิสงส์” จากวิกฤตโควิด-19 ทำให้รัฐบาลมี “ข้ออ้าง” ให้การกู้เงินเติมกระสุนถึง 1.5 ล้านล้านบาท แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะดีขึ้นเลย
หนักขึ้นไปอีกโดยเฉพาะการระบาดระลอก 3 ก็ส่งผลให้มีการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2564 เหลือ 1.8% จากเดิม 3% ที่ต่ำอยู่แล้ว และในปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.9% ลดจากเดิมที่ 4.7%
ตีความได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังซบเซา ถึงขั้นย่ำแย่ไปถึงปีหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ทั้งที่ “นายกฯตู่” เพิ่งประกาศเป้าหมายเปิดประเทศใน 120 วันแท้ๆ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อตัว “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” โดยแท้
และทั้งที่การแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ด้าน “รวมศูนย์” อยู่ที่ “บิ๊กตู่” คล่อมทั้งแก้โควิด และคุมงานด้านเศรษฐกิจ มี “โจทย์หลัก” ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้คนในประเทศเพื่อ “เปิดประเทศ” ให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจเดินหน้าปั๊มชีพจรประเทศไทย
แต่กลายเป็น “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” ไปได้ไม่สุดซักทาง
ทว่า ถึง “ประยุทธ์” จะ “แต้มติดลบ” ในทุกแนวรบ เรตติ้งความนิยมจะต่ำตมแค่ไหน แต่ก็ประเมินแล้ว “สายพันธุ์ลุง” ที่แพร่เชื้อในไทยมา 7 ปีเต็ม ก็คงจะระบาดอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไปอีกนาน
แถมยิ่งอยู่นาน “ขุมข่าย 3 ลุง” ก็ยิ่งอัพเกรดตัวเอง ไม่ต่างเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ “เดลตา” หรือ “เดลตา พลัส” ที่ฆ่ายาก ด้วยมี “ภูมิคุ้มกัน” จากการกุมสถานการณ์ “การเมือง” ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ทั้งเสียงในสภา ฯที่ทิ้งห่างฝ่ายค้านเป็นช่วงตัว งานตรวจสอบใน “สภาล่าง” ไม่มีสะเทือน ทั้งยังมี “พรรค ส.ว.” เป็นแบ็กอัพอีกตั้ง 250 เสียง งานใหญ่อย่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กดปุ่มไฟเขียว-ไฟแดงได้ตามใจชอบ
เห็นได้จากการยื้อยุดฉุดกระชากก่อนคว่ำกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนก่อน มาจนล่าสุดที่จู่ๆ “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่เคยขวางการรื้อกฎหมายสูงสุดสุดลิ่ม จู่ๆ ก็เกิดอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมดูท่าจะ “ผ่านตลอด” แค่ร่างเดียวเสียด้วย
ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา ที่พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ “หลวงพ่อป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นั้น ก็ถูกกลั่นกรองอย่างดีแล้วว่า จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้ “สายพันธุ์ลุง” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต่อท่ออำนาจ “ขุมข่าย 3 ป.” ตามโรดแมปที่วางไว้
ใน 5 ประเด็น 13 มาตรา นั้นประเด็นอื่น สิทธิประชาชน หรืออำนาจ ส.ว.-ส.ส.ในการติดตามงานปฏิรูปประเทศ ตลอดจนประเด็น ส.ส.แปรงบประมาณ และ ส.ส.-ส.ว.แทรกแซงข้าราชการได้ ที่ยอมถอยนั้น เป็นแค่ “เครื่องเคียง” ของการยื่นญัตติแก้ไขรับธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ
เพราะเป้าหมายหลักคือการแก้ไขระบบเลือกตั้ง ปรับเป็น “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” สัดส่วน ส.ส.เขต 400 ที่นั่ง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 ที่นั่ง แบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นสูตรที่เข้าทาง “พรรคใหญ่”
ว่ากันว่า “ค่ายหลวงพ่อป้อม” ตั้งเป้าว่า กติกาใหม่นี้จะส่งผลให้งวดหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ถือเป็น “พรรคเบอร์ 1” ชั่วโมงนี้จะได้ที่นั่ง ส.ส.ทะลุ 200 หรือ 250 ที่นั่ง เป็น “รัฐบาลพรรคเดียว” หรือลดอำนาจต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลให้มากที่สุด แต่ก็ยังคงอำนาจเลือกนายกฯไว้ให้ “พรรค ส.ว.” เผื่อเหลือเผื่อขาด
ขณะเดียวกันก็จะเป็นการฆาตกรรมหมู่ “พรรคเล็ก” ในสารบบทั้งหมด เพราะจาก “แต้มปัดเศษ” ระดับ 3-7 หมื่นต่อ 1 ที่นั่ง ส.ส. ต้องเปลี่ยนเป็น 4-5 แสนคะแนนต่อ 1 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ตามกติกานี้อย่าว่าแต่ “พรรคเล็ก” จะสูญพันธุ์ พรรคอดีตอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกล ตอนนี้ก็ยากที่จะได้เข้าสภาฯ
จนว่ากันว่า ยุทธการปิดสวิตซ์ “ค่ายก้าวไกล” อาจจะเป็นเหตุผลหลักในการแก้ไขรัฐธรรมนูญงวดนี้ด้วยซ้ำ
กอรปกับมาดูความเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐ ที่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในการสนับสนุนของ “นายป้อม” หัวหน้าพรรค สามารถยึดพรรคได้อย่างเด็ดขาด หลังเขี่ย “เสี่ยแฮงค์ สามมิตร” อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กระเด็นจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค โดยที่ “ลูกพี่สามมิตร” ทั้ง สมศักดิ์ เทพสุทิน - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้แต่พยักหน้างึกๆ
และเป็น “ธรรมนัส” ที่ขึ้นเถลิงตำแหน่ง “พ่อบ้านพรรค” เป็นขุนพลข้างกาย “ลุงป้อม” ตามแผนที่วางไว้
จากผลงานโดดเด่น นำทัพกวาดชัยชนะมาทุกสนามการเลือกตั้งซ่อม สยายปีกยึดพื้นที่ภาคใต้ รุกพื้นที่อีสาน-เหนือ ตามคอนเซปต์ “อีสานล้านนา” ทั้งยังตั้งสำนักฤาษีแจกกล้วย เปิดฟาร์มเลี้ยงงูเห่า ส่งให้ “ผู้กองนัส” ได้รับความไว้วางใจในการเตรียมพร้อมลงสู้ศึกเลือกตั้งหนหน้า
ด้วยสไตล์บู๊ล้างผลาญของ “ผู้กองเมืองเหนือ” ที่ฟาดแม้กระทั่ง “คนในพรรค” แบบไม่ไว้หน้า หากส่งไปฟาดฟันกับ “คนนอก” ในสนามเลือกตั้ง ย่อมไม่มีออมมือ ไม่เชื่อถาม “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ดูได้ เพราะเคยร้องจ๊ากมาแล้ว หลังมีชื่อ “ธรรมนัส” ไปดูแลพื้นที่ปักษ์ใต้
เมื่อกติกาพร้อม ขุนพลเข้าที่ จากนี้นับถอยหลังเตรียมการเลือกตั้งได้ทุกเมื่อ ยิ่งกระแสโห่หนักๆ วันดีคืนดี “ลุงตู่” ทนไม่ไหว เตะปลั๊ก “ยุบสภา” ก็เรื่องใหญ่ หรืออาจจะอยู่ครบเทอมก็แล้วแต่ เพราะพรรคที่พร้อมที่สุดไม่พ้น “ค่ายพลังประชารัฐ”
และแม้จะได้ ส.ส.ไม่ถึงเป้า ก็มี “พรรค ส.ว.” คอยชูมืออยู่ เส้นทาง “ลุงตู่” เส้นทางขึ้นเก้าอี้นายกฯอีกสมัย ก็ยังแบเบอร์ ต่อท่ออำนาจ “ขุมข่าย 3 ป.” บวกรวม “ธรรมนัส” ที่ขึ้นเป็นใหญ่ในพรรคและรัฐบาล ที่อาจเรียกเป็น “ขุมข่าย 4 ป.” ได้อย่างสบายๆ
รูปการณ์นี้ วัคซีนกี่ตัวก็ยากจะฆ่า “ลุงตู่ เดลตา” แถมนับวันดูแล้ว “สายพันธุ์ลุง” นอกจากดื้อยาขั้นสุดแล้วยังสามารถวิวัฒนาการกลายพันธุ์เพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเองเสียด้วยสิ.