xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บัญชีเงินฝากคนไทย “รวยกระจุก จนกระจาย” แนะล้วงตังค์ “เศรษฐี” กระตุ้น “จีดีพี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ดูผิวเผินเหมือนว่าคนไทยมีฐานะพอมีอันจะกินกันถ้วนหน้า ถ้าฟังจาก “รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์” ที่ว่ามีเงินฝากในบัญชีกว่า 4-5 แสนล้าน ให้เอามาช่วยกันใช้จ่ายกระตุ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจกันดีกว่า ทว่าหากดูไส้ในก็อย่างที่รู้กันดีว่าสังคมไทยสุดเหลื่อมล้ำ “รวยกระจุก จนกระจาย” คนไทยเกือบทั้งประเทศมีเงินฝากในบัญชีไม่ถึง 5 หมื่นบาท ซึ่งสำรองไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน ขืนควักมาใช้โดยไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะโงหัวได้เมื่อไหร่ เดือดร้อนขึ้นมาชีวิตพังแน่ ไม่นับ “หนี้ครัวเรือน” ที่อยู่ในสภาพท่วมหัว 


จู่ๆ ดรีมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นำโดย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ออกมาเรียกแขกแบบไม่ตั้งใจ โชว์วิสัยทัศน์กระตุ้นเศรษฐกิจสู้ภัยโควิด-19 ชนิดที่ได้ก้อนอิฐปากลับมาล้นหลาม ความที่เห็นตัวเลขเงินในบัญชีเงินฝากโดยรวมแล้วตาโต

รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์สื่อว่า รัฐบาลต้องการให้คนที่มีเงินฝากจำนวนมากออกมาใช้จ่ายช่วยชาติ โดยจะมีแรงจูงใจให้กับคนที่มีเงินฝาก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นมาตรการในลักษณะคนละครึ่ง หรืออาจจะเป็นคนละเสี้ยวคนละค่อน เพราะขณะนี้พบตัวเลขในบัญชีเงินฝากของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นหลายแสนล้านบาท หรือประมาณ 5-6 แสนล้านบาท หากอยากให้จีดีพีเป็นไปตามเป้าที่ 4% คนไทยก็ต้องช่วยกันออกมาใช้จ่าย ช่วยกันบริโภค ซึ่งยอดเงินฝากนี้ หากเปลี่ยนเป็นจีดีพี ก็จะอยู่ที่ 3% หากมีการใช้จ่ายเพียงแค่ 1 ใน 3 หรือครึ่งหนึ่งของยอดเงินดังกล่าว จะมีส่วนช่วยผลักดันตัวเลขจีดีพีได้มากถึง 1%

 “หากได้ยอดการใช้จ่ายส่วนนี้มาช่วย จะมีส่วนช่วยผลักดันตัวเลขจีดีพีได้มากถึง 1% เมื่อรวมกับการประเมินจากภายนอกว่าเศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ 2.7% ก็จะทำให้ตัวเลขจีดีพีทั้งปีเป็นไปตามเป้า 4% ได้ อยากให้คนไทยกลุ่มนี้รักประเทศไทยและต่างมาช่วยกันใช้จ่าย มีความใจบุญเอื้ออาทร ร่วมดูแลคนที่ด้อยโอกาสกว่า ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว 

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้นั้น หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โปรยยาหอมว่า ในเดือนพฤษภาคม 2564 จะได้รับอนุมัติและมีผลบังคับใช้ในเดือนถัดไป โดยแหล่งเงินงบประมาณที่ใช้จะมาจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท ยังไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม

ปฏิกริยาตอบกลับคำเชิญชวนใช้เงินออมกระตุ้นเศรษฐกิจของ “รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์” จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโลกโซเซียล เพราะอย่างที่รู้กันว่าเวลานี้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ล้วนต่างตกอยู่ในสภาพเดือดร้อนแสนสาหัสถ้วนหน้า เงินทองจับจ่ายใช้สอยขาดมือ หนี้สินครัวเรือนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เงินที่มีในบัญชีที่เก็บหอมรอมริบไว้มีเพียงน้อยนิดเผื่อฉุกเฉินเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น คนติดเชื้อหลักพัน คนเสียชีวิตหลักสิบในแต่ละวัน ตกงานกันเป็นเบือ นับเป็นวิกฤตที่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ในกระแสเสียงสะท้อนกลับ หนึ่งในนั้นมาจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เป็นการสวนหมัดหนักกลับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “นายกฯลุงตู่” แบบเนื้อๆ เน้นๆ โดยหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ก “กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij” ต่อเรื่องที่รองนายกฯ สุพัฒน์พงษ์ เสนอให้ประชาชนนำเงินออมออกมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่า “อ่านข่าวเรื่องนี้แล้ว ผมไม่แปลกใจที่แนวคิดของท่านหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถูกวิพากษ์วิจารณ์ ...”

กรณ์ระบุว่า “ปัญหาคือชาวบ้านที่เก็บเล็กผสมน้อยมาทั้งชีวิต เขาไม่เข้าใจว่า การบอกให้เขาเอาเงินออมออกมาจ่ายตลาด หรือซื้อของจากเซเว่นเพื่อดันตัวเลข GDP ให้สูงขึ้นนั้น จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร หลายคนจึงผิดหวัง และไม่เข้าใจแนวความคิด เมื่อได้ฟังท่านรองนายกฯ แถลงรายละเอียดเพิ่มเติมแล้วก็ยังคาใจ ยิ่งพอดูตัวเลขเงินออมบ้านเราที่กระจุกตัวมาก คนไทยเกือบทั้งประเทศมีเงินในบัญชีไม่ถึง 50,000 บาท/คน ส่วนคนรวยเพียง 0.07% มีเงินฝากรวม 3 ล้านล้านบาท เฉลี่ยบัญชีละ 48 ล้านบาท (ท่านรองนายกฯ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ตามที่ท่านรายงานเงินฝากกับ ป.ป.ช. ไว้ที่ 54 ล้านบาท ซึ่งผมก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านจะเอาเงินออมของท่านออกมาใช้จ่ายช่วยชาติเท่าไร และใช้อย่างไร)

ดังนั้น หากคิดจะกระตุ้นการรักชาติ (หรือกระตุ้น GDP) ผมขอให้ท่านมุ่งเป้าไปที่ “บัญชีคนรวย” ไม่กี่คนในประเทศ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินไม่ถึง 1 ล้านบาทในบัญชี ควรเก็บไว้เป็นเงินออม เป็นเงินฉุกเฉินยามวิกฤต เอาไว้ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ หรือเอาไว้เลี้ยงตัวเองในยามแก่จะดีกว่า ส่วนคนรวย โดยพฤติกรรมแล้วก็อย่าหวังว่าเขาจะออกมาบริโภคเพิ่มเติมมากนัก ไม่ได้กินใช้เยอะขึ้น คงไม่ได้ต้องจ่ายตลาดมากขึ้น แต่น่าจะเอาไปซื้อหุ้น หรือบิตคอยน์ เสียมากกว่า

นโยบายที่ดีที่ควรจะเร่งทำวินาทีนี้ คือ การกระตุ้นให้คนหรือเอกชนที่มีสตางค์เอาเงินออกมาลงทุน และต้องลงทุนในลักษณะที่นำไปสู่การสร้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้เพิ่มเติมแก่คนส่วนใหญ่ในระบบ นี่คือหน้าที่ที่ฝ่ายบริหารต้องเร่งปฏิบัติโดยเร็วที่สุด

ส่วนการบริโภคนั้น รัฐอย่าไปผลักภาระให้ประชาชนในยามยาก หนี้ครัวเรือนเราสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว และเงินออมของคนไทยก็ไม่เพียงพอต่อการรักษาคุณภาพชีวิตของเขาในวัยชรา การบริโภคต้องมาจากสามแหล่งหลัก 1 - รายได้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้น 2 - กำลังซื้อจากนอกประเทศ และ 3 – การใช้เงินของรัฐในการสร้างกำลังซื้อให้ประชาชน ....”

การออกมาฉะกลับของหัวหน้าพรรคกล้า สะท้อนถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยในเวลานี้ต่างยากลำบากกันถ้วนหน้า ยิ่งถ้าขยายความถึงสภาพ “หนี้ครัวเรือน” ที่สูงเป็นประวัติการณ์ก็จะเห็นความหนักหนาสาหัสที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาเบาบางลง แล้วจะให้ประชาชนเอาเงินออมหรือเงินรายได้จากที่ไหนมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามคำเรียกร้องของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลลุง

 เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกรายงานเปิดเผยระดับหนี้ครัวเรือน ปิด ณ สิ้นปี 2563 ว่าทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 18 ปี ทะลุ 14 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% เมื่อเทียบกับจีดีพีปี 2563 โดยอัตราการเติบโตของหนี้ที่พบว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนปี 2563 เพิ่มขึ้น 3.9% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี สะท้อนว่าผู้กู้และผู้ปล่อยกู้ต่างระมัดระวังในการก่อหนี้ช่วงที่กิจกรรมเศรษฐกิจหยุดชะงักจากผลกระทบของโรคโควิด-19 อีกทั้งยังต้องข้อสังเกตว่า กลุ่มครัวเรือนที่จำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน และสถานะทางการเงินอ่อนแอลงตามทิศทางเศรษฐกิจ 

สำหรับแนวโน้มในปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวขึ้น น่าจะทำให้เงินกู้ยืมของภาคครัวเรือนปีนี้ มีโอกาสเติบโตขึ้นสูงกว่าปี 2563 ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ขยับสูงขึ้นมาอยู่ในกรอบประมาณ 89.0-91.0% ต่อจีดีพี ซึ่งภาครัฐคงต้องหันกลับมาดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง เมื่อวิกฤตโควิด-19 สิ้นสุดลง

ขณะเดียวกัน ในการแถลงภาวะสังคมไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ระบุว่า จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนช่วงครึ่งปี 2563 พบว่า ครัวเรือนมีรายได้ 23,615 บาท ปรับตัวลดลงจากปี 2562 ที่มีรายได้ 26,371 บาท หรือมีรายได้ลดลงร้อยละ 10.45 ขณะที่หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 13.77 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 โดยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 86.6 เพิ่มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลของการแพร่ระบาดของ COVID-19

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนลดน้อยลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศล่าช้าออกไป เพิ่มความเสี่ยงทางการเงินของครัวเรือนหรือรายได้ของครัวเรือนหดหาย สภาพัฒน์ ได้เสนอแนะต่อรัฐบาลว่า การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระลอกใหม่อาจต้องมุ่งเน้นไปยังครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย เพราะมีสัดส่วนภาระหนี้สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ตามผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจของสังคมไทยช่วงครึ่งปี 2563

 หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยในแนวคิดของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายสุพัฒนพงษ์ จำต้องออกมาแก้ต่างเพื่อความกระจ่างแจ้งว่าไม่ได้บังคับใคร และโทษว่าสื่อนำคำพูดของตนเองไปสื่อสารให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด การเลือกเอาเฉพาะข้อความที่ว่า “ขอให้คนรักชาตินำเงินฝากที่เก็บไว้ไปใช้จ่าย” และใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) ซึ่งเป็นคำพูดเพียงสั้นๆ คงเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน 

รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ จึงขออธิบายความอีกครั้งว่า “อยากทำความเข้าใจกับทุกคนว่า ทุกประเทศในยามนี้ สิ่งที่จะรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจได้คือการบริโภคในประเทศ และเราพบว่าเงินฝากของภาคเอกชนที่อยู่ในระบบเงินฝากเพิ่มมากขึ้นหลายแสนล้านเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติโควิด-19 เหมือนกัน รัฐบาลจึงตระหนักว่าถ้านำเงินส่วนนี้มาช่วยกันจะเกิดเงินหมุนเวียนในประเทศ ไม่ใช่การบังคับ แต่จะมีมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนที่มีเงินฝากนำเงินที่เกินมาไปใช้ในการอุปโภคบริโภคและลงทุน ตรงนี้จะมีส่วนให้ประเทศไทยเรามีศักยภาพที่ดีขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็เห็นอกเห็นใจกัน อยากให้สื่อทำความเข้าใจตรงนี้ เพราะการที่เขียนเครื่องหมายอัศเจรีย์ หมายความว่ายังไม่เข้าใจ”

ประชาชนคนไทยมีเงินฝากกันมากน้อยแค่ไหน “รวยกระจุก จนกระจาย” เพียงใด มาดูตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สื่อต่างๆ นำมาเผยแพร่ โดยยอดคงค้างเงินรับฝากของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนภายในประเทศ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า มี “บัญชีออมทรัพย์”  ทั้งหมดกว่า 97.12 ล้านบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 85.63 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท รองลงมาเป็นบัญชีที่มีเงินอยู่ระหว่าง 50,000 - 100,000 บาท ที่มีอยู่ราว 3.7 ล้านบัญชี และบัญชีที่มีเงินอยู่ระหว่าง 100,001 - 200,000 บาท มีอยู่ราว 2.9 ล้านบัญชี

ขณะที่บัญชีที่มีเงินฝากเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 5,437 บัญชี โดยมีเงินอยู่ในช่วง 100 - 200 ล้านบาท มีบัญชีออมทรัพย์ 2,858 บัญชี รวมเป็นเงิน 389,673 ล้านบาท, เงินฝากอยู่ในช่วง 200 - 500 ล้านบาท มีบัญชีออมทรัพย์ 1,713 บัญชี รวมเป็นเงิน 518,891 ล้านบาท ส่วนที่มีเงินฝากเกิน 500 ล้านบาท มีบัญชีออมทรัพย์ 866 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,564,317 ล้านบาท

ข้อมูลล่าสุด ณ กุมภาพันธ์ 2564 ระบุว่ามี “จำนวนเงินออมทรัพย์”  ทั้งหมดราว 9.63 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่กว่า 2.69 ล้านล้านบาทนั้น อยู่ในกลุ่มของบัญชีที่มีเงินออมทรัพย์อยู่ในช่วงตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป จนถึง 10 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มบัญชีที่มีเงินออมทรัพย์ 500 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีอยู่ 866 บัญชี มีเงินออมทรัพย์รวมกันราว 1.5 ล้านล้านบาท

ขณะที่  นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลูกทีมเศรษฐกิจ ออกมาทำหน้าที่เป็นตัวช่วย โดยอธิบายต่อสังคมว่า แนวทางดึงเงินออมมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยมีอยู่หลายแนวทาง เช่น การจูงใจให้คนมีเงินออมออกมาใช้จ่าย ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนเป้าหมายเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 4% ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ ดูจากตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขการท่องเที่ยวเดือนเมษายนก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ก็ยังดีอยู่ จึงต้องติดตามการแพร่ระบาดว่าจะควบคุมได้รวดเร็วหรือไม่อย่างไร โดยจะประเมินกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน นายอาคม ยืนยันว่า รัฐบาลยังมีงบประมาณเยียวยาดูแลและบรรเทาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ เกือบ 400,000 ล้านบาท จาก พ.ร.ก. กู้เงิน และงบกลาง ถือว่ามีเพียงพอไม่ต้องออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม โดยกระทรวงคลัง จะพิจารณาออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ผ่านมาแคมเปญ โครงการคนละครึ่ง ประชาชนก็ให้ความสนใจ และเรียกร้องขอให้ออกเฟส 3 ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณาอีกครั้ง

 สภาพความจริงของรายได้ประชาชนคนไทยที่ชัดเจนว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” เช่นนี้ คงทำให้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลลุง เล็งเป้าได้ถูกต้องว่าน่าจะควักกระเป๋าเงินออมจากกลุ่มไหนมากระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้จีดีพีเติบโตตามเป้าหมาย 


กำลังโหลดความคิดเห็น