xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ย้ายประเทศฯ” แค่เกมการเมือง ไม่รวยอย่าง“โทนี”อย่าหาทำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - น่าจะถือเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ วีก” เรื่องเด่นประจำสัปดาห์ สำหรับกลุ่มแฟนเพจ “ย้ายประเทศกันเถอะ” ที่ตั้งขึ้นเมื่อวันแรงงาน 1 พ.ค.64 ที่ผ่านมา และได้รับความสนใจล้นหลามหลังตั้งขึ้นเพียงไม่นาน มีผู้เข้าร่วมกลุ่มมากกว่า 8 แสนราย (สมาชิก 8.45 แสนบัญชี เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 6 พ.ค.64) และมีแผนที่จะต่อยอดไปสู่การทำเวบไซต์อีกด้วย


แน่นอนด้วยตัวเลขจำนวนผู้สนใจเข้าร่วมมากมายใกล้ถึงหลักล้านในไม่ช้า ต้องบอกได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรดูเบา หรือมองข้าม “กระแส” ที่บ้างถึงขั้นยกให้เป็น “ปรากฏการณ์” ครั้งนี้

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่ต้องมา “เห่อ” กันแต่อย่างใดเช่นกัน

การกำเนิดเกิดขึ้นของกลุ่มเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ชื่อกลุ่ม “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” นั้น มีปัจจัยสำคัญจากช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในทำนองเดียวกับช่วงระบาดระลอกแรก ที่มีการตั้งกลุ่มขายของผ่านเฟซบุ๊กจนเป็นที่นิยม นัยว่าร่วมด้วยช่วยกันในภาวะที่เศรษฐกิจต้องหยุดชงัก บ้านเมืองต้องล็อกดาวน์

ด้วยเวลาอันรวดเร็ว วัฒนธรรมการฝากร้าน หรือการขายของออนไลน์ ในยุคโควิดแพร่ระบาด ก็ได้กลายเป็น “เรื่องปกติ” หรือเป็นรูปแบบ “นิว นอร์มอล” ไปเป็นที่เรียบร้อย

ตามประสา “โลกโซเชียล” ที่หมุนเร็ว และโหยหากระแสใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนท์สาระ หรือประเด็นดรามา

และในช่วงที่รัฐบาลกำลังชุลมุนชุลเกอยู่กับการแก้ไขปัญหาโควิดระบาดระลอกใหม่ จนถูกตำหนิว่าไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาแทบทุกทุกมิติ ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มกำลังมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่รัฐบาลไทยยังมะงุมมางาหราแก้ไขวิกฤตโควิดไม่ได้อย่างทันท่วงที แล้วยังมีประเด็นดรามา “วัคซีน” ที่ล่าช้า และไร้ทางเลือกสำหรับคนไทย จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ฟุบหนัก และคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ

ส่งผลให้มีความเชื่อที่ว่า “อยู่เมืองนอก น่าจะดีกว่าอยู่เมืองไทย” หรือพูดง่ายๆ ลองไป “ตายเอาดาบหน้า” ดีกว่า

เป็นที่มาของการตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ”

ที่เนื้อหาส่วนใหญ่ในกลุ่มเป็นไปในเชิงแลกเปลี่ยนแนะแนวการศึกษา และแนะนำแนวทางประกอบอาชีพในต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกจริต “คนรุ่นหนุ่มสาว” ที่อยู่ใน “วัยแสวงหา” และมี “ความฝัน” ที่จะไปเผชิญสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างในต่างประเทศอยู่เป็นทุนเดิม

กลุ่มเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” จึงได้รับความสนใจอย่างถล่มทลาย ตั้งแต่ชื่อกลุ่มที่ “แรง-โดน” จนถูกวิเคราะห์ไปอย่างลึกซึ้งว่า สะท้อนถึงความสิ้นหวังของสมาชิกในกลุ่ม อีกทั้งเมื่อตรวจสอบ “ผู้ก่อตั้ง” ก็พบว่า มีจุดยืนทางการเมืองสนับสนุน “ม็อบสามนิ้ว” กลุ่มราษฎร 2563

ทำให้ถูกทั้ง “กองเชียร์-กองแช่ง” จับตามองว่า จะเป็นเครือข่ายที่เคลื่อนไหว “เชิงการเมือง” หรือไม่

แน่นอนด้วยตัวเลขผู้เข้าร่วมมากมายขนาดนี้ ฝ่าย “กองเชียร์” ก็พยายามที่จะ “โหนกระแส” ให้กลายเป็นเรื่องการเมือง เพื่อโจมตีความล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฎชื่อ “เจ๊วิน เกียวโต” ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต ผู้ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” เข้ามาร่วมกลุ่มย้ายประเทศฯ ตั้งแต่ต้น และพยายามโพสต์ข้อความ “ปั่นกระแส” อย่างต่อเนื่อง

ทำให้คนนึกไปว่า “กลุ่มย้ายประเทศฯ” อาจมาแทนที่ “กลุ่มตลาดหลวง” ของ “เจ๊วิน” ที่แม้วันนี้ยอดสมาชิกมากกว่า 2 ล้านบัญชี แต่กระแสสร่างซาไปพอสมควร ในช่วงขาลงของ “ม็อบสามนิ้ว”

โดยกลุ่มตลาดหลวง ก็ตั้งขึ้นโดยอาศัยกระแสการตั้งกลุ่มขายของช่วงโควิดระบาดแรก แต่ก็กลายเป็น “กลุ่มต้องห้าม” เพราะมีแต่เนื้อหาที่จ้องจะจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จะมีก็แต่ “ม็อบสามนิ้ว” ที่นำมาเผยแพร่ต่อ จนถูก “คดี 112” ส่งเข้าเรือนจำกันไปเป็นพรวน

ด้วยความฮอตฮิตของกลุ่มย้ายประเทศฯ และยังเป็นช่วงที่้ “ข่าวปลอม-เฟกนิวส์” แพร่ระบาดอย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวโรคโควิด-19 จึงไม่พ้นหูพ้นตารัฐบาล เป็น “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ออกมากระแอมใส่ดังๆ ว่าจับตาดูกลุ่มย้ายประเทศฯอยู่ เพราะมีคนร้องเรียนว่า มีเนื้อหาสร้างความแตกแยก และหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนให้กระทำผิดกฎหมายลักลอบหนีเข้าเมือง หรือโดดวีซ่า ในต่างประเทศ

ด้วยอารามตกใจอย่างไรไม่ทราบได้ ทำให้แอดมินตัดสินใจเปลี่ยนชื่อกลุ่มใหม่ในทันทีเป็น “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” โดยแอดมินระบุว่า “เป็นกลุ่มที่ชวนออกกำลังกาย ส่ายสะโพกเฉยๆ ลดพุงครับ” พร้อมกำชับลูกเพจว่า “สิ่งที่เราช่วยกันได้ตอนนี้ ก็คือถ้าเจอข้อความที่สุ่มเสี่ยงจะถูกนำไปเป็นเครื่องมือ ให้รีพอร์ทมาทางแอดมินนะครับ”

สะท้อนว่า แม้กลุ่มย้ายประเทศฯ จะมีจุดยืนที่ไม่ชอบรัฐบาล แต่ “แอดมิน” ก็ไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยง

ยังดีที่ท่าทีของกระทรวงดีอีเอสไม่แข็งกร้าว ถึงขั้นข่มขู่จะไล่ปิดกลุ่ม ที่จะกลายเป็นช่วย “เรียกแขก” เหมือนอย่างที่เคย “ตีปิ๊บ” ให้กลุ่มตลาดหลวง สมัยรัฐมนตรีคนเก่า

จอม เพชรประดับ อดีตสื่อมวลชนชื่อดังซึ่งลี้ภัยที่สหรัฐอเมริกา โดยยึดอาชีพคนขับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชั่น “อูเบอร์” (UBER) และขายกล้วยทอดตามงานเทศกาลเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ

พระปัญญา สีสัน แกนนำพระแครอทที่โพสต์ข้อความหลังหนีคดีไปต่างประเทศถึงความยากลำบากในการเดินทางเพื่อไปยังค่ายผู้ลี้ภัย และเมื่ออาศัยอยู่ในค่ายก็ยังถูกเพื่อนร่วมค่ายข่มขู่คุกคามหลายต่อหลายครั้ง
จะมีก็แต่ฝ่าย “กองแช่ง” ที่เป็นกลุ่มสนับสนุน “รัฐบาลลุงตู่” หรืออดีต กปปส. ที่ถูกเรียกรวมๆว่า “สลิ่ม” เองที่ดูจะไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เห็นคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็น “กลุ่มการเมือง” ก็ตราหน้าเป็น “กลุ่มสามนิ้ว-ม็อบสามกีบ” ตามล้างตามเช็ด ไล่ด่าสาดเสียเทเสีย ตะเพิดให้ออกไปพ้นประเทศ

ทั้งที่ความฝันแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เห่อกันประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็เลิกเห่อ

ทว่ายังมี “ขบวนการแร้งทึ้ง” พยายามดึงเข้าการเมือง เพื่อโจมตี “รัฐบาลลุงตู่” แต่ดูเหมือนจะปั่นไม่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทางกลุ่มไม่เล่นด้วย

ชัดๆ กับคิวออกสื่อถี่ยิบของ “เฮียโทนี” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ในนาม “Tony Woodsome” ที่โผล่มาร่วมพูดคุยผ่านแพลตฟอร์ม Clubhouse ของทางกลุ่ม CARE โดยมีคำถาม “ชงหวาน” ให้ตอบถึงกลุ่มย้ายประเทศ “ทักษิณ” ตอบด้วยความเข้าอกเข้าใจกระแสว่า เป็นการดิ้นรนเพื่ออนาคตของตัวเอง และโทษรัฐบาลว่า ไม่พยายามทำความเข้าใจเด็ก แต่กลับใช้อำนาจ ใช้กฎหมายใส่เด็ก

พร้อมย้ำช่วงหนึ่งว่า “ถ้าผมเป็นนายกฯ คงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น”

การออกมาคอมเมนท์ของ “ทักษิณ” อย่างพอดิบพอดี เป็นการตอกย้ำว่า มีความพยายามอาศัยกระแส “ย้ายประเทศ” เพื่อโจมตี “รัฐบาลลุง” ในช่วงที่กำลังเสียทรงให้กับวิกฤตโควิด

เป็นจังหวะเดียวกับที่ “ทักษิณ” มั่วนิ่มโชว์กึ๋นด้านการบริหารช่วงวิกฤตโควิด เทียบกับสมัยโรคหวัดนก-หวัดซาร์ส ก่อนจะทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ ประเด็น “วัคซีนไฟเซอร์” เข้าประเทศไทยแล้ว จนเจอตอกกลับเพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ “เฟกนิวส์”

แต่เมื่อเป็นคอมเมนท์เกี่ยวกับกระแสย้ายประเทศ ออกจากปาก “คนมีแผล” อย่าง “ทักษิณ” ก็ถูกย้อนศรไม่ยากว่า ปลุกระดมให้คนอื่น “ย้ายประเทศ” แต่ตัวเอง “อยากกลับประเทศ” ใจจะขาด

ดอกนี้ “จี้ใจดำ” ไปที่ “นายกฯ หนีคดี” ทั้ง “พี่ษิณ” และ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯน้องสาว ที่ซุกหัวอยู่ด้วยกัน

ด้วยมีปากคำของเหล่าสมุนที่เคยแวะเวียนไปพบ “นายใหญ่” ต่างพูดตรงกันวส่าความปรารถนาสูงสุดของ “นายห้างดูไบ” คือ “ขอกลับเมืองไทยอย่างเท่ๆ”

จนเป็นที่มาของความพยายามในการผลักดัน “พ.ร.บ.นิรโทษฯ สุดซอย” ที่แม้จะมีคนเตือนแล้วว่า เดิมพันสูงอาจได้ไม่คุ้มเสีย แต่ “ทักษิณ” ก็ตีธงลุย จน “รัฐบาลน้องสาว” ต้องพังครืนไปต่อหน้าต่อตา ตามมาด้วยคดีความเป็นหางว่าว จนต้องหลบหนีตามรอยพี่ชายไป

การออกมาให้ท้ายกลุ่มย้ายประเทศฯ ของ “ทักษิณ” ก็ไม่ต่างจากการปั่นกระแสเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยโทษไปที่ความล้มเหลวของ “รัฐบาลประยุทธ์” เพียงเท่านั้น ทั้งที่รู้ดีว่า “ผลลัพธ์” ของการย้ายประเทศทั้งแบบเต็มใจ และไม่เต็มใจอย่างตัวเอง และน้องสาว ไม่ได้สวยหรูเหมือนที่ฝันกันไว้

โดยเฉพาะชะตากรรมของ “ลูกสมุน” ของ “ระบอบทักษิณ” ในต่างแดนที่ล้วนแล้วไม่ได้เสวยสุขเหมือน “นายแม้ว-นายปู”

ตั้งแต่ จอม เพชรประดับ อดีตสื่อมวลชนชื่อดัง ที่ลี้ภัยที่สหรัฐอเมริกา ได้ที่ยึดอาชีพคนขับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชั่น “อูเบอร์” (UBER) และขายกล้วยทอดตามงานเทศกาลเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ

ขณะที่ จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอดีตแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสมากว่า 6 ปี จนได้รับรองเป็นพลเมืองฝรั่งเศส และเพิ่งโชว์ภาพเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ก็มีสภาพความเป็นอยู่ไม่สู้ดีนัก จากภาพถ่ายที่โพสต์ผ่านสังคมออนไลน์ที่ดูโทรมเกินวัย

หรือรายของ พระปัญญา สีสัน อายุ 39 ปี แกนนำพระแครอทที่ขึ้นเวทีปราศรัยร่วมกับม็อบคณะราษฎร ที่เพิ่งหลบหนีคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปประเทศแถบยุโรป ก็โพสต์ข้อความถึงความยากลำบากในการเดินทางเพื่อไปยังค่ายผู้ลี้ภัย และเมื่ออาศัยอยู่ในค่ายก็ยังถูกเพื่อนร่วมค่ายข่มขู่คุกคามหลายต่อหลายครั้งด้วย

เช่นเดียวกับ “ตั้ง อาชีวะ” เอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาหลบหนีคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ขณะนี้ได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัยที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก็ออกมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตต่างแดนว่า มีข้อจำกัดกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะประกอบอาชีพมีรายได้ ก็ยังต้องเผชิญกับอาชญากรรม โดย “เสี่ยตั้ง” ถูกโจรขึ้นบ้านและถูกขโมยทรัพย์สินอย่างน้อย 2 ครั้ง

ดูท่าจะมีก็แต่ “ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์” กระมังที่มีแต่เรื่อง “ดี๊...ดีย์” เกี่ยวกับชีวิตในต่างแดน ตามประสา “คนมีตังค์”

หรืออาจจะมีอีกหลายๆ ตัวอย่าง ทั้งที่ประสบความสำเร็จ และที่ล้มเหลวต้องซมซานกลับมาตายรังที่เมืองไทย หากอยาก “ย้ายประเทศ” จริง ก็มี “กรณีศึกษา-บทเรียน” ให้เรียนรู้มากมาย แต่ไม่มี “สูตรสำเร็จ” ในการใช้ชีวิตต่างแดน หรือกระทั่งในเมืองไทยเอง

และต้องไม่ลืมประโยคที่พูดกันต่อๆว่า “เมืองไทยดีที่สุดในโลก และน่าอยู่ที่สุดในโลกแล้วสำหรับคนไทย”

เป็นประโยคที่ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติอยาก “ย้ายประเทศ” มาอยู่เมืองไทยก็มากมายเช่นกัน

ต้องบอกว่า ไม่ผิดหรอก ที่คิดจะไปแสวงหาความท้าทาย หรีอต้องการคุณภาพชีวิต และรายได้ที่ดีกว่าในต่างประเทศ แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่า โลกแห่งความจริงไม่ได้สวยหรูเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ในจินตนาการ

อย่าหลงมองแค่ “รายได้” ที่ดีกว่าเพียงอย่างเดียว ต้องนึกถึง “ค่าครองชีพ” ที่สำคัญไม่แพ้กันด้วย

และถ้าหวังชีวิตที่ดีกว่า แต่ดันไม่รวยเท่า “เสี่ยโทนี” ก็ยิ่งต้องตรองให้หนัก.


กำลังโหลดความคิดเห็น