คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
การที่วัยรุ่นเป็นวัยช่างฝันน่าจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางชีวภาพเป็นสำคัญ เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นในชนชั้นฐานะทางเศรษฐกิจสังคมแบบใด ก็หนีความเป็นคนมีอารมณ์แรงและช่างฝันไม่ได้ แต่จะมากหรือน้อยก็น่าจะเกี่ยวกับว่ามีเวลาว่างมากน้อย และอยู่ในสถานะเศรษฐกิจสังคมแบบไหน วัยรุ่นที่มีเวลาว่างมากและวิถีชีวิตครอบครัวไม่ได้อยู่ใกล้กับโลกความเป็นจริง โอกาสจะฝันเฟื่องก็น่าจะมากเป็นพิเศษ
การฝันนั้น นอกจากจะฝันถึงคนรักในฝันแล้ว บางคนที่คิดมากก็อาจจะฝันถึงเมืองฝันหรือรัฐในอุดมคติ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Utopia ที่แปลว่า เมืองที่ไม่เคยมีอยู่จริงหรือไม่มีวันจะเกิดขี้นจริง
อย่างไรก็ตาม การฝันหรือจินตนาการไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ถ้ามากเกินไป แทนที่จะเป็นประโยชน์ก็จะกลายเป็นโทษไป ไม่ต่างจาก “ยา” ที่ในภาษากรีกโบราณเรียกว่า pharmakon ที่มีความหมายถึงคุณสมบัติของสองสิ่งที่ตรงข้ามกันในเวลาเดียวกัน นั่นคือ pharmakon หมายถึงยาที่มีคุณสมบัติในการรักษาและมีคุณสมบัติที่เป็นยาพิษด้วย ซึ่งก็จริงทีเดียว ยาทุกชนิด ถ้าใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมก็มีอานุภาพในการรักษาและบำรุงสุขภาพ แต่ถ้าใช้ผิด นอกจากจะไม่รักษาหรือบำรุงแล้วยังทำลายสุขภาพร่างกายของเราด้วย
จะว่าไปของแทบทุกอย่างก็มีคุณสมบัติในแบบ pharmakon ทั้งสิ้น อย่างแสงแดดนี่ ก็ถือเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว ที่เขาว่าให้วิตามินดีแก่ร่างกายของเรา และยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นี้ เคยอ่านพบว่า วิธีการหนึ่งที่จะทำให้เรามีภูมิต้านทานโดยธรรมชาติ คือ ให้ร่างกายเราโดนแดดเสียบ้าง นอกเหนือไปจากการดูแลรักษาสุขภาพอื่นๆแล้ว เช่น ทานอาหารและนอนให้เพียงพอ ออกกำลัง และที่สำคัญคือ ต้องโดนแดดเสียบ้าง แต่แน่นอน โดนแดดมากไป นอกจากผิวพรรณจะเสียแล้ว จะพาลไม่สบายเป็นไข้ได้ (แต่ก็สงสัยอยู่ว่า คนที่ทำงานกลางแดดมากๆ จะทนทานต่อโควิดได้มากจริงหรือเปล่า ?!)
หนังสือหนังหา ข้อมูลข่าวสารที่ว่อนอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน มีอานุภาพสองอย่างในเวลาเดียวกัน นั่นคือ สร้างสรรค์ และ ทำลาย
เมื่อข้อมูลมันทำให้ฟุ้งซ่าน ก็ต้องมีข้อมูลมาช่วยบรรเทา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ “อุตตรกุรุ” ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์จะให้เป็น pharmakon ชนิดแก้ คล้ายเซรั่มหรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “antidote” ที่แปลว่า “ยาแก้พิษหรือถอนพิษ”
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นในสมัยนั้น ถึงทำให้พระองค์ต้องปรุงยาแก้พิษ ?
ในช่วงนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนเอเชีย เพราะจีนคืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่เก่าแก่ แม้จะมีการเปลี่ยนราชวงศ์ แต่ก็มีจักรพรรดิสืบทอดมาเป็นเวลาพันๆ ปี และเมื่อจู่ๆ สถาบันจักรพรรดิก็ล่มสลายหายไป เกิดเป็นระบอบที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งรัฐที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินนี้ มักจะเรียกกันว่าสาธารณรัฐ ซึ่งถ้าศึกษากันจริงๆ จะพบว่า การใช้คำว่าสาธารณรัฐในช่วงศตวรรษที่สิบสี่สิบห้าของยุโรปนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นรัฐที่ไม่มีกษัตริย์ปกครอง เพียงแต่ว่า จะจัดวางสัมพันธภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์กับองค์กรสถาบันทางการเมืองอื่นๆ อย่างไรเท่านั้น
ดังนั้น สาธารณรัฐที่เราเข้าใจกันอยู่ทุกวันนี้ ที่หมายถึงรัฐที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความหมายอันหลากหลายของสาธารณรัฐ ถ้าไม่เชื่อ ขอให้ไปดูคำสัมภาษณ์ ดร. บ็อบ มอร์ริส นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ University College London (หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า ยูซีแอล เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยลอนดอน เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้)
ดร. บ็อบ มอร์ริสเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือ “The Role of Monarchy in Modern Democracy” (บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่) โดยหนังสือเล่มนี้โต้แย้งความคิดนักวิชาการบางกลุ่มที่มองว่าประเทศต่าง ๆ ที่มีสถาบันกษัตริย์ รวมถึงสหราชอาณาจักร จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นสาธารณรัฐ และเขาให้ได้สัมภาษณ์กับบีบีซี ดังความที่ผมคัดมาบางตอนดังต่อไปนี้ (ขอขอบคุณบีบีซีมา ณ ทีนี้ด้วยคร้าบ)
“แม้ว่าในเชิงเทคนิค สหราชอาณาจักรปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติ เรามีลักษณะของการเป็นสาธารณรัฐเกือบทั้งหมดแล้ว มีฝ่ายบริหารที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา เรามีรัฐสภาคอยควบคุมการออกกฎหมาย และสถาบันกษัตริย์ที่ไม่มีอำนาจอิสระ ต้องทำตามที่คณะรัฐมนตรีบอก และด้วยวิธีนี้เองเราทำให้สถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยไปด้วยกันได้... สถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า สามารถไปด้วยกันได้ตราบใดที่สถาบันกษัตริย์ปฏิบัติตนดี วางตัวเป็นกลาง และไม่ไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวทางการเงิน” ด้วยเหตุนี้ ดร. มอร์ริสจึงกล่าวถึงการปกครองของประเทศของเขาว่า “เราเป็นสาธารณรัฐอยู่แล้ว”
กลับมาที่เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีนที่เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การเปลี่ยนแปลงในจีนหรือที่เรียกว่า “การปฏิวัติซิ่นไฮ่ (Xinhai Revolution) ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวสยามในเวลานั้นอย่างยิ่ง และเมื่อจีนเปลี่ยนแปลงไปเป็น “สาธารณรัฐ” หรือที่ชาวสยามสมัยนั้นเรียกทับศัพท์ว่า “รีปับลิค” (republic) คำว่า “รีปับลิค” ก็ได้กลายเป็นคำที่เป็นกระแสความคิดทางการเมืองของผู้คนชาวสยามจำนวนหนึ่ง
อันที่จริง คำว่า “รีปับลิค” นี้ปรากฏขึ้นมาก่อนเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ห้าแล้วในหนังสือชื่อ “จดหมายเหตุบางกอก” หรือ “The Bangkok Recorder” เป็นหนังสือพิมพ์ที่หมอบรัดเลย์ มิชชันนารีเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2408 ได้ลงเรื่องราวการเมืองการปกครองของประเทศตะวันตก อันได้แก่ สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส มีความตอนหนึ่งว่า
“หนังสือจดหมายเหตุที่เมืองฝรั่งเศส, มีชื่อว่าฮาวเนวแนซันแอล์, ได้กล่าวคำสรรเสิญเปรศซิเดนต์ลิงกัน (สมัยนั้น President ยังไม่มีมีคำแปลไทยว่าประธานาธิบดี ส่วนคำว่า ลิงกัน หมายถึง ประธานาธิบดีลินคอล์น/ผู้เขียน) นัก, แลได้สรรเสริญเคาเวอเมนต์ (Government หรือ การปกครอง/ผู้เขียน) ที่เมืองอเมริกาว่า, เมืองยูไนติสเตศ (United States) เปนเมืองที่ให้ฝูงราษฎร เปนฟรี (Free), คือมีอิสรภาพแก่ตัว, มากกว่าเมืองอื่นทั้งปวง, แลเปนเคาวะเมนต์ประกอบไปด้วยความเมตา, แลกำลังใหญ่กวาเมืองอื่นทั่วตลอดโลกย์. ความที่เมืองอเมริกาได้ที่สรรเสิญมากนั้น, ก็เพราะความปัญญาที่ชาวเมืองทั้งปวงได้ใช้ในการที่ตั้งเมืองมั่นคงไว้ในความลิเบอติ (Liberty), คือความอิศรภาพแก่ตัวฉนั้น. เมืองอื่นทั้งปวงที่มีกำลังภอจะปราบปรามความขบถใหญ่ให้ราบลงนั้นก็มีมาก, แต่เมืองที่ตะให้ความลิเบอติของตัวมีกำลังขึ้นเมื่อได้ความชะนะไว้แล้ว, แลที่จะได้รักษาลิเบอติ, ด้วยกฎหมายอันดีเป็นอันเข้มแข็ง , อันจะดักทำลายมิได้นั้น, เปนความลับที่ในพวกโบราณไม่มีผู้ใดรู้จัก, แลที่ชาวประเทศยูรปได้รู้แต่น้อยนัก, แลที่พีภพใหม่, คือเมืองอเมริกาได้แพร่งพรายแก่พี่ภพเก่าคือประเทศยุรบ, แลแก่ประเทศอาเซียนั้น. นี้ แลเปนที่คัดออกจากหนังสือจดหมายฝรั่งเศสนั้น. เหนที่ชาวเมืองฝรั่งเศสจะเห็นพร้อมใจกันโดยมาก. แต่เมื่อกำลังชาวอเมริการบกันอยู่นั้นเขาคิดสงไสยอยู่ว่า, เมืองอเมริกาจะเสียแก่ฆ่าศึกดอกกระมัง, ถ้าเสียแล้วก็หาควรจะสรรเสริญเคาเวอเมนต์รีปับลิ่ก (Government Republic การปกครองแบบสาธารณรัฐ) ไม่. เมื่อได้เหนรีปับลิ่ก (Republic) ได่ไชยชะนะอันรุ่งเรืองแลมีความศุขจำเริญต่อๆมานั้น, ไช่จะสรรเสิญแต่ประเทศฝรั่งเศสเมืองเดียวหามิได้, ฝ่ายประเทศยูรบทั้งสิ้นก็กลับมาสรรเสริญเหมือนกัน”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 มีชาวสยามที่ชื่อ “เทียนวรรณ” ได้เขียนเกี่ยวกับการปกครองของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส เทียนวรรณมีพื้นเพมาจากครอบครัวขุนนาง ประกอบอาชีพอิสระหลายอย่างทั้งด้านการเป็น “หมอความ” หรือบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และหนังสือสรรพความรู้ต่าง ๆ อีก ในสมัยรัชกาลที่สี่ เขาได้บอกรับเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ด้วย
ในหนังสือศิริพจนภาค เรื่อง “วิทยาภรคำกลอน” ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2450 เขาได้เขียนเป็นกลอนเกี่ยวกับการปกครองของสหรัฐอเมริกาและมีการใช้คำว่า “รีปับลิค” ด้วย ดังผมขอยกข้อความมาดังต่อไปนี้
“ที่เขตร์ขันธ์ตวันตกยกขึ้นว่า อเมริกาเหนือใต้มิใช่ย่อม พวกเดิมมีสีกายฝ่ายข้างมอม คนใหม่ย่อมขาวเปนพื้นหลายหมื่นล้าน ธรรมเนียมเขาเหล่าที่ว่าเมื่อกี้ เรียกว่าฟรีรีปับลิก (Free Republic)ไม่พลิกพล่าน ลีบอเตอร์ (Liberty) เสมอกันอะนันตกาล ยกแต่ถานรู้ดีที่ในตน เมื่อเวลาว่าการถานใด ๆ มียศในตำแหน่งแห่งนุสนธิ์ ผู้เป็นจอมประธานามหาชน แล้วแต่คนเห็นพร้อมจะยอมยิน คือผู้ใดที่ได้นับถือมาก นับฉลาดยิ่งกว่าคนเป็นต้นสิ้น ต้องรับที่ปรีไซเด็น (President) เป็นพระอินทร์ คือเป็นปิ่นธรณีสี่ปีปลาย ครบกำหนดลดเลือนไม่เชือนช้า บางทีว่าแปดปีก็มีหลาย มากกว่านี้มิได้เห็นเช่นภิปราย เขาสะบายบ้านเมืองเรืองเจริญ”
“แต่ทวีปอเมริกาเขาผาสุข ไม่มีทุกข์ทั่วแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย ได้ตั้งหน้าหาทรัพย์สำหรับกาย ทั้งหญิงชายรู้วิชาทางหากิน ไม่มีเจ้าท้าวพระยามหาอำมาตย์ ไม่มีราชเอมเปรอร์เสมอสิ้น ผู้บัญชาว่าขานการแผ่นดิน จัดให้กิจเบี้ยเลี้ยงจนเพียงพอ เขาตามใจไพร่ฟ้าสารพัด ไม่ขืนขัดในทำนองที่ร้องขอมีกำหนดลดเลื่อนไม่เชือนรอ จะเติมต่อสุดแต่พร้อมจะยอมกัน
ผู้ว่าที่ปรีไซเด็นนั้นเปนใหญ่ อธิปะไตรย (อธิปไตย) ของประเทศในเขตขันธ์ เปนสี่ปีแล้วก็เวียรผลัดเปลี่ยนกัน คนใหม่นั้นขั้นที่นั่งสั่งบัญชา ฝ่ายทหารการผะหลพลเรือน ก็มีเหมือนกันกับอย่างต่างภาษา แต่ไพร่ฟ้าฟรีมีประจักษ์ศักดินา มียศถาแต่เมื่อรับบังคับการ แต่กรุงวอชิงตธอนดอนช้างเหนือ เปนใหญ่เหลือกว่าหัวเมืองเรืองพิสาน ไม่รบพุ่งกรุงใดไม่จังธาร รักษาการแต่ในเชตร์ประเทศนั้น”
จะเห็นได้ว่า เทียนวรรณเป็นสามัญชนที่มีความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเทียบมาตรฐานของคนสมัยนั้นหรือสมัยนี้ก็ตาม และมีความชื่นชมรูปแบบการปกครองที่ไม่พระมหากษัตริย์ของสหรัฐอเมริกาที่เขาเรียกว่าเป็น “ฟรีรีปับลิค” (Free Republic) เสียหยดย้อย
น่าสงสัยว่าทั้ง “รีปับคลิก” ในข้อเขียนของหมอบรัดเลย์ และในงานของเทียนวรรณในปี พ.ศ. 2450 มีส่วนที่เป็นอิทธิพลแรงจูงใจสำคัญในการพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลุ่มนายทหารหนุ่มจำนวนหนึ่งในปี พ.ศ. 2455 หรือไม่ ? เพราะช่วงเวลาที่ข้อเขียนของเทียนวรรณเผยแพร่สู่สาธารณะห่างจาก “กบฏ ร.ศ. 130” เพียงห้าปีเท่านั้น และความต้องการให้เกิด “รีปับลิค” ในสยามนั้นถือเป็นความฝันเฟื่องถึงเมืองฝัน (ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Utopia) อย่างไร ? ถึงขนาดนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงพระราชนิพนธ์ “อุตตกุรุ” ให้เป็น pharmakon มาถอนพิษ Utopia !
คงต้องวิเคราะห์กันต่อไปในตอนหน้า
(ในการเขียนครั้งนี้ ผมอาศัยข้อมูลจาก “ความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทยจนถึง พ.ศ. 2475: การก่อรูป, การประชันความหมายและการผสมผสาน” ของ ผศ. ดร. เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ในระดับดีมาก หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2561)