xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กินทิ้งกินขว้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 เมื่อเร็วๆ นี้มีสื่อสำนักหนึ่งเผยแพร่ภาพลุงคนหนึ่งกำลังโกยเศษข้าวสารที่มีคนทำร่วงเพื่อนำไปบริโภคต่อ ภาพนี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องแต่เก่าก่อนสมัยเมื่อผมยังเด็ก ที่ได้เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ที่หน้าบ้านผมที่ต่างจังหวัดขึ้นมาทันที 


ตอนนั้นข้างบ้านผมซึ่งเป็นห้องแถวถัดไปห้องสองห้องนั้น นอกจากจะมีเพื่อนบ้านอาศัยอยู่แล้วก็ยังกันพื้นที่ชั้นล่างส่วนหนึ่งเป็นที่เก็บข้าวสารอีกด้วย ข้าวสารเหล่านี้บรรจุอยู่กระสอบขนาดใหญ่ที่เมื่อจะขนย้ายจะต้องให้กุลีเป็นผู้ขนขึ้นลงรถบรรทุก

การขนข้าวสารขึ้นลงรถบรรทุกในสมัยก่อนที่ใช้แรงงานคนล้วนๆ นั้นจะเป็นไปโดยรถบรรทุกจะเปิดท้ายกระบะออกมา จากนั้นก็ใช้ไม้กระดานหนาพาดไปที่ท้ายกระบะลงมา ไม้กระดานนี้จะมีชิ้นไม้ถูกตอกเป็นขั้นๆ ซึ่งมีระยะห่างประมาณหนึ่งฟุต

 ชิ้นไม้นี้มีความสำคัญมาก เพราะมันจะทำหน้าที่คล้ายกับขั้นบันไดให้กับกุลีใช้เหยียบเวลาขนข้าวสาร (หรืออะไรอื่นนอกเหนือจากข้าวสาร) ขึ้นลงรถบรรทุก ซึ่งตัวกุลีเองนอกจากจะต้องแข็งแรงพอที่จะแบกข้าวสารเป็นกระสอบหนักๆ แล้ว ยังต้องมีทักษะในการแบกข้าวสารให้ได้สมดุลอีกด้วย 

 และจังหวะที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่ต้องเหยียบขั้นไม้กระดานที่วางพาดระหว่างท้ายรถบรรทุกกับพื้นดิน เพราะไม้กระดานที่ว่านี้มีความกว้างไม่เกินหนึ่งฟุต เวลาเหยียบขึ้นลงนั้นจะต้องรักษาจังหวะให้ดี หาไม่แล้วอาจพลาดจนทำให้ข้าวสารกระสอบใหญ่ร่วงลงพื้นได้ 

หรือร่วงทั้งคนทั้งข้าวสารให้ได้รับบาดเจ็บกัน

จังหวะที่ว่านี้ทำให้ร่างของกุลีกับกระสอบข้าวสารที่แบกอยู่ดีดตัวขึ้นลงบนไม้กระดาน ซึ่งเป็นไปตามน้ำหนักที่หนักอึ้งของข้าวสาร แต่ก็ด้วยจังหวะนั้นเองที่ทำให้ทั้งคนทั้งข้าวสารเกิดความสมดุลขึ้นมา

ภาพดังกล่าวผมเห็นจนชิน เพราะเป็นภาพที่เกิดเป็นประจำเดือนละครั้งสองครั้ง เวลาที่มีการขนข้าวสารทีไร คนขับรถบรรทุกจะมานั่งรออยู่ที่หน้าบ้านผม และพูดคุยกับเพื่อนบ้านเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว จนเมื่อการขนข้าวสารแล้วเสร็จ คนขับจึงขับรถบรรทุกออกไปพร้อมกับกุลีสองสามคน ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร

จากภาพจำที่ว่าก็ได้นำมาสู่เหตุการณ์ที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้น...

คือมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่มีการขนข้าวสารกันอยู่นั้น จู่ๆ กุลีคนหนึ่งก็ทำข้าวสารที่แบกอยู่ร่วงลงมาขณะกำลังอยู่บนกระดานไม้ที่เป็นบันได ข้าวสารที่ร่วงทำให้กระสอบแตกและมีข้าวสารทะลักออกมา ซึ่งคะเนได้ว่าน่าจะมากกว่าหนึ่งกิโลกรัม

กรณีแบบนี้ไม่มีใครกล่าวโทษใคร หรือมีใครถูกลงโทษ เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเหตุเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อกุลีจัดการย้ายข้าวสารในกระสอบที่แตกออกไปแล้ว เจ้าตัวก็แบกข้าวสารอันเป็นงานของตนต่อไป

จนเมื่อข้าวสารถูกขนแล้วเสร็จ คนขับรถบรรทุกก็หันมาบอกกับคนที่บ้านผมว่า เศษข้าวสารที่ร่วงกองอยู่นั้นมีจำนวนไม่น้อย เขาคงไม่โกยเอาไปเพราะอยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้หุงหาอาหารกินเอง พร้อมบอกให้คนในบ้านผมนำเอาไปบริโภคได้

จากนั้นภาพที่คล้ายกับคุณลุงโกยข้าวสารตามภาพข่าวข้างต้นก็เกิดขึ้น

 ผมจำได้ว่า อาหารมื้อเย็นของวันนั้นเป็นมื้อที่กินเข้าไปได้ยากที่สุดในชีวิต เพราะข้าวที่หุงสุกจนหอมนั้นยังมีเศษดินทรายที่คัดออกไม่หมดปนแทรกอยู่มาก กินเข้าไปแต่ละคำจึงต้องเคี้ยวเอาเศษดินนี้ไปด้วย 

พอกินเข้าไปได้ไม่กี่คำผมก็หมดความอดทนพร้อมบ่นออกมาว่า ขอไม่กินแล้ว

พอผู้ใหญ่ที่อยู่ร่วมโต๊ะสองสามคนได้ยินเข้าท่านก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่มองหน้ากันสักครู่แล้วก็ยิ้มออกมา จากนั้นหนึ่งในผู้ใหญ่ก็พูดขึ้นว่า พวกผมเกิดมาก็อยู่สุขสบาย แต่ในสมัยที่ท่านอยู่ที่เมืองจีนนับแต่เด็กจนโตนั้น ชีวิตไม่ได้สบายอย่างพวกผม

ท่านว่า เวลานั้นข้าวแทบจะไม่มีกิน ใครก็ตามที่ทำข้าวสารหรือข้าวสุกหกลงพื้นแล้วไม่นำพา ก็จะมีคนที่นำพามากอบมาโกยเอาไป ถ้าคนนำพามีมากกว่าหนึ่งคนก็หมายความว่า ทุกคนต้องแย่งกันในแบบใครดีใครได้

ไม่มีใครสนใจว่าข้าวกองนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยจะมีเศษดินปนอยู่ หรือต่อให้แย่กว่าเศษดิน ก็ไม่มีใครรังเกียจ และพร้อมที่จะได้มันมาประทังชีวิตแม้สักมื้อครึ่งมื้อก็ยังดี โดยก่อนหุงจะคัดเอาเศษดินออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถคัดออกได้หมด พอถึงเวลากินจึงไม่มีใครที่จะมีแก่ใจมาคัดเศษดินทิ้งอีก ทุกคนต่างจำยอมกินข้าวสุกพร้อมกับเศษดินไปอย่างช่วยไม่ได้

จนดูเสมือนหนึ่งว่า เศษดินเหล่านั้นคือส่วนหนึ่งของมื้ออาหารมื้อนั้นก็ว่าได้

ผมฟังเช่นนั้นก็รู้ซึ้งแก่ใจและจำมาจนทุกวันนี้ ถึงแม้ผมจะไม่นั่งลงกินข้าวมื้อนั้นต่อก็ตาม ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องราวความขมขื่นของคนจีนตามที่ผู้ใหญ่ท่านเล่ามานั้น เป็นเพียงอีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตของผม เพราะก่อนหน้านี้ผมได้ฟังเรื่องราวความขมขื่นของคนจีนในรูปแบบอื่นๆ มาโดยตลอด

จากความรู้ซึ้งในวันนั้น พอผมเห็นภาพข่าวข้างต้นก็เข้าใจได้ และทำให้ผมรำลึกความหลังเรื่องที่ว่าขึ้นมา ภาพข่าวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้จึงเป็นอนุสติให้แก่ผมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เหตุการณ์ครั้งแรกผ่านไปแล้วเกือบ 50 ปี

และที่ว่ารู้ซึ้งนั้นก็มีประเด็นที่ผมควรกล่าวด้วยว่า ที่ผู้ใหญ่ในบ้านโกยเอาข้าวสารที่มีเศษดินปนอยู่มากินนั้น มิได้หมายความว่าท่านยากจนจนต้องทำอย่างที่เล่ามาก็หาไม่ แต่ที่ทำไปก็เพราะท่านเห็นค่าของเศษข้าวสารที่ย้ำเตือนถึงความหลังของท่านต่างหาก

กล่าวโดยสั้นก็คือ ท่านไม่ลืมว่าตนคือใครในอดีต แม้ในขณะที่ท่านมีฐานะพออยู่พอกินแล้วก็ตาม

ส่วนผมก็ใช้ชีวิตตามปกติเรื่อยมาแบบพออยู่พอกินเช่นกัน แต่กล่าวเฉพาะเรื่องกินแล้วสิ่งที่ผมต่างไปจากคนจำนวนไม่น้อยก็คือ ผมจะทำกับข้าวกินเองเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเวลาออกไปทำธุระการงานนอกบ้าน ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือเห็นกับข้าวที่แปลกไม่เคยกินหรือถ้าทำกินเองก็ไม่คุ้มเท่านั้น ผมถึงจะซื้อมากิน

จากประสบการณ์ในการกินทั้งของตัวผมเองและจากที่เห็นจากบุคคลแวดล้อม มีประเด็นหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ผมไม่ค่อยเห็นคนไทยกินทิ้งกินขว้างมากนัก ส่วนใหญ่จะกินแบบรู้คุณค่าอาหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

ที่สำคัญ คนไทยไม่ได้กินอาหารในปริมาณที่มาก เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แม้คิดที่จะกินให้มากหรือกินเพราะอาหารเลิศรสอย่างไรก็กินไม่ลง เพราะอากาศที่ร้อนทำให้รู้สึกไม่ไหวที่จะกิน

 ที่ผมยกเรื่องปริมาณอาหารมาพูดถึงนี้ก็เพราะต้องการเปรียบเทียบกับคนจีน ที่ตอนต้นเรื่องผมได้ไปพูดไปแล้วว่า คนจีนในอดีตอดอยากยากแค้นแค่ไหน และทำให้คนจีนต้องกระเหม็ดกระแหม่ในการกินอย่างรู้คุณค่าอาหาร จากเหตุนี้ เราจึงไม่เห็นคนจีนในรุ่นที่ว่ากินทิ้งกินขว้าง แม้บางคนจะร่ำรวยเป็นถึงมหาเศรษฐีหรือเจ้าสัวและกินอาหารชั้นดีในแต่ละมื้อ ก็ไม่ได้กินทิ้งกินขว้าง 

มีน้อยครั้งอย่างยิ่งที่ผมจะเห็นคนจีนกินทิ้งกินขว้าง

 แต่คนจีนในยุคปัจจุบันไม่เหมือนคนจีนในอดีตแล้ว คนจีนทุกวันนี้มีฐานะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก อาหารการกินก็ไม่กระเหม็ดกระแหม่ดังแต่ก่อนอีก ยิ่งคนจีนให้ความสำคัญกับการกินจนเป็นรู้กันว่า สำหรับคนจีนแล้ว “เรื่องกินเรื่องใหญ่” เราจึงเห็นคนจีนกินอาหารด้วยปริมาณที่มาก 

ที่สำคัญ อาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนอกจากจะมีมากมายหลายอย่างแล้ว แต่ละอย่างก็ดูน่ากินไปเสียทุกจาน

จนเมื่อราว 20 ปีก่อน คนจีนก็เกิดอาการลืมตัวขึ้นมา คือลืมอดีตอันขมขื่นของบรรพชนที่อดมื้อกินมื้อ และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหาร คนจีนรุ่นใหม่ที่ฐานะดีขึ้นจึงสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ แต่กลับกินไม่หมดและไม่นำพา เมื่อจ่ายเงินเสร็จทุกคนก็กลับไป ทิ้งอาหารที่เหลือบานตะไทไว้บนโต๊ะไปอย่างเหมือนกับสิ่งไร้ค่า

จนไม่รู้ว่าสั่งมามากมายทำไม ทั้งที่จำนวนคนที่กินก็บอกอยู่แล้วว่า กินเท่าไหร่ก็กินไม่หมด
 
การกินทิ้งกินขว้างดังกล่าวเป็นไปทั่วประเทศจีนจนดูเหมือนค่านิยมที่นัดหมายกันไว้ และทำให้คนจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง จนในที่สุดรัฐบาลต้องออกมารณรงค์ไม่ให้คนจีนกินทิ้งกินขว้าง ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะนับแต่นั้นพอมีอาหารเหลือคนจีนก็จะให้พนักงานหอให้ตนนำกลับบ้านไปกินต่อ 

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อราว 20 ปีก่อน เดี๋ยวนี้เฉพาะที่ผมสัมผัสด้วยตัวเองก็ยังเห็นว่า คนจีนยังคงปฏิบัติตนอย่างรู้คุณค่าอาหารกันอยู่โดยรวม มีน้อยครั้งอย่างยิ่งที่จะเห็นคนจีนกินทิ้งกินขว้าง แต่นั่นก็ใช่ว่าการกินของคนจีนในยุคคอมมิวนิสต์นี้จะมีพัฒนาการเพียงเท่าที่ผมกล่าวมา

อันที่จริงแล้วยังเล่าได้อีกยาว แล้วผมจะเล่าในคราวต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น