ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นาทีนี้สปอตไลท์คนไทยหนีไม่พ้นเรื่องราวของ “ลุงๆ”
คนหนึ่ง “ลุงพล” ไชย์พล วิภา ผู้ต้องสงสัยในคดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ อายุ 3 ปี หลานสาวของตัวเอง บนภูเขาหินเหล็กไฟ ที่กว่า 1 ปีที่ผ่านมา “ลุงพล” และภรรยา “ป้าแต๋น” ชีวิตพลิกผันกลายเป็น “เซเลบริตี้” มีบางสำนักข่าวเกาะติดนำเสนอข่าวที่บ้านต่อเนื่องแบบวันต่อวัน จนมีฐานแฟนคลับ “ลุงพลป้าแต๋นแฟมิลี่” และมีเหล่ายูทูบเบอร์คอยเข้าไปไลฟ์สดติดตามการใช้ชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง
ไม่เท่านั้นยังมีการมีการจัดทัวร์ท่องเที่ยว พบปะถ่ายรูปบ้าน “ลุงพล” ชมภูเขาจุดที่พบศพน้องชมพู่ แล้วยังมีคนทาบทาม “ลุงพล” เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า ถ่ายแบบ รีวิวรถกะบะ หรือเล่นภาพยนตร์ “บ้านกกกอก เดอะซีรีส์” อีกด้วย
ความโด่งดังของ “ลุงพล” สะท้อนได้จากการที่ได้ขึ้นร้องเพลงกับนักร้องชื่อดัง “จินตรา พูนลาภ” และร่วมถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงดังด้วยกัน เรียกว่า “นักร้องลูกทุ่งแถวหน้า” ยังมาเกาะกระแส
ทว่ าความโด่งดังของ “ลุงพล” ก็คู่ขนานไปกับ “วิบากกรรม” ทั้งสถานะผู้ต้องสงสัยฆ่าน้องชมพู่ที่ยังสลัดไม่พ้น แม้จะเข้าให้ปากคำหลายต่อหลายครั้ง หรือเข้าเครื่องจับเท็จ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้วก็ตาม รวมถึงมีคดีอื่นๆ ที่ตามมาจากความดัง ทั้งกรณีการครอบครองไม้หวงห้าม ที่ศาลแม่ตะเคียนข้างบ้าน ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จ.มุกดาหาร แจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม และอาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนด้วย เพราะจากการตรวจสอบพบเป็น “ไม้มะค่าแต้” แต่กลับป่าวประกาศว่าเป็น “ไม้ตะเคียน” ตลอดจนการกระทบกระทั่งกับนักข่าวจนเกิดกระแสดรามาเป็นระยะๆด้วย
กระทั่งเวลาผ่านมา 1 ปีเศษ วันที่ 1 มิ.ย.64 ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้อนุมัติหมายจับ “ลุงพล” ในคดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” โดยเช้าวันที่ 2 มิ.ย.64 “ลุงพล” เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แต่ทางตำรวจยืนยันว่าเป็นการจับกุมตัว ก่อนนำตัวไป ลงบันทึกประวันที่ สน.ปทุมวัน และขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อไปดำเนินคดีต่อที่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร
ตามหมายจับโดยศาลจังหวัดมุกดาหาร เลขที่ จ.53/2564 มีการแจ้งจับใน 3 ข้อหา คือ 1. พรากเด็กอายุไม่เกินสิบ 5 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร โทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ปรับตั้งแต่ 6 หมื่น – 3 แสนบาท, 2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3.กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป โทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 2 ปี ปรับตั้งแต่ 1 – 4 หมื่นบาท แต่หากกระทำเพื่ออำพรางคดีต้องโทษ 2 เท่าจากที่กำหนดไว้
แม้ทางคดียังไม่ตัดสิน และต้องสู้ในชั้นศาลอีกเป็นปี แต่ในทางสังคมน่าจะถือว่าปิดตำนาน “ลุงพล” เซเลบฯสุดประหลาดคนนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
จากชะตากรรมของ “ลุงพล แห่งบ้านกกกอก” ก็มีคำถามกระหึ่มสังคมออนไลน์ต่อไปถึง “อีกลุง” เมื่อไรจะ “เกม” บ้าง
อีกลุงที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่อยู่คู่กับคนไทยมาแล้ว 7 ปีเต็ม และกำลังทะยานเขาสู่ปีที่ 8 อย่างทุลักทุเลในขณะนี้ โดยเมื่อช่วงครบรอบ 22 พ.ค.รัฐประหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 ก็ได้มีการติดเทรนด์ “7 ปีแล้วนะไอ้...” สะท้อนความไม่พอใจต่อการดำรงอยู่ของ “นายกฯตู่” ออกมา
ทั้งข้อหาเดิมการเป็นเผด็จการเข้าสู่อำนาจ โดยมีชอบ สืบทอดอำนาจ ไม่เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตย รวมไปถึงความไร้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ที่ล้มเหลวในทุกด้าน กระทั่งเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็มีการบริหารจัดการที่ผิดพลาดต่อเนื่อง ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญความเสี่ยงต่อโรคร้าย และเดือดร้อนจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ
ถึงขั้นมีการสาปแช่งให้ “รัฐบาลประยุทธ์” ต้องพังพาบไปกับอาถรรพ์ 7 ปี ตามความเชื่อด้านความรัก ที่คู่รักมักเลิกรากันช่วงปีที่ 7 หรือให้เผชิญวิบากกรรมที่ก่อไว้จากความผิดพลาดในการบริหารชาติบ้านเมือง
ดูเหมือนฝ่าย “ลุงตู่” จะไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะต่อล้อต่อเถียงออกมาด้วยแคมเปญ “ลุงตู่ 7 ปี แล้วไง?” ผ่านเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ “ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC”
โดยระบุว่า “ลุงตู่ 7 ปีแล้วไง? โดยระบุว่า โครงการที่ค้าง ทำไม่ได้ ก็ทำได้เร็วขึ้น ประชาชนได้ประโยชน์ ลุงตู่สร้าง บ้านประชารัฐ แฟลตดินแดงใหม่ ไฉไลกว่าเดิม เมืองและคุณภาพชีวิต พัฒนาคลอง ชุมชนเมือง เพื่อประโยชน์ของประชาชน การเดินทางทางน้ำ เรือไฟฟ้าฝีมือคนไทย พัฒนาปรับปรุงท่าเรือ พัฒนาสนามบินภูมิภาค เตรียมเปิดสนามบินเบตง โครงการระบบราง รถไฟฟ้า 9 สายของประเทศไทย สถานีกลางบางซื่อ”
พร้อมด้วยภาพประกอบ “ลุงตู่” กับโครงการที่ไล่เรียงไป และวรรคทองในวาระต่างๆ โดยมีแฮกแทคอันหนึ่งที่บอกว่า “7 ปีลุงตู่รู้แล้วต้องอึ้ง”
ก็ต้องบอกว่า “อึ้ง” กันจริง” เพราะไม่เพียงผลงานที่โอ้อวดออกมาจะไม่ปังแล้ว แคมเปญ “ลุงตู่ 7 ปี แล้วไง?” ที่ออกฟังดูไม่รื่นหู ในอารมณ์วัยรุ่นพร้อมปะทะ
ที่สำคัญคือ ถูกตีความไปอีกต่างหากว่า การออกแคมเปญดังกล่าวส่อให้เห็นความปรารถนาที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปอย่างชัดแจ้ง ส่วนจะอีกกี่ปี จะยุบสภาเมื่อไหร่ หรือจะอยู่ครบวาระหรือไม่ คงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปว่า จะพัฒนาไปทิศทางไหน
แน่นอน ผลงานที่โปรโมทออกมานั้น ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ต้อง “ดีกว่านี้” หากเทียบอายุรัฐบาล ที่อยู่นาน ได้ทำงานต่อเนื่อง และยังมีอำนาจ “ลุงตู่” อย่างล้นมือ ก็ต้องถือว่า “ไม่ขาย” หลายเรื่องก็ “ขี้หมู-ขี้หมา” หรืออีกหลายเรื่องก็ประเภท “ขี่ช้างจับตั๊กแตน”
ยิ่งไปเปรียบเทียบกับผลงานที่ล้มเหลว ก็ยิ่งต่างฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
จังหวะเดียวกับที่รัฐบาลกำลังถูกเสียบประจาน ถึงความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง บนเวทีสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท โดยฝ่ายค้านพุ่งเป้าโจมตีการจัดงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และขาดความเข้าใจในการบริหารประเทศ
โดนขยี้หนักไปที่ “แผลเรื้อรัง” อย่างการก่อหนี้สาธารณะ ที่บัดนี้พุ่งไปอยู่ที่ 8.47 ล้านล้านบาท ราว 58.56% ของจีดีพี ปริ่มๆใกล้ล้นเพดานกรอบวินัยการเงิน-การคลังที่กำหนดไว้ที่ 60% รอมร่อ
ตามข้อมูลว่าเฉพาะการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีตลอด 8 ปีที่ผ่านมา มีการกู้เงินเพื่อ “ชดเชยการขาดดุล” งบประมาณ เนื่องจาก “รายจ่ายสูงกว่ารายได้” รวมทั้งสิ้น 3.808 ล้านล้านบาท โดยแต่ละปีมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ดังนี้ ปี 2558 จำนวน 2.5 แสนล้านบาท, ปี 2559 และปี 2560 ปีละ 3.9 แสนล้านบาท, ปี 2561 และปี 2562 จำนวน 4.5 แสนล้านบาท, ปี 2563 จำนวน 5.7 แสนล้านบาท, ปี 2564 จำนวน 6.08 แสนล้านบาท และล่าสุดปี 2565 ที่เป็นการทำงบประมาณถดถอยยอดรวมงบประมาณลดลง แต่ต้องกู้อีกจำนวน 7 แสนล้านบาท
รวมกับการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีก 2 ครั้ง รวมวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท
จากตัวเลขการกู้เงินถึง 5.6 ล้านล้านบาท ในรอบ 7 ปี ส่งให้ “ประยุทธ์” ครองตำแหน่งเจ้าของสถิติกู้เงินมากที่สุดแบบทิ้งคนอื่นไม่เห็นฝุ่น ตามสมญา “นักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ที่ฝ่ายค้านตั้งให้
เมื่อถูกจี้ใจดำมากเข้า “บิ๊กตู่” ก็งัด “ท่าไม้ตาย” ออกมากลางสภาตอนหนึ่งว่า “ผมใช้หนี้จำนำข้าวไปเท่าไหร่ ไม่อยากจะย้อนกลับ แต่ใช้หนี้ไปแล้ว 7 แสน 5 พันล้านบาท เหลือภาระหนี้อีก 2.8 แสนล้านบาท ต้องใช้อีก 12 ปีถึงจะหมด”
เปิดช่องให้ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอยู่ที่ต่างประเทศ และเจ้าของโครงการจำนำข้าว ออกมาฟาดออนไลน์จากแดนไกลทันทีว่า “วันนี้ดิฉันไม่ได้บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว คุณประยุทธ์หัดโทษตัวบ้างเถอะค่ะ อย่าโทษแต่ดิฉันเลย ดิฉันฟังมา 7 ปีแล้ว สุภาพบุรุษ ชายชาติทหารเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกค่ะ”
ก่อนหน้านั้น “อ้ายษิณ” ทักษิณ ชินวัตร ต้นตำรับอดีตนายกฯหนีคดี “ขิงใส่” ว่า ขอเวลาเพียง 6 เดือนในการนำเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นกลับมา ก็ทำเอา “บิ๊กตู่” ไปไม่เป็น แก้เกี้ยวเพียงว่า “ก็กลับมาดิ”
ไม่เท่านั้นยังถูกขยี้ “แผลสด” การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 รวมไปถึงการกระจายวัคซีนที่ดูจะติดกึกติดกัก ทั้งที่ “รวบอำนาจ” ไว้ที่ตัวเองแทบหมด
เรียกว่า ชั่วโมงนี้เทรนด์ด่ารัฐบาลกำลังมาแรง ใครออกมาแช่งชักหักกระดูกก็ถูกอกถูกใจประชาชนไปหมด ยิ่งยี่ห้อ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” มีหรือจะไม่ผสมโรง ต้องออกมาพ่นหาคะแนนความนิยมเข้าตัว จุดประสงค์ใครๆ ก็รู้ว่า “สองศรีพี่น้อง” ก็แค่หาจังหวะกระโดดเกาะกระแส เพื่อหวังกอบกู้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย
หากเป็นการลงทุน การด่า “บิ๊กตู่” นาทีนี้คือ นาทีทองที่ฟันกำไรเหนาะๆ
แต่ใครจะด่าทอสาดเสียเทเสียอย่างไร หากคิดได้ดั่งภาษาพระว่า “สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ” ก็ไม่เกี่ยวกับความเป็นไปของ “รัฐบาลประยุทธ์” ที่ชะตาฟ้าลิขิตได้ด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะในเมื่อเกมการเมืองอยู่ในมือทั้งหมด รัฐธรรมนูญที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา ส.ว. 250 เสียงก็ยังอยู่ เลือกตั้งนาทีนี้ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ก็ดูยังมีความพร้อมมากที่สุด
ก่อนจะถึงตรงนั้น รัฐบาลเองต้องเอาตัวรอดจากอาถรรพ์ 7 ปีไปให้ก่อน ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ เพราะตั้งแต่เข้าปี 2564 มา ซึ่งเป็นขวบปีที่ 7 ของ “ประยุทธ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรีจากรัฐบาลทหาร และรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นต้นมา อยู่ในอาการพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกมาโดยตลอด
เจอปัญหารุมเร้าแบบมวยเมาหมัด ยังไม่ทันลุกจากปัญหาเดิมต้องเจอเสยปลายคางต่อ พอจะแก้เรื่องนี้พ้น เรื่องอื่นมาพันทันที แบบความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
เฉพาะแค่ปัญหาโควิด-19 ระลอกที่สามในเดือน เม.ย. “บิ๊กตู่” ต้องเสียทรง แต้มติดลบที่สุดตั้งแต่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมา การแก้ปัญหาเหมือนลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งเละ
หยิบจับอะไรเป็นเรื่องหมด ไม่มีวันไหนราบรื่น แก้จุดนี้ ไปกระทบจุดนั้น ครั้นหันกลับไปใช้ความเคยชินสมัยเป็น “รัฐบาลทหาร” รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็เจอพิษ “พรรคร่วมรัฐบาล” ไม่พอใจ
จะบอกว่า โดดเดี่ยว ไม่มีใครจริงใจ มันก็ไม่จริงไปเสียหมด เพราะถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า “บิ๊กตู่” เองก็เหมือนทำตัวเองให้เคว้งคว้าง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่ไม่รักษาน้ำใจเพื่อน ลำพังริบอำนาจรัฐมนตรีมาไว้กับตัวไม่เท่าไร แต่ไม่แต่งตั้งใครไปช่วยงานเลย เลือกแต่พวกพ้องคนใกล้ตัว เหมือนไม่เห็นหัวพรรคร่วมรัฐบาล
สะท้อนว่า “เรือเหล็ก” ของ “กัปตันตู่” จะไปรอดหรือไม่รอด ก็อยู่ที่ “อีโก้” ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปของ “ประยุทธ์” เอง ที่เน้นการทำงานแบบ “ซิงเกิลคอมมานด์” หรือ “วันแมนโชว์” เหมือนเมื่อคราวรัฐบาล คสช. ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ก็พิสูจน์แล้วว่า ผิดพลาด ตีโจทย์ผิดใช้ “ฝ่ายความมั่นคง” นำ “ฝ่ายสาธารณสุข” ทั้งที่เป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ จนสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น
หรือความหาญกล้าเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ทั้งที่ไร้ความรู้ความเข้าใจ ไม่มอบหมายให้ “มืออาชีพ” เป็นผู้นำทีม
ตลอดจนเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ ไม่ใช้ความเด็ดขาดที่เคยเป็นขุดขายในการจัดการ เอาแค่ผลพวงจากโควิดที่ประจาน “ช่องโหว่” ของรัฐบาล เพราะ จุดเริ่มของการแพร่ระบาดล้วนมีที่มาจากการปล่อยปละหละหลวมของรัฐ ตั้งแต่กรณี “สมุทรสาคร” แรงงานต่างด้าวเถื่อน หรือจนบัดนี้ที่ยังมีข่าวแรงงานเถื่อนอยู่เป็นระยะ หรือแหล่งแพร่เชื้อ “บ่อนระยอง-บ่อน กทม.” รวมไปถึง “ผับเถื่อนกลางกรุง” ที่กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ ระบาดลุกลามจนงอมพระรามไปทั้งประเทศ
เป็น “ใบเสร็จ” ที่ฟ้องว่า เพราะ “ขบวนการค้ามนุษย์-แรงงานเถื่อน-ส่วยอบายมุข” ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐจนถึงระดับ “บิ๊กๆ” เข้าไปเอี่ยว
แปรวิกฤตเป็นโอกาส จัดการกับขบวนการเหล่านี้อย่างเด็ดขาด เป็นหนทางกู้ศรัทธา และน่าจะเป็นงานถนัดของ “บิ๊กตู่” และฝ่ายความมั่นคงมากกว่า ส่วนแนวรบโควิด-19 ปล่อยให้ “มืออาชีพ” จัดการไป
แค่ปรับวิธีคิด ลดทิฐิ ไม่ต้องเก่ง-ไม่ต้องเด่นคนเดียว “ใช้คนให้ถูกกับงาน” (Put the right man on the right job) ส่วนตัว “ลุงตู่” ก็ยกตัวเองขึ้นมาแสดง “ภาวะผู้นำ” ในการบริหารจัดการ เพราะทุกผลงานที่ออกมาก็กลับมาที่ตัว “ผู้นำรัฐบาล” อยู่แล้ว
และจะเป็นผลงานที่ฟาดหน้า “ฝายตรงข้าม” ได้เต็มที่ ไม่ต้องไปเค้น “กระพี้” มาออกเป็นแคมเปญ “ลุงตู่ 7 ปี แล้วไง?” เหมือนไปท้าตีท้าต่อยอย่างที่ทำล่าสุด
นี่ไม่นับรวมถึงสารพัด “การปฏิรูป” ที่ว่ากันตามตรง ยังนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำเรื่องอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วบ้าง ยิ่ง “การปฏิรูปตำรวจ” ที่สังคมต้องการเห็นเป็นลำดับต้นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เดชะบุญวัคซีนโควิด-19 จากแอสตร้าเซเนก้า “มาตามนัด” ไม่เช่นนั้น สภาพของรัฐบาลลุงจะยิ่งเลวร้ายกว่าที่เห็นและเป็นอยู่อีกหลายเท่า เพราะเห็นชัดๆ ว่า การเลือก “แทงม้าตัวเดียว” เป็นนโยบายที่ผิดพลาด
เอาเป็นว่า นับจากวินาทีเป็นต้นไป...จะอยู่หรือจะไปก็ขึ้นอยู่กับ “ฝีมือลุง” เป็นสำคัญ เพราะต้องยอมรับว่า สภาวะเศรษฐกิจซ้ำเติมด้วยการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสจริงๆ และถ้าคลี่คลายไม่ได้ ก็จะเป็นดัชนีชี้วัดว่า “รัฐบาล 3 ลุง” จะอยู่รอดได้นานแค่ไหน