นายกฯย้ำ 3 ช่องทางการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ปรับ "วอล์กอิน" เป็นลงทะเบียน "ออนไซต์" ที่จุดฉีด กำชับเน้นกลุ่มคนทำงานในระบบประกันสังคมให้เร็วขึ้น "บิ๊กป้อม" ฮึ่ม “ภราดร” ถามเหมาะไหม "บิ๊กภูมิใจไทย” แตะเบรก "ภราดร" แนะสื่อสารให้นุ่มนวลกว่านี้ ซิโนแวคถึงไทยอีก 1.5 ล้านโดส
จากกรณีที่เกิดความสับสนเกี่ยวกับการลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่าสามารถวอล์กอินเข้าไปฉีดวัคซีน โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ได้หรือไม่ รวมทั้งมีการระบุว่า สามารถงอล์กอินได้ในกรณีที่ผู้ที่ลงทะเบียนจองไม่มาตามนัด หรือไม่สามารถฉีดได้นั้น
วานนี้ (20 พ.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ ช่องทางที่ 1 ระบบหมอพร้อม ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ลงทะเบียน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนแล้ว 7.4 ล้านคน และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไป อายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ ตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อดีคือประชาชนสามารถเลือกวัน เวลา และสถานที่ได้เอง
ปรับเรียก “ออนไซต์” หวั่นวุ่น
นายอนุชา กล่าวต่อว่า ช่องทางที่ 2 การลงทะเบียน ณ จุดบริการ (On-site Registration) ช่องทางนี้ ปรับจากการเรียกว่า “วอล์กอิน” (Walk in) มาใช้คำว่า “ออนไซต์” แทน เนื่องจากหากใช้คำว่าวอล์กอินแล้ว อาจเกิดความเข้าใจผิดว่า ทุกคนที่เดินทางไปจะได้ฉีดในวันนั้น จนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ แต่การลงทะเบียน ณ จุดบริการ จะมีระบบรองรับ และแจ้งประชาชนเมื่อเดินทางไปลงทะเบียนว่า มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการในวันนั้นหรือไม่ หากพร้อมฉีดแต่วัคซีนไม่พอในวันนั้น ก็สามารถทำการลงทะเบียนเพื่อนัดฉีดในวันอื่นได้ โดยขอย้ำว่าช่องทางนี้เป็นการบริการเสริม
“นายกฯ ยืนยันว่า ถ้าหากในแต่ละจุดที่บริการ มีวัคซีนเพียงพอในแต่ละวัน และมีวัคซีนสำรอง เนื่องจากมีคนที่นัดแล้วแต่ไม่ได้มาฉีดตามนัดอยู่บ้าง รัฐบาลก็มีแผนในการเปิดการฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินได้ แต่บริการหลักยังเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม ส่วนวอล์กอิน เป็นการบริการเสริม” นายอนุชา กล่าว
ก.ค.นี้ กทม.มีภูมิคุ้มกันหมู่
นายอนุชา กล่าวต่อว่า สำหรับช่องทางที่ 3 การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ หรือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นจัดสรรวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต เพื่อให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถติดต่อนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. ได้โดยตรง หรือหากเป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาคมที่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถยื่นเรื่องต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป
“รัฐบาลมีเป้าหมายระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมใน กทม. ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนนี้ (มิ.ย.-ก.ค.64) และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศให้ครบ 50 ล้านคน ภายในปีนี้” นายอนุชา กล่าว
เร่งฉีดผู้ประกันตน ม.33
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า กล่าวว่า ได้เน้นย้ำการทำงานเพิ่มเติม 1 . การบริหารวัคซีนให้บูรณาการร่วมกับคณะกรรมการกระจายวัคซีน แก่ผู้ประกันตน ม.33 ให้ครอบคลุมและทั่วถึง, 2. การตรวจคัดกรองเชิงรุก ขอให้ขยายให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงให้มากที่สุด, 3. มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน และแรงงาน สามารถดำรงชีพได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น โครงการ ม 33 เรารักกัน เป็นต้น, 4. การแก้กม.ประกันสังคม ขอให้เร่งขับเคลื่อนเพื่อไปตามข้อเรียกร้องในการนำเงินชราภาพออกมาใช้บางส่วน ให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลา และ 5.ให้กำกับและดูแลการทำงานของแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยึดถือมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคโควิด
ยธ.เข้มไม่ฉีดวัคซีนห้ามเข้า
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม ได้ยกระดับมาตรการป้องกัน โดยการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยสั่งการให้ อธิบดีทุกคน ต้องดำเนินการประสานหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ทุกคนในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง ต้องได้ฉีดวัคซีนทั้งหมด รวมทั้งอธิบายให้ความรู้ว่า วัคซีนไม่ได้น่ากลัว ขอให้เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ตนได้สั่งการไปแล้ว ดังนั้นการจะให้ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างเข้ามาทำงานในกรม หรือหน่วยงานในสังกัด หากยังไม่ได้รับวัคซีนจะไม่ให้เข้าพื้นที่ แต่หากได้รับเข็มแรกแล้ว มีหลักฐานมาแสดง เช่น ใบแสดงผล ก็ให้เข้ามาทำงานได้
"บิ๊กป้อม" ฉุน “ภราดร” โฆษก ภท.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ตำหนิการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลว่า ไม่มีความคิดเห็นอะไร แต่ว่าสมควรหรือไม่ ก็คิดดูเอาเองแล้วกัน เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล เรื่องนี้ไม่ต้องกำชับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว รู้อยู่ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
"บิ๊ก ภท.”แตะเบรก "ภราดร"
ด้าน นายภราดร ชี้แจงว่า ต้องการชี้ให้เห็นถึงความไม่พร้อมของ ระบบหมอพร้อมที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการจองฉีดวัคซีนได้ ไม่ใช่การตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าไม่มี วอล์กอิน แต่ให้ลงทะเบียน ณ จุดบริการ หรือ ออนไซต์นั้น ตนสงสัยว่าระบบการทำงานแตกต่างกันตรงไหน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ คือ หาวิธีบริหารจัดการให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเรียกว่า เป็นวอล์กอิน หรือวิธีการใดก็ตาม
“ยอมรับว่าหลังโพสต์ไป มีผู้ใหญ่ในพรรคโทรศัพท์มาหา ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไป ท่านก็แนะนำว่า ควรใช้วิธีการสื่อสาร ที่นุ่มนวลกว่านี้” นายภราดร กล่าว
“ซิโนแวค”ถึงไทยอีก1.5ล้านโดส
เฟซบุ๊กเพจ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เผยแพร่คลิปวิดิโอ เป็นภาพการลำเลียงวัคซีนซิโนแวค ลงจากเครื่องบินขนส่ง พร้อมข้อความระบุว่า
"ในวันที่ 20 พ.ค. วัคซีนซิโนแวค ที่รัฐบาลไทยจัดซื้อเพิ่ม จำนวน 1.5 ล้านโดส ส่งถึงกรุงเทพฯ แล้ว โดยปัจจุบันจีนได้ส่งออกและบริจาควัคซีนซิโนแวคให้แก่ประเทศไทยแล้วจำนวน 8 ชุด รวมทั้งสิ้น 6 ล้านโดส วัคซีนจีนจะช่วยชาวไทยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่” แฟนเพจสถานทูตจีน ระบุ
จากกรณีที่เกิดความสับสนเกี่ยวกับการลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่าสามารถวอล์กอินเข้าไปฉีดวัคซีน โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ได้หรือไม่ รวมทั้งมีการระบุว่า สามารถงอล์กอินได้ในกรณีที่ผู้ที่ลงทะเบียนจองไม่มาตามนัด หรือไม่สามารถฉีดได้นั้น
วานนี้ (20 พ.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ ช่องทางที่ 1 ระบบหมอพร้อม ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ลงทะเบียน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนแล้ว 7.4 ล้านคน และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไป อายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ ตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อดีคือประชาชนสามารถเลือกวัน เวลา และสถานที่ได้เอง
ปรับเรียก “ออนไซต์” หวั่นวุ่น
นายอนุชา กล่าวต่อว่า ช่องทางที่ 2 การลงทะเบียน ณ จุดบริการ (On-site Registration) ช่องทางนี้ ปรับจากการเรียกว่า “วอล์กอิน” (Walk in) มาใช้คำว่า “ออนไซต์” แทน เนื่องจากหากใช้คำว่าวอล์กอินแล้ว อาจเกิดความเข้าใจผิดว่า ทุกคนที่เดินทางไปจะได้ฉีดในวันนั้น จนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ แต่การลงทะเบียน ณ จุดบริการ จะมีระบบรองรับ และแจ้งประชาชนเมื่อเดินทางไปลงทะเบียนว่า มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการในวันนั้นหรือไม่ หากพร้อมฉีดแต่วัคซีนไม่พอในวันนั้น ก็สามารถทำการลงทะเบียนเพื่อนัดฉีดในวันอื่นได้ โดยขอย้ำว่าช่องทางนี้เป็นการบริการเสริม
“นายกฯ ยืนยันว่า ถ้าหากในแต่ละจุดที่บริการ มีวัคซีนเพียงพอในแต่ละวัน และมีวัคซีนสำรอง เนื่องจากมีคนที่นัดแล้วแต่ไม่ได้มาฉีดตามนัดอยู่บ้าง รัฐบาลก็มีแผนในการเปิดการฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินได้ แต่บริการหลักยังเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม ส่วนวอล์กอิน เป็นการบริการเสริม” นายอนุชา กล่าว
ก.ค.นี้ กทม.มีภูมิคุ้มกันหมู่
นายอนุชา กล่าวต่อว่า สำหรับช่องทางที่ 3 การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ หรือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นจัดสรรวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต เพื่อให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถติดต่อนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. ได้โดยตรง หรือหากเป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาคมที่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถยื่นเรื่องต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป
“รัฐบาลมีเป้าหมายระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมใน กทม. ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนนี้ (มิ.ย.-ก.ค.64) และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศให้ครบ 50 ล้านคน ภายในปีนี้” นายอนุชา กล่าว
เร่งฉีดผู้ประกันตน ม.33
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า กล่าวว่า ได้เน้นย้ำการทำงานเพิ่มเติม 1 . การบริหารวัคซีนให้บูรณาการร่วมกับคณะกรรมการกระจายวัคซีน แก่ผู้ประกันตน ม.33 ให้ครอบคลุมและทั่วถึง, 2. การตรวจคัดกรองเชิงรุก ขอให้ขยายให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงให้มากที่สุด, 3. มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน และแรงงาน สามารถดำรงชีพได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น โครงการ ม 33 เรารักกัน เป็นต้น, 4. การแก้กม.ประกันสังคม ขอให้เร่งขับเคลื่อนเพื่อไปตามข้อเรียกร้องในการนำเงินชราภาพออกมาใช้บางส่วน ให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลา และ 5.ให้กำกับและดูแลการทำงานของแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยึดถือมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคโควิด
ยธ.เข้มไม่ฉีดวัคซีนห้ามเข้า
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม ได้ยกระดับมาตรการป้องกัน โดยการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยสั่งการให้ อธิบดีทุกคน ต้องดำเนินการประสานหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ทุกคนในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง ต้องได้ฉีดวัคซีนทั้งหมด รวมทั้งอธิบายให้ความรู้ว่า วัคซีนไม่ได้น่ากลัว ขอให้เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ตนได้สั่งการไปแล้ว ดังนั้นการจะให้ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างเข้ามาทำงานในกรม หรือหน่วยงานในสังกัด หากยังไม่ได้รับวัคซีนจะไม่ให้เข้าพื้นที่ แต่หากได้รับเข็มแรกแล้ว มีหลักฐานมาแสดง เช่น ใบแสดงผล ก็ให้เข้ามาทำงานได้
"บิ๊กป้อม" ฉุน “ภราดร” โฆษก ภท.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ตำหนิการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลว่า ไม่มีความคิดเห็นอะไร แต่ว่าสมควรหรือไม่ ก็คิดดูเอาเองแล้วกัน เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล เรื่องนี้ไม่ต้องกำชับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว รู้อยู่ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
"บิ๊ก ภท.”แตะเบรก "ภราดร"
ด้าน นายภราดร ชี้แจงว่า ต้องการชี้ให้เห็นถึงความไม่พร้อมของ ระบบหมอพร้อมที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการจองฉีดวัคซีนได้ ไม่ใช่การตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าไม่มี วอล์กอิน แต่ให้ลงทะเบียน ณ จุดบริการ หรือ ออนไซต์นั้น ตนสงสัยว่าระบบการทำงานแตกต่างกันตรงไหน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ คือ หาวิธีบริหารจัดการให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเรียกว่า เป็นวอล์กอิน หรือวิธีการใดก็ตาม
“ยอมรับว่าหลังโพสต์ไป มีผู้ใหญ่ในพรรคโทรศัพท์มาหา ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไป ท่านก็แนะนำว่า ควรใช้วิธีการสื่อสาร ที่นุ่มนวลกว่านี้” นายภราดร กล่าว
“ซิโนแวค”ถึงไทยอีก1.5ล้านโดส
เฟซบุ๊กเพจ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เผยแพร่คลิปวิดิโอ เป็นภาพการลำเลียงวัคซีนซิโนแวค ลงจากเครื่องบินขนส่ง พร้อมข้อความระบุว่า
"ในวันที่ 20 พ.ค. วัคซีนซิโนแวค ที่รัฐบาลไทยจัดซื้อเพิ่ม จำนวน 1.5 ล้านโดส ส่งถึงกรุงเทพฯ แล้ว โดยปัจจุบันจีนได้ส่งออกและบริจาควัคซีนซิโนแวคให้แก่ประเทศไทยแล้วจำนวน 8 ชุด รวมทั้งสิ้น 6 ล้านโดส วัคซีนจีนจะช่วยชาวไทยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่” แฟนเพจสถานทูตจีน ระบุ