ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โดนกันไปหลายตุ๊บ แล้วยังเจอพิษโควิด-19 ทำเอากระแส “ม็อบสมัครเล่น” อย่างคณะราษฎร 2563 หรือ “ม็อบสามนิ้ว” ต้องสะดุด อีเว้นท์ระดมมวลชนปิดถนนโหวกเหวกเหมือนเมื่อปีกลายทำได้ไม่ถนัดถนี่
สมรภูมิ “ออนไลน์” ที่เคยยึดหัวหาดไว้ได้ ก็เริ่ม “ตกเทรนด์” ด้วยผู้คนต่างกันไปสนใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสมรณะโควิด-19 มากกว่า
อีกทั้ง “หัวโจก” หลายคนยังอยู่ในอาการ “คางเหลือง” ทั้งคดีความร้ายแรงที่โดนกันเป็นหางว่าวอีก ที่มีเงื่อนไขสำคัญค้ำคอห้ามเคลื่อนไหวให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็น “ธงนำ” ที่ชูกันมาตลอด แล้วยังมีพวกที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ติดเชื้อโควิด-19 กันอีก
หลายสำนักจับยามสามตาล่วงหน้า ว่าปี 2564 คงเป็นช่วง “ขาลง” ของ “ม็อบสามนิ้ว” หลังขึ้นปรูดปร๊าดมาแรงช่วงปี 2562-63 ที่ผ่านมา จากนี้ก็รอวันรูดม่านปิดฉาก เหลือเรื่องเล่าไว้เป็นตำนานเท่านั้น
ในขณะที่ “ม็อบสมัครเล่น” ใกล้อวสาน ก็มีความเคลื่อนไหวของ “มืออาชีพ” สวนทางขึ้นมา
ทั้งกลุ่ม “ไทยไม่ทน” ที่มีม็อตโต้ว่า “สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” นำโดย “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรืออดีตคนเสื้อแดงตัวพ่อ ที่ออก “เอ็กเซอร์ไซต์” จัดม็อบปักหลัก ที่สวนสันติพร ที่ตั้งของอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ไปแล้วรอบหนึ่ง ภายใต้รหัส “4/4/4” ถือฤกษ์วันที่ 4 เดือน 4 เวลา 4 โมงเย็น คิกออฟ แต่เจอโควิด ระลอก 3 จนม้วนเสื่อเก็บเวทีกลับบ้านแทบไม่ทัน
หรือล่าสุดก็มีกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) นำโดย “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และอดีตแกนนำพันธมิตร ที่เคยสร้างชื่อมากับ “เวทีอุรุพงษ์” สายฮาร์ดคอร์ของ “ม็อบนกหวีด” กลุ่ม กปปส. ครั้งขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
น่าสนใจไม่น้อยว่า เพดานของ “ก๊วนไทยไม่ทน - ก๊วนนกเขา” อยู่ในระนาบเดียวกัย คือ ขับไล่ และกดดันให้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสียสละโดยการลาออก ในยาม “วิกฤตศรัทธา” ของรัฐบาล
มองได้ว่าเป็นการดึงเพดานของ “ม็อบสามนิ้ว” ลงมาใน “จุดที่ควร”
เน้นย้ำภาพของ “จตุพร” ในเครื่องแบบ “จิตอาสาพระราชทาน” ส่วน “ทนายนกเขา” ก็เคยออกมายืนชูป้ายขวางขบวนผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร ที่กำลังเดินจากอนุสาวรีย์ชัยฯไปยังทำเนียบฯ โดยบนป้ายระบุว่า “ละเมิดสถาบันฯห้ามผ่าน” รวมทั้งเคยไปยื่นหนังสือต่อเอกอัครราชทูตสหพันธรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงสถานการณ์เรื่องการเมืองไทยและประเด็นสถาบันฯ ก่อนที่ “ม็อบสามนิ้ว” จะไปยื่นหนังสือในเวลาไล่เลี่ยกัน
ไม่เท่านั้นยังมีการ “ถอดรหัส” ด้วยว่า “จตุพร-นิติธร” หล่นถ้อยคำในทำนองเดียวกันออกมาว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์” ปล่อยให้เกิดความแตกแยกระหว่างประชาชนกับ “สถาบัน” มากที่สุด หากประยุทธ์ ไม่สามารถปกป้องสถาบันได้ ก็ไม่ควรจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป
จึงดูเหมือนทั้ง “จตุพร-นิติธร” จะมี “จุดร่วม” ที่ไม่ต่างกัน
และยังมีการพิเคราะห์กันว่าทั้ง “ก๊วนไทยไม่ทน - ก๊วนนกเขา” ล้วนแล้วแล้วแต่เป็น “คนกันเอง” รู้จักมักคุ้นกันมาอย่างยาวนานทั้งนั้น แม้บางช่วงบางตอนจะอยู่กัน “คนละขั้ว” ก็ตาม
นักแสดงนำที่มีการพูดถึงหนีไม่พ้น “ตู่-จตุพร” ที่แม้วันนี้ยังสวมหมวก “ประธาน นปช.” อยู่ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า กลายเป็น “เส้นขนาน” และคุยคนละภาษากับ นปช.คนเสื้อแดงเดิม ที่วันนี้ยังมี “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - “จารย์ธิดา” ธิดา ถาวรเศรษฐ เป็นแกนหลัก
ถึงขนาดมีการพูดในกลุ่ม นปช.เดิมว่า “ตู่เปลี่ยนไป” ตั้งแต่หลังจากที่ “จตุพร” พ้นโทษออกมาเรือนจำ
การตั้งกลุ่มไทยไม่ทน ของ “ตู่-จตุพร” ก็ประกาศไว้ว่า จะผนึกแนวร่วม “ทุกสีเสื้อ” ทั้ง “เสื้อแดง” กลุ่ม นปช., “เสื้อเหลือง” กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), “นกหวีด” กลุ่ม กปปส. และกลุ่มญาติวีรชนพฤษภา 35
โดยมี อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เจ้าของร้านอาหารย่านสามเสน ที่เป็นศูนย์รวม “คนการเมือง” ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานกลุ่มต่างๆ
หลังจากที่ไม่สามารถจัดการชุมนุมได้ตามที่ตั้งไว้ กลุ่มไทยไม่ทนก็ได้ปรับรูปแบบเป็นการ “ปราศัยออนไลน์” ชำแหละรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แบบถี่ยิบ ใช้ สถานี Peace TV ย่านรามอินทรา 40 เป็น “ฐานที่มั่น”
ที่ผ่านมา “บุคคลมีชื่อ” มาร่วมอย่างหากหลาย ทั้ง จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย, วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน, ไพศาล พืชมงคล เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน อดีตที่ปรึกษา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของรัฐบาล, ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง, กษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง, ประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.), สาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.), ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), “แม่น้องเกด” พะเยา อัคฮาด ญาติผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภาคม 2553, การุณ ใสงาม อดีต ส.ว.บุรีรัมย์ และ สมบูรณ์ ทองบุราณ อดีต ส.ว.ยโสธร แห่งกลุ่ม 40 ส.ว., ไทกร พลสุวรรณ แนวร่วมอีสานกู้ชาติ
ไม่เท่านั้นยังมีนักการเมืองที่อยู่ในระบบ มีตำแหน่งในขณะนี้เข้าร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธารวิปฝ่ายค้าน, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล, พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. พรรคไทยศิวิไลย์ เป็นอาทิ
กระทั่ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ โภคิน พลกุล แห่งพรรคไทยสร้างไทย ก็ยังมาร่วมด้วย
เรียกได้ว่า นับวันยิ่งจะเป็นการรวมตัวของ “เบอร์ใหญ่” มากขึ้นเรื่อยๆ เป็น “นัย” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
ในขณะที่ กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) ของ “ทนายนกเขา” แม้มาทีหลัง แต่ดูจะเปรี้ยงปร้างไม่แพ้กัน โดยรูปแบบยังเน้นไปที่การแถลงข่าวให้ พล.อ.ประยุทธ์ เสียสละลาออก ส่วน “แนวร่วม” ที่ฉากหน้าอาจมีเพียง “ทนายนกเขา”, “เดอะตั้ม” พิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำ คปท. และ ปรีดา เตียสุวรรณ์ เจ้าของกิจการจิลเวอรีชื่อดัง เท่านั้น
แต่ “หลังม่าน” ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา”
ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยของ “เสี่ยปรีดา” ที่เคยมีบทบาทสำคัญทางการเมืองมาตลอด ทั้งในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือการเป็นแกนนำ “กลุ่มเพื่อนอานันท์” จากความเป็นเพื่อนกับ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ 2 สมัย
ขณะที่ “ตั้ม-พิชิต” ก็รู้กันในวงการว่าเป็น “น้องเลิฟ” ของ “ยะใส” สุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปัจจุบันเป็น คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มี อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา เป็นเจ้าของ
อีกทั้ง “ยะใส” ก็ยังเป็น “ศิษย์ก้นกุฏิ” ของ “อาจารย์เปี๊ยก” พิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ที่มีข่าวเนืองๆว่าจะไปร่วมกลุ่มไทยไม่ทน แต่ก็ยังไม่ปรากฎตัว
เมื่อตัวละครทั้งหน้าม่าน-หลังม่าน ผุดออกเช่นนี้ หลายคนก็นึกย้อนไปถึงฉาก “วงข้าวสมานฉันท์” ที่เมื่อปี 2563 เคยเป็นดรามาในหมุ่คนการเมือง ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
เป็นภาพงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิด 72 ปี ของ ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว. ที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซค์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2563 ที่มี อานันท์ ปันยารชุน, พิภพ ธงไชย, สุริยะใส กตะศิลา และจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมวงอยู่ด้วยกัน โดยมี “เสี่ยปรีดา” เป็นเจ้าภาพมื้อนั้น
จากวงข้าวในวันนั้น จึงถูกเชื่อมโยงว่า เป็นที่มาของ 2 ม็อบคนกันเองที่มีหมุดหมายเดียวกันในการขับไล่ “ประยุทธ์”
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นเมื่อสถานีโทรทัศน์ “พีซทีวี” ของ “เสี่ยตู่-จตุพร” ที่เดิมเน้นออกอากาศเฉพาะรายการภายใน กลับถ่ายทอดสดการแถลงข่าวของกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) ด้วย
ขณะที่ข้อเสนอของ “ก๊วนนกเขา” ดูจะ “ก้าวหน้า” กว่าของ “กลุ่มจตุพร” เพราะมีการเสนอให้จัดตั้ง “รัฐบาลสร้างชาติ” โดยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เพื่อเปิดให้มีการเลือก “นายกฯ จากนอกบัญชีพรรคการเมือง” ตามมาตรา 272 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
ไม่เท่านั้นยังมีการโยนชื่อ “ว่าที่นายกฯ คนนอก” ออกมาอีกด้วย ทั้ง ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกฯ อดีตเลขาธิการ WTO, พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม ปัจจุยันเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ อยู่, ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้ง พญ.ภัททิรา ทางรัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี
เมื่อแหวกม่านจนเห็นสายสัมพันธ์ “คนกันเอง” โยงใยเช่นนี้แล้ว ถือเป็นศึกหนักของ “รัฐบาลลุงตู่” อย่างแน่นอน ต่างจากการรับมือ “ม็อบสามนิ้ว” ที่อาศัยเพียงการสร้างกระแสกดดัน
ดังนั้นจะดูเบาความเคลื่อนไหว 2 ม็อบมืออาชีพ ที่แยกกันเดิน รวมกันตีไปที่ “ลุง” ไม่ได้เด็ดขาด เพียงแต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะประสบความสำเร็จดังที่วาดหวังไว้ได้อย่างไรเท่านั้น.