ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คดีอาชญากรรม “บิ๊กเบิ้ม” ที่กล่าวขานกันทั่วประเทศในเวลานี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้น “คดีประสิทธิ์ เจียวก๊กและชาวคณะ” ที่ถูกตำรวจตั้งข้อหาหนักคือ “ฉ้อโกงประชาชน”
ความน่าสนใจของคดีนี้ นอกจากจะอยู่ตรงที่เรื่อง “เม็ดเงิน” จำนวนมหาศาลแล้ว ยังโยงใยไปถึงการฉ้อโกงอันเป็นผลมาจาก “ความศรัทธา” ต่อตัวประสิทธิ์ในฐานะ “ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน” ซึ่งเขาสร้างภาพลักษณ์เรื่องความเป็น “คนดี” มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนใหญ่คนโตและนักการเมือง จนผู้คนหลงเชื่อและหอบเงินไปร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก
คำถามสำคัญจึงอยู่ตรงที่มา “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงก้าวมาสู่จุดนี้ได้
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Prasitjeawkok.com ระบุว่า นายประสิทธิ์เป็นคนจังหวัดกระบี่ ครอบครัวของเขามีฐานะยากจน และเป็นเด็กเกเร ไม่เรียนหนังสือ พอโตขึ้นได้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร จนชีวิตพลิกผันเป็นนักธุรกิจพันล้าน ที่มีการให้ฉายาว่า “อันธพาลกลับใจ” ก่อนจะประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ และเป็นผู้นำในแวดวงธุรกิจการท่องเที่ยวอันดับต้นของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน และเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ มัณดาวีต์ กรุ๊ป ที่มีสำนักงานทั่วโลก ทั้งในนิวยอร์กและชิคาโก สหรัฐอเมริกา เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ซิดนีย์ ออสเตรเลีย โตเกียว ญี่ปุ่น ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และที่เดอะไนท์ ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร นี่ยังไม่รวมตามจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ
ที่ผ่านมา นายประสิทธิ์อ้างว่า เขาทำธุรกิจได้เงินมากมาย แต่จะเอารายได้ 90% ของตัวเอง มาใช้ในการกุศลเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน โดยจัดทำหลายๆโครงการเช่น โครงการพัฒนา 10 หมู่บ้านทั่วไทย, โครงการรับบริจาคยาเหลือใช้ เพื่อผู้ยากไร้ชายแดน และ มีการก่อตั้งแอพพลิเคชั่น M-Help Me เป็นแอพสำหรับแจ้งเตือนภัยต่างๆ ซึ่งด้วยภาพลักษณ์ดังกล่าวทำให้นายประสิทธิ์ได้รางวัล “คนทำดีต้นแบบสังคมแห่งปี 2558 คนดีเพื่อพ่อ” จากสถาบันปกเกล้า ตามด้วยรางวัลผู้สนับสนุนการทำดี จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ ชื่อ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อ “คณะก้าวหน้า” ออกมาระบุชื่อของเขาในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการไอโอของกองทัพ เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว
สำหรับคดีนี้ กองปราบปรามร่วมกับ บก.ปอศ. และ บก.ปอท. เปิดปฏิบัติการทะลายเครือข่ายนายประสิทธิ์โดยใช้ชื่อว่า “ปิดเกมส์คนเหนือโลก” หลังมีผู้เสียหายแจ้งความว่า ถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้หลอกลวงด้วยวิธีการหลายรูปแบบ เช่น ชักชวนให้ผู้เสียหายนำบัตรเครดิต หรือเงินสด มาลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์ ชักชวนให้ลงทุนโดยให้โอนเงินฝากเข้าบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์โดยอ้างผลตอบแทนร้อยละ 11.5 ถึงร้อยละ 15 ต่อการลงทุนในระยะเวลา 39 วัน ผู้เสียหายบางรายก็ถูกชักชวนให้ลงทุนซื้อทองคำ และให้นำมาลงทุนตามโปรโมชั่นของบริษัทฯ เสนอผลกำไรร้อยละ 43.5 / ชักชวนให้ลงทุนเงินสดหรือทองคำในระบบกองทุนส่วนตัวของนายประสิทธิ์ และชักชวนให้ลงทุนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม และให้ปล่อยเช่ากระเป๋าอีกด้วย
ป้าเก๋ หญิงวัย 71 ปี หนึ่งในเหยื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รู้จักกับธุรกิจของนายประสิทธิ์เมื่อต้นปีที่แล้วจากการไปงานที่จัดโปรโมตตามโรงแรมต่างๆ โดยมีเพื่อนคนหนึ่งชักชวน ทั้งนี้ ตอนแรกยังไม่กล้าลงทุนเพราะกลัวโดนโกง แต่พอไปหลายครั้งก็เปลี่ยนใจ และตัดสินใจนำเงิน 1 แสนไปลงทุน ซึ่งก็ปรากฏว่าได้โบนัส 3.3 หมื่นและเพียงแค่ 3 วันก็โอนเงินให้แล้ว จากนั้นก็เริ่มใจแตกใส่เงินลงไปอีกเรื่อยๆ กระทั่งเงินที่ลงไปกับส่วนที่เป็นสหกรณ์สูงถึง 2.9 ล้านบาท และส่วนของกองทุน 1.5 แสนบาท รวมแล้ว 3 ล้านกว่า บาทซึ่งเป็นเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต
อย่างไรก็ดี ประสิทธิ์ยืนยันหลังเดินทางเข้ามอบตัวว่า ไม่ได้โกง ถูกกลั่นแกล้งและได้รับผลกระทบในการทำธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้การเงินติดขัดอย่างหนัก
“มั่นใจว่า มีข้อมูลสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฏหมายได้ เพราะสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง โดยมั่นใจว่า คดีนี้ถูกกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็มีคดีความที่เป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาท ยอมรับว่า ที่ผ่านมาปัญหาสถานการณ์ โควิด – 19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของตัวเองอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองด้วย จึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจ กับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ และหากกระทำความผิดจริง ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว”นายประสิทธิ์กล่าว
ที่น่าสนใจคือ แม้จะมี “ผู้ถูกฉ้อโกง” ออกมาแจ้งความดำเนินคดีมากมาย แต่ก็ยังคงมี “ผู้ศรัทธา” ในตัวนายประสิทธิ์ออกมาชูป้ายสนับสนุนอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน
นอกจาก ประสิทธิ์ เจียวก๊กแล้ว “ตัวละครสำคัญ” ที่ถูกจับตาอีกคนก็คือ “พันโท พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข” หนึ่งในผู้ต้องหา 6 คนที่ถูกจับกุมได้โดยกล่าวหาว่าเข้าพัวพันคดีฉ้อโกงพันล้าน โดยทางกองทัพภาคที่ 2 ได้อํานวยความสะดวกให้ตํารวจอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องการควบคุมตัวการสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐาน ในขณะเดียวกันทางหน่วย ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และดําเนินการทางวินัยแล้ว
จากการตรวจสอบของสำนักข่าวอิศรา จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2564 พบว่า นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 10 แห่ง ได้แก่1.บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2547 ทุนปัจจุบัน 500 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจ รับจ้างจองห้องพักผ่านอินเทอร์เน็ต แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 63,783,984 บาท รายจ่ายรวม 165,243,271 บาท เสียภาษีเงินได้ 221,381 บาท ขาดทุนสุทธิ 101,262,644 บาท 2.บริษัท การบิน สวัสดี จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2547 ทุนปัจจุบัน 12.3 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจสายการบิน แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 336,935 บาท ขาดทุนสุทธิ 336,935 บาท 3.บริษัท เหนือโลก จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจเพื่อบริหารสำนักงานแบบเบ็ดเสร็จ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีรายได้รวม 341,934 บาท รายจ่ายรวม 378,476 บาท ขาดทุนสุทธิ 36,541 บาท 4.บริษัท เอ็นทูโอ เฮลท์ โซลูชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจ กิจกรรมอื่น ๆ ด้านสุขภาพของมนุษย์ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีรายได้รวม 1,725,915 บาท รายจ่ายรวม 1,692,865 บาท กำไรสุทธิ 33,049 บาท
5.บริษัท เอ็มวี เทรดดิ้ง คอเปอร์เรชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2558 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้า แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีรายได้รวม 5,979,415 บาท รายจ่ายรวม 5,913,013 บาท กำไรสุทธิ 66,402 บาท 6.บริษัท สวัสดีดอทคอม จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2553 ทุนปัจจุบัน 2 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจท่องเที่ยว นายหน้า รับจองห้องพักผ่านทางอินเทอร์เน็ต แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 10,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 10,000 บาท 7.บริษัท เอ็มแอล ฟิวเจอร์ เทค จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 10 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจการขายส่งคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ ยังไม่ได้แจ้งงบการเงิน 8.บริษัท มัณดาวีต์ ทัวร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2556 ทุนปัจจุบัน 10 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจท่องเที่ยว แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 73,139,071 บาท รายจ่ายรวม 73,010,551 บาท เสียภาษีเงินได้ 149,432 บาท ขาดทุนสุทธิ 20,912 บาท 9.บริษัท เป็นต่อ ชัวร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2562 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจรับออกแบบ ติดตั้งเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาซอฟต์แวร์ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 764 บาท รายจ่ายรวม 19,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 18,235 บาท 10.บริษัท บี.ดี.อาร์. เรียลเอสเตท จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2552 ทุนปัจจุบัน 3 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 10,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 10,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจในเครือที่นายประสิทธิ์มิได้มีชื่อเป็นกรรมการบริษัท เช่น บริษัท มัณดาวีต์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด บริษัท จิรากานา จำกัด บริษัท อ่าวนาง ซีวิว คอนโด จำกัด บริษัท อ่าวนาง ซีวิว รอยัล โฮเทล จำกัด บริษัท MWT Marketing Pte.Ltd บริษัท เอส-แพลนเนต จำกัด บริษัท อินทิเกรทเต็ด ซิสเต็ม ซฟอท์แวร์ จำกัด บริษัท Mandawei Co.Ltd บริษัท N2O Health Solution Co., Ltd บริษัท นทีทองธาร จำกัด บริษัท Deetrip เป็นต้น
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเอาผิด นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน และพวก รวม 6 คนว่า ที่ผ่านมาทางกองปราบพยายามเร่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์เหล่านี้กลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากผู้ต้องหากลุ่มนี้เตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนผ่านทองคำหรือบัตรเครดิต แทนการใช้เงินสด เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ รวมถึงมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินทั้งหมดไปก่อนที่จะถูกจับกุมตัวจนหมด เพราะจากการตรวจสอบบัญชีธนาคารส่วนตัวของกลุ่มผู้ต้องหาและคนใกล้ชิด พบส่วนใหญ่ไม่มีเงินติดบัญชี จึงอาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีการผ่องถ่ายไปไว้ที่ใด ซึ่งในส่วนนี้ทางกองปราบได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ปปง. บก.ปอศ. ช่วยกันสืบหาติดตามตรวจสอบทุกมิติ
คดีนี้ ถ้าสุดท้ายแล้ว ศาลพิพากษาว่า “ฉ้อโกง” ต้องถือว่าเลวร้ายมากเพราะเล่นกับความเชื่อและความศรัทธาของประชาชนด้วยการสร้างภาพว่าตัวเองเป็น “คนดี”.