xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไขปริศนาจับ “ลุงพล” เซเลบบ้านกกกอก ทำไมไม่เจอข้อหา “ฆาตกรรมน้องชมพู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากศาลมุกดาหารออกหมายจับ “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” ด้วยหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์มัดตัวแน่นเอี่ยวเหตุ “ฆาตกรรมน้องชมพู่” สิ่งที่สังคมไทยต้องตั้งคำถามนอกเหนือจาก “ลุงพล” คือ “ฆาตกร” หรือไม่? คำถามสำคัญที่ต้องกลับมาทบทวนคือ ทำไมเราให้พื้นที่กับผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคนตาย ทำไมสื่อไทยประโคมข่าวผู้ต้องหาจนกลายเป็นคนดังมีชื่อเสียงเงินทอง

และทำไม “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งลุยปฏิบัติการ “ฟ้าสางกลางกกกอก” คลี่คลายคดีห้วงเวลาเดียวกับศึกอภิปรายงบประมาณ ปี 2565 จนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่ามีนัยยะซ่อนเร้นต้องการกลบกระแสการเมืองหรือไม่? อย่างไร?

เพราะตามที่ทราบกันคดีฆาตกรรม “ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา” หรือ “น้องชมพู่” วัย 3 ขวบ ที่มีความเชื่อมโยงกับ “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” เกิดเหตุขึ้นมานานแรมปี นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2563 ที่เด็กหญิงหายตัวไปจากบ้านพัก บริเวณหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก่อนถูกพบเป็นศพเปลือยในวันที่ 14 พ.ค. 2563

ล่วงเวลากว่า 1 ปี จวบจนเจ้าหน้าที่รวบรวมพยายานหลักฐานและนำไปสู่การออกหมายจับ “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” โดยศาลจังหวัดมุกดาหารได้ออกหมายจับ ที่ จ 53/2564 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2564 จำนวน 3 ข้อหา ประกอบด้วย

1. พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย

3. กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า “ทำไมไม่มีการตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่ลุงพล” ซึ่งเป็นไปได้สูงใช่หรือไม่ว่าพยายานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มียังไม่เพียงพอพิสูจน์ชี้ชัดว่า “ลุงพล” คือ “ฆาตกร” เพียงแต่มีหลักฐานระบุถึงความเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กหญิงเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วการออกหมายจับแป็นแค่การเดินเกมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือกล่าวง่ายๆ คือเป็น 3 ข้อหาที่จะนำไปสู่คดีความสำคัญที่มีเป้าหมายต่อไปอีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งมีประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เป็นเพียงการลดกระแสกดดันของสังคมหรือไม่ เพราะล่วงเวลานานนับปีแต่คดีดูเหมือนไม่คืบ 




อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาหนึ่งปีกับความพยายามคลี่คลายปริศนาคดีฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 3 ขวบ ภายใต้การกำกับของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เริ่มความชัดเจนของคดีฆาตกรรมเริ่มปรากฎชัดต่อสาธารณะ

หลังจากมีความคืบหน้าสำคัญเจ้าหน้าที่พบวัตถุพยานที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดี ตรวจพิสูจน์แล้ว จำนวน 113 ชิ้น โดยเป็นหลักฐานบนที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม หรือ DNA บุคคล จำนวน 154 ตัวอย่าง ตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ ที่ในภูมิภาคอาเซียน มีในไทยและสิงคโปร์เท่านั้น ในทางสืบสวนหลักฐานสำคัญยืนยันตัวคนร้ายได้แล้ว

ตามรายงานข่าวระบุว่าหลักฐานที่เก็บได้ คือ เส้นขนที่พบอย่างน้อย 3 เส้น และเส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัด หั่นด้วยมีดขนาดเส้นละ 1 ซม. จำนวน 36 เส้น โยงชัดที่ตัวคนร้าย และแม้คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานแต่มีพยานแวดล้อม ชุดสืบสวนสอบสวนสัมภาษณ์พยานบุคคล 384 คน และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก ซึ่งคำให้การประกอบด้วยผลเครื่องจับเท็จถูกใช้เป็นหลักฐานเชื่อมโยง ประกอบกับดีเอ็นเอที่ตรวจพบมัดตัวคนร้าย รวมทั้ง ใช้การสืบสวนสอบสวนเชิงจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ มาประกอบการสืบสวน ชี้ชัดเชื่อมโยงลักษณะทางจิตวิทยา และพฤติกรรมของคนร้าย

กระทั่งนำสู่ปฏิบัติการ “ฟ้าสางกลางกกกอก” โดยพล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.สส.บก.ภ.7 ในฐานะคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายการเสียชีวิตปริศนาของน้องชมพู่ ตามคำสั่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. นำกำลังตำรวจกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธครบมือ ถือหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเลขที่ 79 หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร บ้านพักของลุงพล แต่ไม่พบตัว เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 2 มิ.ย. 2564

แต่ดูเหมือนจะมีสายข่าวแจ้งเตือนไปยัง ลุงพล พร้อมด้วยภรรยา นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น หลบหนีออกไปจากบ้านพักอย่างไรร่องรอย กระทั่งในวันเดียวกัน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความของลุงพล ออกมาเคลื่อนไหวว่าจะพาลุงพลเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)

อย่างไรก็ตาม หลังจาก “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” ปรากฎตัวบริเวณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกรวบตัวทันควัน ถูกจับกุมตามหมายจับก่อนเข้ามอบตัว นำโดย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อม พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 หนึ่งในชุดทำงานคดีน้องชมพู่ พร้อมกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง อ่านหมายจับให้ลุงพลรับทราบ ก่อนใส่กุญแจมือลุงพล ขณะนั้นลุงพลมีท่าทีฮึดฮัดพยายามขัดขืนแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายยอมให้จับกุมแต่โดยดี

จากนั้นตำรวจชุดเฉพาะกิจคดีน้องชมพู่ ได้ควบคุมตัวลุงพลไปยัง สน.ปทุมวัน เพื่อลงบันทึกการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีป้าแต๋นและทนายตั้มเข้าร่วมฟังการสอบปากคำในห้องทำงานของ พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ก่อนำตัวลุงพลไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ที่กองบินตำรวจ ถนนรามอินทรา เพื่อนำตัวเดินทางกลับไปดำเนินคดีที่ จ.มุกดาหาร โดยขั้นตอนการสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน ลุงพลไม่ได้ให้การอะไร

เฮลิคอปเตอร์จากกรุงเทพฯ มาลงจอดที่สนามจอดเฮลิคอปเตอร์ กองร้อย ตชด.234 มุกดาหาร โดยมีป้าแต๋นและทนายตั้มร่วมเดินทาง จากนั้นได้คุมตัวลุงพลไปยัง บก.ภ.จ.มุกดาหาร สอบปากคำ เบื้องต้น “ลุงพลให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา” จากนั้นตำรวจได้นำตัวลุงพลส่งดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม และพนักงานสอบสวนจะนำตัวไปส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร ในวันที่ 4 มิ.ย. 2564

อย่างไรก็ตาม ทนายตั้มให้สัมภาษณ์ว่าหลังถูกตำรวจควบคุมตัวลุงพลไม่ได้ให้การอะไรมาก ยืนยันให้การตามเดิมที่เคยให้ไปแล้ว ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทั้งนี้ มีการเตรียมหลักทรัพย์เพื่อขอยื่นประกันตัวแล้ว แต่ทางตำรวจคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวนตัว ดังนั้นลุงพลจึงต้องนอนในห้องขัง เพื่อรอดำเนินการส่งตัวฝากขังต่อศาลตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีทางทนายเตรียมพยานหลักฐานพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลุงพลผู้ต้องหาต่อไป

อย่างไรก็ดี ปริศนาคดีฆาตกรรมน้องชมพู่พิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เปิดเผยถึงการคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หลังจากเจ้าหน้าที่ทำตามพยานหลักฐานที่รวบรวมไว้แล้วไปขอหมายศาลดำเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ

“คดีนี้เหมือนคดีอื่นๆ ที่ทำมาในชีวิตบางเรื่องหลายปีแล้วยังปิดไม่ได้ก็มี ก็มีได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำได้ก็ดีใจ แต่ว่าถ้าเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลอันนี้พึ่งเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ที่แข่งมาก่อนหน้านี้รอบคัดเลือกบางทีมก็เก่งมากพอรอบสุดท้ายตกรอบก็มี บางทีสภาพไม่ดีแต่พอถึงรอบสุดท้ายอาจจะได้แชมป์ก็ได้ ทั้งนี้ ต้องสู้กันอีกหลายศาลก็ต้องว่ากันไป ตราบใดที่ยังไม่ถูกตัดสินผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องถือเป็นผู้บริสุทธิ์”

สำหรับคดีฆาตกรรมน้องชมพู่เกิดขึ้นช่วงเดือน พ.ค. 2563 หลังเป็นข่าวครึกโครมเราทุกคนได้เห็นกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่รวบรวมพยานหลักฐาน สอบสวนพยานบุคคลพยานแวดล้อม และวัตถุพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ คอยเฝ้าติดตามความคืบหน้าให้ปิดคดีฆาตกรรมโดยเร็วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า แต่แล้วจู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขออำนาจศาลออกหมายจับอย่างปัจจุบันทันด่วน จนน่าสงสัยว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ แถมข้อหาที่แจ้ง “ลุงพล” ทั้ง 3 ข้อหา ก็ไม่ใช่ “ข้อหาฆาตกรรมน้องชมพู่แต่ประการใด

ทำให้สังคมสงสัยว่าทำไมการสืบสวนสอบสวนเป็นไปอย่าล้าช้า พล.ต.อ.สุวัฒน์ ชี้แจงว่ามีศาสตร์ใหม่ๆ เข้ามาและมีการนำมาประยุกต์คลี่คลายคดี การสืบสวนก็ต้องสามารถอธิบายหลักความคิดทางวิชาการของศาสตร์นั้นๆ เป็นต้นว่าการตัดสินแบบนี้คิดแบบนี้ บนพื้นฐานของหลักวิชาการเรื่องอะไร เราก็ต้องไปหานักวิชาการมารองรับทฤษฎีหรือแนวความคิดแบบนี้ ความถูกต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ทฤษฎีโต้แย้งมีหรือไม่

กล่าวได้ว่าการคลี่คลายคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ทางเจ้าหน้าได้รวบรวมทุกอย่างทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ วัตถุพยาน พยานบุคคล พยานแวดล้อม หลักวิชาการต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ทั่วไป หลักพฤติกรรมศาสตร์ แม้กระทั่งไสยศาสตร์และความเชื่อต่างๆ รวบรวมเอามาวิเคราะห์ทั้งหมด เพื่อเสาะแสวงข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ในสังคมและนำตัวคนร้ายมาลงโทษ

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าความพิสดารของคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ปรากฎให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเป็นดาวเด่นให้มีหน้ามีตามีชื่อเสียงในสังคม มีงานมีเงินกอบโกยผลประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาหลักคดีฆาตกรรม

สื่อมวลชนบางสำนัก “หิวแสง” นำเสนอข่าวผู้ต้องหาอย่างวิปลาส ตามติดชีวิตความเป็นอยู่ลุงพลอย่างละเอียด เผยให้เห็นความยากจนข้นแค้นจนมีคนเห็นใจบริจาคเงินสร้างบ้านให้ประมาณ 3 แสนบาท รวมทั้ง มีคนซื้อเฟอร์นิเจอร์ส่งมาให้ ไม่เพียงเท่านั้นสื่อหิวแสงกรุยทางสานฝันเข้าวงการบังเทิงให้กับลุงพล

ชุบตัวผู้ต้องหาฆ่าหลานสาวโดยมีนักปั้นดาราชักชวนเข้าวงการบันเทิง ที่น่าแปลกใจมีผู้เข้าหาลุงพลโหนกระแสสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอีกจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตามลุงพลเข้าวงการเต็มตัว มีงานโฆษณา ถ่ายแบบ พรีเซ็นเตอร์สินค้า ทำช่องยูทูป รวมแสดงมิวสิควิดิโอกับนักร้องหมอลำสาวชื่อดัง

และตั้งแต่เกิดเหตุฆาตกรรมหลานสาววัย 3 ขวบ กลับกลายเป็นว่าลุงพลมีงานมีเงินมีชื่อเสียงรายได้ก้อนโต แถมยังมีเงินบริจาคเข้ามาสมทบเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าลุงพลมีแฟนคลับให้การสนับสนุนมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น มีการจัดทัวร์ท่องเที่ยวบ้านกกกอกให้กำลังใจลุงพล เยี่ยมชมภูเขาที่เป็นสถานที่พบศพน้องชมพู่ เรียกว่าช่วงแรกๆ มีคนต่างถิ่นแวะเวียนเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้านเกือบทุกวัน แถมมีโรงเรียนพานักเรียนมาทัศนศึกษาอีกด้วย

แต่ในขณะเดียว เกิดกระแสตีกลับ “แบนลุงพล” เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยทนไม่ได้กับการที่คนบางส่วนให้พื้นที่กับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม

และไม่รู้ว่าลุงพลเพราะหลงระเริงไปกับชื่อเสียงเงินทองหรือไม่ ลุงพลผู้ต้องหาซึ่งได้รับผลประโยชน์อันเนื่องมาจากคดีฆาตกรรมหลานสาว วันดีคืนดีก่อเหตุบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติดงภูพาน จ.มุกดาหาร เพื่อสร้างวังพญานาค แต่ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นเกิดเหตุการณ์ทำร้ายและข่มขู่นักข่าวหลายราย

ท้ายที่สุดแล้วการจับกุม “ลุงพล - นายไชย์พล วิภา” ตามหมายจับศาลมุกดาหาร ยังไม่ใช่จุดจบของ “คดีฆาตกรรมน้องชมพู่” เป็นเพียงการนับหนึ่งในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น เพราะว่ากันตามตรงคือ ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดมัดตัวชนิดดิ้นไม่หลุด ดังที่ “พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร" เลขาธิการเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แสดงความเห็นถึงเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การจับกุมมีหลายสิ่งผิดปกติ เพราะหลักฐานที่ใช้ขอหมายจับ ไม่มีความชัดเจนว่า ใช้หลักฐานอะไร ทั้งพยานวัตถุ พยานวิทยาศาสตร์ หรือพยานบุคคล โดยเฉพาะพยานสำคัญ เป็นเส้นผม หรือเส้นขน ที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ หากหลักฐานมีความชัดเจนจริง ทำไมไม่ตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ส่วนตัวมองว่า หลักฐานเส้นผมอาจตกหลังเกิดเหตุแล้วหรือไม่ เพราะลุงพลเดินทางไปที่เกิดเหตุ หลังพบศพด้วย และหลักฐานประเภทเส้นผม ไม่สามารถบ่งชี้อะไรได้เลย

บทสรุปข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ติดตามชมกันต่อไป.




กำลังโหลดความคิดเห็น