xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิกฤตซ้อนวิกฤต “สลัมคนเมือง” “คลัสเตอร์ใหม่โควิด”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “โควิด-19 ระลอก 3” ยังคงลุกลามบานปลาย โดยเฉพาะการแพร่ระบาดใน “ชุมชนแออัด” หรือ  “สลัม” จากกรณี “คลัสเตอร์คลองเตย”  ที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดหลายร้อยรายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ปัญหา  “สลัมคนเมือง” กลับมาเป็นเป้าสนใจในสังคมไทยอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐไม่มีความสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดในสลัมโดยเร็ว อาจลามไปทุกชุมชนทั่วทั้งเมือง

 ตามข้อมูลพบว่า พบการติดเชื้อหนาแน่นมากใน 3 ชุมชน จาก 41 ชุมชนในคลองเตย ซึ่งมีลักษณะที่อยู่อาศัยติดๆ กัน คือ ชุมชน 70 ไร่, ชุมชนริมคลองวัดสะพาน และชุมชนพัฒนาใหม่ นอกจากนี้ยังพบกระจายอย่างรวดเร็วไปยัง ชุมชนเคหะบ่อนไก่ และชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ โดยผู้ติดเชื้อรายแรกที่พบในสลัมแห่งนี้ มีอาชีพเป็นพนักงานสถานบันเทิงเกี่ยวโยง “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ต้นตอระบาดระลอกใหม่  

 ขณะเดียวกันยังพบว่าผู้ติดเชื้อโควิด – 19 กระจายตัวไปยังชุมชนแออัดหลายพื้นที่ จากจำนวนชุมชนแออัด 680 จุดทั่วกรุงเทพฯ พบมากใน เขตห้วยขวาง เขตดินแดง เขตบางเขน เขตวัฒนา เขตจตุจักร 

ต้องยอมรับว่า วิกฤตโรคระบาดฉายภาพความรุนแรงซ้ำเติมปัญหา   “ชุมชนแออัด”  โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ  “สลัมคนเมือง”  อ้างอิงข้อมูลจากสำนักพัฒนากรุงเทพมหานคร ปี 2564 สัดส่วนของชุมชนแออัด คิดเป็น 31.8 % ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดของชุมชนประเภทต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ

กล่าวสำหรับ  “สลัมคลองเตย” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะชุมชนแออัดเก่าแก่แหล่งใหญ่ ตั้งอยู่บนที่ดินของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บริเวณท่าเรือคลองเตยริมแม่น้ำเจ้าพระยามานมนานกว่า 5 ทศวรรษ ถือกำเนิดในช่วงที่ประเทศไทยเดินเครื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกๆ

โดยรัฐเร่งผลักดันอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า ท่าเรือคลองเตยกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากในการขนถ่ายสินค้า ต่อมาแรงงานกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานบนที่ดินของ กทท. ปักหลักยึดครองเป็นที่อาศัยเพราะไม่มีที่ไป เรียกว่าเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ทำให้เกิดชุมชนคลองเตยขึ้นมา

สำหรับ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นอกจากเป็นที่ตั้งของท่าเรือกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำที่ติดต่อกับต่างประเทศ เป็นแหล่งเศรษฐกิจการค้าตามแนวถนนสุขุมวิท ยังมีการแทรกตัวชุมชนแออัดขนาดใหญ่ จำนวน 40 ชุมชน ตามข้อมูลในทะเบียนมีประชาชนอาศัยอยู่ในชุมชนคลองเตย 80,000 คน แน่นอนว่าในความเป็นจริงอาจจะมากกว่า ลักษณะบ้านเรือนเป็นชุมชนแออัด ปลูกที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เมื่อมีการติดเชื้อจึงกระจายไปทั่ว

ตั้งแต่ไหนแต่ไร “สลัมคลองเตย” เป็นเงาสะท้อนในการจัดการปัญหาชุมชนแออัดของประเทศไทย มีการผนึกกำลังของ  “เครือข่ายสลัม 4 ภาค” เรียกได้ว่าคัดง้างการใช้อำนาจไม่ชอบธรรมของรัฐ โดยเฉพาะเรื่องจัดการปัญหาที่ดิน

ล่าสุด ช่วงปลายปี 2563 เครือข่ายสลัม 4 ภาค เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องรัฐให้หยุดละเมิดสิทธิ หยุดคุกคามประชาชน โดยให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อสร้างหลักประกันในการเข้าถึงที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยของพวกเขา ใน 3 ด้านหลัก คือ

1. ด้านการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน จะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนพัฒนา รวมถึงให้มีการแบ่งปันที่ดินสำหรับที่ดินของรัฐ และนำนโยบายโฉนดชุมชนและธนาคารที่ดินมาใช้รับรองสิทธิ

2. ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิต ให้เพิ่มประเภทสหกรณ์ที่สอดคล้องกับการดำเนินการที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านมั่นคง ต้องสนับสนุนศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และสนับสนุนให้เกิดระบบบำนาญแห่งชาติ

และ 3. ด้านสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความเห็น และใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ให้ภาครัฐหยุดละเมิดสิทธิและหยุดคุกคามประชาชน และต้องสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกัน การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมการพัฒนาพื้นที่ชุมชนแออัดแห่งนี้ เปลี่ยนภาพลักษณ์  “สลัมคลองเตย”  เป็น “สมาร์ท คอมมูนิตี้ (Smart Community)” ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ชาวชุมชนในพื้นที่ ทุ่มงบประมาณทั้งสิ้น 8,417 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 – 2573

ตามแผนการก่อสร้าง สมาร์ท คอมมูนิตี้ ประกอบด้วย 3 แนวทางเลือก ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชนคลองเตย 31 ชุมชน เลือกรับสิทธิประโยชน์ได้ครอบครัวละ 1 สิทธิ ดังนี้

1. สิทธิห้องชุดขนาด 33 ตารางเมตร ในโครงการ เพื่ออยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่อยู่เดิม โดยอาจจะเก็บค่าเช่าในอัตราเดียวกับการเช่าพื้นที่ของกรมธนารักษ์ในสัญญาระยะยาว 30 ปี 2. สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินเปล่า 1 แปลง ขนาด 19.5 ตารางวา ย่านหนองจอก มีนบุรี มูลค่าแปลงละ 200,000 บาท จำกัดจำนวน 2,140 แปลง และ 3. สิทธิเงินทุนพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อใช้กลับไปใช้ชีวิตที่ภูมิลำเนาเดิมของตนเอง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาจำนวนเงินที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ตามข้อมูลพบว่า มี 50% ที่ต้องการรับสิทธิอยู่อาศัยในโครงการ อีก 30% ต้องการรับสิทธิเป็นที่ดินย่านหนองจอก-มีนบุรี และอีก 20% ต้องการรับสิทธิเงินทุนเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิม ขณะเดียวกัน กทท. ดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากร พร้อมทั้งมีการสำรวจออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เพื่อดำเนินการตามแผนงาน

ความคืบหน้าล่าสุด  นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผลการติดตามการดำเนินงานของท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) หลังจากได้มอบนโยบายให้ ทกท. เร่งพัฒนาเป็นท่าเรืออัตโนมัติในโครงการ Smart Port พร้อมเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือท่าเรือสีเขียว (Green Port) และกวดขันการให้เป็นท่าเรือสีขาว ที่ปลอดสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติด

รวมทั้ง ความคืบหน้าของโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย Smart Community ซึ่งทาง ทกท. อยู่ระหว่างลงสำรวจพื้นที่และประชากรในชุมชนคลองเตย คาดว่าแล้วเสร็จช่วงครึ่งปีแรกปี 2564 ส่วนการดำเนินการออกแบบคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือน ส.ค. 2564 และมีเป้าหมายตอกเสาเข็มต้นแรกในปี 2566

สำหรับ สมาร์ท คอมมูนิตี้ จะตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ซอยตรีมิตร ติดถนนริมทางรถไฟสายเก่า ด้านหลังติดริมคลองพระโขนง ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 4 อาคาร ความสูง 25 ชั้น ชั้นที่ 1-5 เป็นที่จอดรถ ชั้นที่ 6-25 เป็นห้องพักอาศัย ขนาดห้อง 33 ตารางเมตร อาคารละ 1,536 ยูนิต รวม 6,144 ยูนิต มีลิฟต์โดยสาร อาคารละ 4 ตัว ลิฟต์ดับเพลิง อาคารละ 2 ตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบดูแลความปลอดภัยด้วยคีย์การ์ดเข้า-ออก

นอกจากนี้ยังมีอาคารส่วนกลางที่เป็นสถานที่ราชการ สำนักงานต่าง ๆ พื้นที่ให้เช่าภายในอาคาร พร้อมด้วยอาคารจอดรถส่วนกลาง อาคารตลาดหรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เช่าขายสินค้า (Community Mall) โรงเรียน อาคาอเนกประสงค์อื่น ๆ และพื้นที่สีเขียว

 สำหรับภาพฝัน “สลัมคนเมือง” สู่ “สมาร์ท คอมมูนิตี้” จะเป็นจริงภายใน 10 ปีนี้หรือไม่? คงต้องติดตามกันยาวๆ แต่สิ่งที่รอไม่ได้คือการหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ชุมชนแออัดโดยเร็วที่สุด 

 สุดท้าย การจัดการชุมชนแออัดและการรับมือสถานการณ์โรคระบาด นับเป็นปัญหาคนละเรื่องเดียวกันเป็นวิกฤตความท้าทายศักยภาพของรัฐบาลไทย 




กำลังโหลดความคิดเห็น