xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“รัฐไม่ควรแทงม้าตัวเดียว” Keyword เจ็บๆ จาก “มาดามแป้ง” ถึงนโยบายวัคซีนโควิด-19 ของ “ลุง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “สำหรับประเด็นเรื่องการแทงม้าตัวเดียว อันนี้แป้งในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรฯ แป้งคิดว่าเป็นการเอาของร้อนๆ มาลงสยามไบโอไซเอนซ์ ในขณะที่เราเป็นเพียงบริษัทเอกชนที่รับจ้างผลิต ถ้าสวมหัวใจของคนไทย สวมหัวใจของประชาชนที่รอคอยวัคซีนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด แป้งขอพูดว่า จริงๆ แล้วประชาชนน่าจะมีสิทธิเข้าถึงวัคซีนตัวเลือกตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออื่น อย่างที่ทราบตอนนี้ประเทศไทยมีการสั่งซื้อซิโนแวคกับแอสตร้าเซเนก้า แน่นอนเพิ่งมีซิโนฟาร์มที่ดำเนินการผ่านราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แล้วต่อไป แป้งคิดว่า ในการที่มีเรื่องนี้ขึ้นมา อันนี้พูดแทนหัวใจของประชาชนไทยว่า คุณต้องเลิกคำว่าแทงม้าตัวเดียว เพราะจริงๆ คุณไม่ควรแทงม้าตัวเดียว คุณควรจะเปิดทางเลือกวัคซีนให้ประชาชนที่มีสิทธิที่อยากจะใช้วัคซีนในความที่แตกต่างกัน แล้ววัคซีนเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน หนึ่ง อยากฉีดหรือไม่อยากฉีด กับสอง คุณมีวัคซีนที่พิสูจน์ทราบโดย WHO หลายตัวแล้ว ประชาชนคนไทยควรมีวัคซีนทางเลือกหลายยี่ห้อ”

นี่คือ Keyword ที่น่าสนใจยิ่งอันมาจากคำให้สัมภาษณ์ของ “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด หลังส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ผลิตออกมาจากโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์ให้รัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ด้วยสะท้อนปัญหาในการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้อย่างหมดเปลือกกันเลยทีเดียว

ต้องไม่ลืมว่า “มาดามแป้ง” นั้น สวมหมวกพนักงานของสยามไบโอไซเอนซ์ และถ้าหากรัฐบาลลุงจะ “แทงม้าตัวเดียว” ด้วยการสั่งซื้อเฉพาะวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้า โดยไม่เหลียวแลวัคซีนยี่ห้ออื่น สยามไบโอไซเอนซ์ก็ย่อมที่จะได้รับประโยชน์มากมายมหาศาล แต่การที่ “มาดามแป้ง” สื่อสารออกมาเช่นนี้ ย่อมต้องอัดอั้นตันใจอย่างถึงที่สุด เพราะที่ผ่านมา กระแสโจมตีพุ่งเป้าไปที่สยามไบโอไซม์หนักหน่วง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของทางบริษัทแต่อย่างใด

ถามว่า แนวความคิดที่ “มาดามแป้ง” พูดออกมานั้น แทน “หัวใจของประชาชนคนไทย” ได้หรือไม่

ก็ต้องตอบว่าได้ เพราะไม่มีใครเข้าใจว่า ทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ถึง “ไม่แทงม้าหลายตัว” ซึ่งแม้ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใจได้

จริงอยู่ แม้การเลือก “แทงม้าตัวเดียว” ได้แลกมาซึ่งการมีโรงงานผลิตวัคซีนในประเทศไทยและสามารถสร้างความมั่นคงให้กับชาติได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากมองแบบ “ป่าทั้งป่า” ตามวิสัยที่ผู้นำพึงมี ย่อมต้องคำนวณถึงความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังคำกล่าว “คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต” และเหตุการณ์การการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 ก็เป็นไปเช่นนั้นจริง ซึ่งเมื่อเลือก “แทงม้าตัวเดียว” ทำให้ทั้งประเทศชาติและประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะมี “วัคซีนหลายชนิด” เป็นตัวเลือกในการป้องกันโรค

ที่สำคัญคือ เมื่อตัดสินใจพลาด ทำให้กระบวนการฉีดวัคซีนเพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีความชัดเจนว่า แอสตร้าเซเนก้าจะส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยได้ตามกำหนด ทุกอย่างแลดู “อึมครึม” เกิดกระแสข่าวลือ เกิดเฟกนิวส์แพร่สะบัดไปต่างๆ นานา เช่น โรงงานผลิตซึ่งก็คือสยามไบโอไซเอนซีปัญหา และรัฐบาลก็ไม่สามารถทำให้ความจริงเป็นประจักษ์ได้ว่าตกลงแล้ว แอสตร้าเซเนก้าจะส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยได้หรือไม่

ยิ่งเมื่อมีข่าวจาก “ฟิลิปปินส์” ว่า แอสตร้าเซเนก้าไม่สามารถส่งมอบวัคซีนจากโรงงานในประเทศไทยได้ตามกำหนดก็ยิ่งสับสนอลหม่านไปหมด โดย “โจอี้ คอนเซปชัน” ที่ปรึกษาประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานะผู้ประสานงานการจัดซื้อวัคซีนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนของฟิลิปปินส์กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แจ้งว่า การส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตแรกจำนวน 1.3 ล้านโดส ต้องถูกเลื่อนไปจากสัปดาห์แรกของเดือน มิ.ย. ไปเป็นกลางเดือน ก.ค.2564 และต้องถูกลดจำนวนลงเหลือ 1.17 ล้านโดส ส่วนล็อตที่สอง จำนวน 1.3 ล้านโดส จะถูกลดจำนวนลงเป็น 1.17 ล้านโดส และเลื่อนออกไปจากเดือน ก.ค. ไปเป็นเดือน ส.ค. อีกด้วย

แน่นอน เป้าตกไปอยู่ที่สยามไปโบไซเอนซ์ในทันที

ในเบื้องแรก “นพ.นคร เปรมศรี” ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ อธิบายถึงกรณีดังกล่าวว่า การที่ฟิลิปปินส์จะได้รับล่าช้า ก็เป็นการรับล่าช้าจากแอสตร้าเซนเนก้า ไม่ใช่จากสยามไบโอไซเอนซ์ เพราะบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจะเป็นผู้จัดสรรว่าจะส่งมอบวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานใดให้ประเทศที่สั่งซื้อเข้ามา ดังนั้นการส่งวัคซีนล่าช้า “คงเป็นเรื่องระหว่างแอสตร้าฯ กับรัฐบาลประเทศนั้น ๆ”

จากนั้นในอีกไม่กี่วันต่อมาก็มีความชัดเจน เมื่อ “พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล” ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และ “นายเจมส์ ทีก” ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวการส่งมอบวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยล็อตแรกให้กับกระทรวงสาธารณสุข และยืนยันว่าจะเริ่มส่งออกวัคซีนโควิด-19 ให้กับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

ส่วนประเด็นที่หลายคนสงสัยเรื่องที่รัฐบาลให้ทุนพัฒนาศักยภาพกับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำนวน 600 ล้านบาท นั้น นางนวลพรรล กล่าวว่า สยามไบโอไซเอนซ์ได้ระบุในสัญญาว่าจะคืนเงิน 600 ล้านบาท ให้กับรัฐบาล โดยเมื่อครบรอบการผลิตแล้วจะใช้คืนโดยการซื้อวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่มีมูลค่า 600 ล้านบาทคืนรัฐบาล

อนึ่ง กรณีเงินทุนสนับสนุน 600 ล้านบาทนั้น มีรายงานข่าวระบุว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี ครม. เมื่อ 25 ส.ค. 2563 มีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,000,000,000 บาท ในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อให้การสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด 19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ

กล่าวสำหรับแผนการฉีดวัคซีนนั้น “นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร” รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงรายละเอียดการกระจายวัคซีนว่า การฉีดให้กับคนไทยกลุ่มใหญ่ทจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ โดยวัคซีนโควิดจำนวนกว่า 2 ล้านโดสได้ถูกกระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศทั้งยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ซึ่งคาดว่าทั้งตลอดเดือนนี้จะสามารถกระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆได้ 5-6 ล้านโดส ส่วนแต่ละจังหวัดจะได้วัคซีนมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระบาดในแต่ละพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ จะได้วัคซีนในสัดส่วนที่สูงกว่าที่สูงกว่าจังหวัดอื่นทั้งด้วยประชากรและสถานการณ์การระบาด โดยจะได้วัคซีนจำนวนเกือบ 1 ล้านโดส ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค โดยจะมีการส่งมอบสำหรับฉีดสองสัปดาห์แรกประมาณกว่า 5 แสนโดส

ด้านยี่ห้อวัคซีนที่แต่ะละคนจะได้รับนั้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่าคนที่จองผ่านระบบหมอพร้อมจะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และสาธารณสุขด้วย

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ที่เริ่มต้นในวันที่ 7 มิ.ย. นี้ จะเป็นกลุ่มที่ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่มีโรคประจำตัวหรือกลุ่มเสี่ยง 7 โรค ตามฐานข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขระบุก่อนหน้านี้มี 16 ล้านคน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าลงทะเบียนฉีดกี่คน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้อาศัยใน กทม. ที่ลงทะเบียนนัดฉีดแล้ว 2 ล้านคน (ข้อมูล 1 มิ.ย.)

ดังนั้น นับจากนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สัญญาซื้อขายและการส่งมอลวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าระหว่างรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์และบริษัท แอสตร้าเซเนก้าฯ จะดำเนินสอดรับกับแผนการฉีดวัคซีนที่วางไว้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ เวลานี้ คนไทย “พร้อม” สำหรับการฉีดวัคซีนกันแทบจะทั้งประเทศแล้ว.




กำลังโหลดความคิดเห็น