xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โศกนาฏกรรม “จ่าโคราช” ถึง “อดีตพลอาสา” ป่วย “จิตเวช” หรือเป็นผลจาก “กองทัพ”??!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภาพจำอันโหดร้ายแห่ง “โศกนาฏกรรมจ่าคลั่ง-จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา” ที่โคราชกับผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตไปถึง 31 ศพและผู้บาดเจ็บจำนวนมากยังไม่ทันลบเลือนไปจากความทรงจำของคนไทย ก็มาเกิดเหตุสลดในทำนองเดียวกันอีกครั้งกับ “อดีตพลอาสารบพิเศษ-หมวกแดง” ที่ชื่อ “กวิน แสงนิลกุล” ซึ่งก่อเหตุใช้ปืนยิงพนักงานขายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซอยลาดพร้าว 25 เสียชีวิต ก่อนขับรถไปบุกโรงพยาบาลสนามจังหวัดปทุมธานี พร้อมใช้ปืนยิง “ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19” ที่กำลังกักตัวอยู่เสียชีวิตไปอีก 1 ราย

และแน่นอนว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ “กองทัพ” ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง

กล่าวสำหรับผู้ก่อเหตุเที่ยวล่าสุดคือ “นายกวิน” นั้น แรกเริ่มเข้าใจว่าเป็น “อดีตพลทหารเกณฑ์” แต่ทำไปทำมากลายเป็น “อดีตพลอาสา” ที่สมัครใจมาเข้ารับราชการ แถมยังเป็นอดีตพลอาสาสังกัด “กองพันจู่โจม (พัน จจ.รอ.)” ที่ถือว่าเป็นหน่วยระดับฝีมือ ของ “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ(นสศ.) และ ถือเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการใช้อาวุธ เพราะได้รับการฝึกเพิ่มขึ้น และปลดประจำการไปเมื่อวันที่ 1 พฤศิจกายน 2562

ทั้งนี้ นายกวินอ้างว่า ที่ก่อเหตุก็เพราะมีปัญหาและถูกจ่าสิบเอกหน่วยรบพิเศษ และรุ่นพี่รบพิเศษทำร้าย และให้ร้ายตนเอง ซึ่งขณะนี้มีรายงานว่า “พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก” ได้สั่งการให้ “พล.ท.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง” ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่านายกวินปลดประจำการผ่านมา 2 ปีแล้วทำไมถึงนำมาอ้างเป็นเหตุหลังยิงผู้อื่นเสียชีวิตและยังนำชุดทหารมาใส่เพื่อยิงผู้อื่นต่อไป

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เริ่มต้นจากการที่นายกวินใช้อาวุธปืนยิงนายรัฐวิทย์ สันติคุปตพง ซึ่งเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ปากซอยลาดพร้าว 25 เสียชีวิต โดยจากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงประมาณสี่ทุ่มครึ่งที่ผ่านมา นายกวินได้เข้ามาซื้อของภายในร้าน รวมทั้งเบียร์จำนวน 1 แพ็ก 3 ขวด แต่ได้ทำขวดเบียร์ตกแตก ก่อนที่จะชำระเงินค่าสินค้า โดยไม่ยินยอมจ่ายค่าเบียร์ที่ตกแตก ทำให้ผู้เสียชีวิตที่เป็นพนักงานไม่พอใจ จนทะเลาะและมีปากเสียงกัน ก่อนที่จะมีพนักงานคนอื่นที่อยู่ภายในร้านออกมาช่วยพูดจาตกลงกัน โดยให้คนร้ายชำระเฉพาะค่าสินค้าที่ซื้อ ไม่ต้องชำระค่าเบียร์ที่แตก หลังจากนั้น ประมาณเกือบเที่ยงคืน ทางคนร้ายได้กลับมาที่ร้านอีกครั้ง พร้อมกับอาวุธปืน เมื่อเข้ามาถึงก็ถามหาผู้เสียชีวิต ก่อนจะกระหน่ำยิงใส่ หลังผู้เสียชีวิตล้มลง คนร้ายได้เดินเข้ามาเหยียบที่บริเวณหน้าอก เพื่อดูให้แน่ใจว่าผู้เสียชีวิตตายจริง ก่อนจะเดินออกจากร้านไป 

จากนั้น นายกวินได้ขับรถยต์ไปยังโรงพยาบาลสนาม จ.ปทุมธานี ซึ่งตั้งอยู่ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี หรือสถาบันธัญญารักษ์ โดยใช้ปืนยิงประตูที่เป็นกระจกจนแตกและเดินเข้าไปยิง “ผู้ป่วยโควิด-19” ที่ถูกกักตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลสนามเสียชีวิตไปอีก 1 ราย

อย่างไรก็ดี กรณีนี้อาจเทียบเคียงกับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ที่โคราช ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะเหตุครั้งนั้นมีชนวนเหตุเกิดจากที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ไปกู้เงินสวัสดิการกองทัพบกเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อบ้านในโครงการที่นางอนงค์เป็นเจ้าของในราคา 1.1 ล้านบาท โดยมีข้อตกลงว่าจะได้เงินส่วนต่าง หรือเงินทอนจำนวน 4 แสนบาทคืนแต่รอแล้วรอเล่า ติดตามทวงถามไปกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งมีการนัดหมายมาเจรจา โดยมีเจ้านายของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ มาเป็นพยานร่วมไกล่เกลี่ย สุดท้ายก็เหลวอีก จนเป็นเหตุให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ใช้ปืน 9 ม.ม.ที่เตรียมมายิงทั้งหมดด้วยความแค้น รวมทั้งระหว่างที่หนีไปยังเทอร์มินอล-21 ก็ใช้อาวุธยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปอีกเป็นจำนวนมาก่อนถูกวิสามัญฆาตกรรมในเวลาต่อมา

ขณะที่กรณีของนายกวินนั้น มีประเด็นที่น่าสนใจซึ่งจำต้องคลี่คลายหลายประเด็นด้วยกัน

สำหรับการก่อเหตุยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อนั้น มีความชัดเจนว่า เป็นเพราะความไม่พอใจซึ่งหน้าและขาดสติจากความมึนเมาที่ได้ดื่มเบียร์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพียงแต่อาจมีผลมาจากสภาพจิตใจที่ทำให้นายกวินใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยมีรายงานว่ามีประวัติป่วยทางจิตเวช ส่วนการบุกไปที่โรงพยาบาลสนามเป็นปริศนาที่ขบคิดไม่ออกในช่วงแรกๆ ว่า ทำไมนายกวินถึงบุกไปก่อเหตุที่นั่น และคลี่คลายหลังเขายอมมอบตัวแล้ว

อย่างไรก็ดี กรณีที่เขาอ้างว่า เป็นเพราะจ่าสิบเอกหน่วยรบพิเศษ และรุ่นพี่รบพิเศษทำร้าย และให้ร้ายตนเอง ซึ่งฟังดูทะแม่งๆ และไม่น่าจะเป็นเหตุเพราะไม่สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรง เพียงแต่อาจเป็นผลทางอ้อมได้ดังที่ขาให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมา

นายกวินบอกว่า สาเหตุยิงพนักงานร้ายเซเว่น เพราะไม่พอใจที่จะให้จ่ายเงินเพิ่ม พยายามขอร้องแล้วแต่พนักงานไม่ยอมจะให้จ่ายเงินอย่างเดียว ตนเองจำหน้าได้ ออกจากโรงแรมก็เลยมายิง ส่วนยิงไปกี่นัดจำไม่ได้ว่า 5 หรือ 6 นัด หลังจากยิงเสร็จก็เคลียร์ลูกโม่ปืน โดยยิงจากข้างหลัง พร้อมบอกด้วยว่าตัวเองเป็นคนเลวจริงและบาปมาก เพราะหลังจากยิงพนักงานจนคว่ำ ยังใช้เท้ากระทืบไปที่ร่างของผู้เสียชีวิตด้วย โดยไม่อยากทำร้ายใคร แต่ตอนอยู่ในค่ายทหารเคยถูกคนติดยาทำร้ายออกมาจึงอยากแก้แค้นคนที่ทำ

นายกวินบอกด้วยว่า หลังยิงพนักงานเซเว่น ฯได้เดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลสนาม เพราะคิดว่าจุดนั้นเป็นศูนย์บำบัดผู้ป่วยยาเสพติด เมื่อเจอผู้ชายคนหนึ่งถามว่าเคยเสพยาหรือ ซึ่งเจ้าตอบอะไรจำไม่ได้ แต่ด้วยความโมโห สติแตกไปแล้วระงับอารมณ์ไม่อยู่จึงยิงผู้ชายดังกล่าว ก่อนที่จะขับรถหลบหนีมาที่ระนองเพื่อมาหาย่า ซึ่งตนเองรู้สึกผิดมาก

ขณะที่ “นายกิตติ แสงนิลกุล” พ่อของนายกวินที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญมาให้ปากคำเล่าว่า หลักๆ ลูกชายมีเรื่องคับแค้นใจอยู่ 2 เรื่อง เกี่ยวกับตอนที่เป็นทหารเกณฑ์ โดนครูฝึกซ้อม เกี่ยวกับเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งตลอดเวลา ยังถูกครูฝึกที่ติดยาทำร้ายอีก จึงเกิดความคับแค้นใจ จนมีเรื่องเก็บกดมาเป็นเวลานาน ซึ่งตนเองก็พยายามเตือนแล้ว ว่าอย่าไปทำคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง จนมาทราบก็ตอนที่ก่อเหตุแล้ว ซึ่งตอนนี้ลูกชายได้ปลดประจำการณ์มาแล้ว และทำงานส่งเอกสาร และทำคอมพิวเตอร์ให้กับญาติๆ กันโดยในเบื้องต้นลูกชาย กำลังทำวีซ่าที่จะเดินทางไป ประเทศอเมริกา โดยถ้าไปได้ลูกชายบอกว่าจะอยู่ที่นั่นเลย

จากข้อมูลที่ปรากฏก็น่าจะเกี่ยวโยงกับเมื่อครั้งที่นายกวินเป็นพลอาสารบพิเศษอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะถือว่ากระทบกับภาพลักษณ์ของกองทัพ และถ้าเกี่ยวข้องจริงก็จำเป็นที่จะต้องมีการสังคายนาหรือทบทวนกันอีกครั้ง

กระนั้นก็ดี มีรายงานข่าวแจ้งว่า พ.ท.มงคล ปุริสา ผู้บังคับกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ (รพศ.3 รอ.) ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อเท็จจริงหลังจากมีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของผู้ก่อเหตุว่าไม่พอใจที่ถูกครูฝึกทำร้ายเมื่อช่วงที่อยู่ในค่ายทหาร ซึ่งทางครูฝึกได้ยืนยันว่าไม่เคยทำร้ายร่างกาย ปฏิบัติตามกรอบของการฝึกทหารใหม่ 10 สัปดาห์ โดยอดีตทหารเกณฑ์ดังกล่าวมีผลการฝึกค่อนข้างดี ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับหมวดบรรจุที่กองร้อยที่ 2 ซึ่งครูฝึกก็อยู่กองร้อยดังกล่าวด้วย แต่อดีตทหารเกณฑ์ผู้นี้ก็อยู่ไม่นาน และหมุนไปอยู่กองร้อยที่ 3 เกือบสองปี ส่วนรุ่นพี่ที่ถูกระบุว่าทำร้ายร่างกายปลดออกไปก่อน 1 ปี และเมื่อย้อนดูประวัติการป่วยทางจิตเวชพบว่าก่อนการเข้ามาเป็นพลทหารไม่มีการแจ้งประวัติดังกล่าว แต่มารดาเคยให้ข้อมูลในช่วงที่เข้ามาประจำการแล้วว่าเคยรักษาอาการและหายเป็นปกติแล้ว จนกระทั่งเมื่อปลดประจำการก็เข้ารับการรักษาอาการอีกครั้ง

แหล่งข่าว จากทบ.ระบุว่า ทางหน่วยต้นสังกัดกำลังรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดจากการสอบครูฝึก เพื่อนในรุ่นและรุ่นพี่ เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมา 2 ปี และรุ่นพี่พลทหารอาสาก็ปลดประจำการไปแล้ว แต่ครูฝึกยืนยันว่าไม่มีการซ้อมหรือทำร้ายร่างกาย แต่ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปว่าในช่วงการฝึกปรับพื้นฐานกองพันจู่โจม ซึ่งมีฝึกหนักทดสอบความอดทนทางร่างกาย และจิตใจ มีรายละเอียดอย่างไร เพราะหากมีการทำเกินกว่าเหตุ มีการร้องเรียนและสอบสวนพบว่าผิดจริงก็ต้องลงโทษ อีกทั้งนโยบายของกองทัพบกในปัจจุบันเคร่งครัดในเรื่องดังกล่าว และกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงกับทหารใหม่

เรื่องนี้จะลงเอยย่างไร เป็นผลมาจากปัญหาทางจิตเวชส่วนตัว หรือเกี่ยวโยงกับชีวิตการเป็นทหาร หรือมีอะไรที่ลึกไปกว่านี้ คงต้องติดตามกันต่อไป.




กำลังโหลดความคิดเห็น