คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
“บุคคลทุกคน (ต้องไม่ใช่ควร) เป็นเจ้าของประเทศร่วมกันตามครรลองแห่งประชาธิปไตย อัตตาธิปไตยและคณาธิปไตย เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ยุวชนทั้งหลายจะรู้และคิดถึงการปกครองในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งในโลก ผมเป็นมนุษย์เพียงคน “เดียว” เท่านั้น แต่ผมก็เป็นมนุษย์คน ‘หนึ่ง’ ซึ่งทรงสิทธิ์เท่าเทียมกับคนทั้งหลาย ซึ่งวัยมิใช่สิ่งที่จะมากีดกั้น มีคำกล่าวไพเราะจับใจยิ่งนักว่า ‘เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า’ แต่อนิจจา เด็กวันนี้ก็คือเด็กในวันหน้าอยู่นั่นเอง ความอาฆาตพยาบาท การจองเวร การถือศักดิ์ตระกูล ความมั่งคั่ง ควรจะมีซากเหลืออยู่อีกหรือในโลกนี้ จากการอภิปรายในโคเบอร์เฮ้าส์ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างกว้างขวางในหัวใจทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิทธิการปกครอง เช่น คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตลอดจนเผด็จการ ปัญหากรณีระหว่างประเทศ เช่น สิทธิทางทะเลของอังกฤษกับไอซ์แลนด์ สหภาพยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง การแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ การชิงชังระหว่างชาติเอกราชใหม่ๆ ในแอฟริกากับสหภาพแอฟริกาใต้ สนธิสัญญาต่างๆ นโยบายต่างประเทศ เป็นต้น ในฐานะประชาชนชาวไทยรู้สึกเช่นไรกับกรณีเช่นนั้น ผมพยายามทำความเข้าใจกับตัวเองและเพื่อนๆ ว่า เยาวชนทั้งหลายซึ่งถือกำเนิดมาในโลกนี้หาใช่ทาสของอคติการชิงชังระหว่างชาติหรือประวัติศาสตร์ ซึ่งก่อให้เกิดความพยาบาท อาฆาต กระเหี้ยนกระหือรือเข้าต่อสู้กันไม่ เราต้องเป็นตัวของเราเอง....”
หลายคนอาจจะคิดว่าข้อความข้างต้นมาจากเยาวชนไทยในปัจจุบันที่ออกมาขับเคลื่อนเรียกร้องต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง เอาเฉพาะแค่ข้อความที่ว่า “บุคคลทุกคน (ต้องไม่ใช่ควร) เป็นเจ้าของประเทศร่วมกันตามครรลองแห่งประชาธิปไตย อัตตาธิปไตยและคณาธิปไตย เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ยุวชนทั้งหลายจะรู้และคิดถึงการปกครองในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งในโลก ผมเป็นมนุษย์เพียงคน ‘เดียว’ เท่านั้น แต่ผมก็เป็นมนุษย์คน “หนึ่ง” ซึ่งทรงสิทธิ์เท่าเทียมกับคนทั้งหลาย ซึ่งวัยมิใช่สิ่งที่จะมากีดกั้น” ก็ดูจะสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่เป็นเยาวชนและ “ไม่เยาวชน” จำนวนหนึ่งในปัจจุบัน
ยิ่งคำว่า “อัตตาธิปไตย คณาธิปไตย” แล้ว ยิ่งสมสมัยเป็นอย่างยิ่ง !
แต่อย่างที่กล่าวไปในตอนที่แล้ว ข้อความนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อเขียนเรื่อง “โลกแห่งภราดรภาพ” ของ “หรวด” พิสิษฐ์ศักดิ์ สุพรรณเภสัช นักเรียนอายุ 16 ปีจากโรงเรียนวชิราวุธรุ่นพี่อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวนิชหนึ่งปี (ผมรู้จัก หรวด ผ่านอาจารย์ชัยอนันต์ !)
หรวด ส่งข้อเขียนนี้ไปให้กระทรวงศึกษาธิการ หลังจากที่เขาสอบชิงทุนของ หนังสือพิมพ์ New York Herald Tribune ไปประชุมในฐานะผู้แทนนักเรียนไทย ณ สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 เดือน
ผมอยากจะนำข้อความที่เหลือของเขาให้ได้ผู้อ่านได้อ่านกัน
“เยาวชนทั้งหลายซึ่งถือกำเนิดมาในโลกนี้หาใช่ทาสของอคติการชิงชังระหว่างชาติหรือประวัติศาสตร์ ซึ่งก่อให้เกิดความพยาบาท อาฆาต กระเหี้ยนกระหือรือเข้าต่อสู้กันไม่ เราต้องเป็นตัวของเราเองและทำความเข้าใจกับผู้อื่นอย่างฉันมิตร ความรู้สึกระหว่างชาตินั้นเป็นของโบราณ ซึ่งถึงเก็บไว้ก็เป็นเสนียดแก่พิพิธภัณฑ์ เราทุกคนควรจะฝังมันเสียพร้อมๆ กับกาลเวลาที่ผ่านไป สิ่งเหล่านั้นหาได้เป็นประโยชน์อันใดไม่ นอกจากความขมขื่น ความกระหายเลือด ความทารุณ ความพยาบาทอันเหลือเป็นซากเป็นรอยช้ำอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน ‘เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร’ นี่คือสัจธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งทั้งโลกต้องยอมรับความชิงชังแตกร้าวนั้น หาใช่เรื่อที่เยาวชนก่อขึ้นไม่ หากแต่เป็นสิ่งสะท้อนของสังคม ซึ่งไม่เพียงแต่ย้อมหรือล้างสมองของเยาวชนเท่านั้น หาก ‘ยัด’ ลงไปอย่างลึก ถึงเวลาแล้วที่เราต้องให้การศึกษาทุกคนให้ถอนรากนั้นออกให้สิ้น การศึกษาเพื่อความรักชาติมิใช่ความหลงชาติ และการยอมรับความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น…..เรานั้นแตกต่างกันและแน่นอนที่สุด ความแตกต่างเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีแรงที่ต่างกันกระทำในทางตรงข้ามแล้ว เพลาจะหมุนไม่ได้เลย เมื่อทราบว่าผู้อื่นแตกต่างแล้ว เราก็ต้องน้อมรับเอาไว้ มิใช่พยายามยัดของเราไปให้เขาโดยจงใจ สงครามที่เกิดขึ้นก็คือ ความทระนงของมนุษย์ที่คิดว่า ‘ข้าฯ เท่านั้นที่ถูก’ ไม่เคยคิดว่าคนอื่นก็ถูก เพราะเขาแตกต่างจากข้าฯ...”
ในขณะที่ “หรวด” กล่าวว่า “เยาวชนทั้งหลายซึ่งถือกำเนิดมาในโลกนี้หาใช่ทาสของอคติการชิงชังระหว่างชาติหรือประวัติศาสตร์ ซึ่งก่อให้เกิดความพยาบาท อาฆาต กระเหี้ยนกระหือรือเข้าต่อสู้กันไม่” เขาน่าจะกำลังคิดถึงสงครามโลกครั้งที่สองที่เพิ่งยุติไปในปี พ.ศ. 2488 และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคสงครามเย็นที่เป็นการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์คอมมิวนิสต์กับทุนนิยม (เสรีนิยม)
หรวดเขียนบทความนี้ในปี พ.ศ. 2501 หลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง 13 ปี แต่ตอนนั้น หรวดอายุได้ 16 แปลว่าเขาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสามปี แม้ว่าเขาจะยังเด็กมากก็ตาม แต่เขาโตและรู้ความมาในยุคสงครามเย็นแน่นอน และจากการที่เขาเป็นนักอ่านและนักคิด ทำให้เขาเข้าใจถึงแก่นของปัญหาที่ทำให้เกิดสงครามโลกและสงครามเย็นที่เกิดขึ้นตามมา นั่นคือ สงครามโลกเกิดจากปัญหาที่เกิดจาก “อคติการชิงชังระหว่างชาติหรือประวัติศาสตร์” และสงครามเย็นมีส่วนที่เกิดจาก “ปัญหาสิทธิการปกครอง เช่น คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตลอดจนเผด็จการ” ดังที่ หรวด ได้กล่าวไว้ในบทความของเขา
ทีนี้ เราลองมาสมมุติดูว่า มีเด็กที่เกิดปี พ.ศ. 2546 พอสามขวบ พวกเขาก็เริ่มเห็นความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณที่มีคนเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยจะรู้ความก็ตาม แต่พวกเด็กเหล่านี้จะเติบโตมาท่ามกลางความขัดแย้งสีเสื้อ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ นปก. นปช. เสื้อหลากสี (สลิ่ม) ซึ่งหลายๆ บ้าน คนในครอบครัวจะตีกันเอง พวกเด็กๆ เหล่านี้น่าจะงงๆ และเบื่อหน่ายด้วย และพอถึงปี พ.ศ. 2556-57 พวกเขาก็อายุได้ 10-11 ขวบ กำลังเข้าวัยรุ่น เขาก็เจอกับวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองที่ระบาดไปทั่วท่ามกลางกระแส กปปส. และ นปช. ที่รุนแรงอย่างยิ่งยวด และทุกอย่างก็จบลงด้วยการทำรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ที่ให้สัญญาว่าจะคืนความสุขให้กับคนไทยทุกคน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้โตมาในยุคสงครามเย็นและสงครามโลกเพิ่งสิ้นสุดไปอย่างในกรณีของหรวด แต่เขาก็โตมาท่ามกลาง “สงครามย่อยๆ” ที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา แต่จากวัยและประสบการณ์จึงทำให้พวกเขามีวิธีคิดและโลกทัศน์ที่ไม่ต่างจากความคิดของหรวดที่ปรากฏในบทความ “โลกแห่งภราดรภาพ”
แต่ที่แตกต่างกันคือ สมัยของหรวด ไม่มีบรรดาผู้ใหญ่ที่คอยอยู่เบื้องหลังสนับสนุนให้ออกไปเป็นแนวหน้าในการชุมนุมประท้วง และสมัยนั้นยังไม่มีสื่อโซเชียลที่มีอิทธิพลในการครอบงำยัดเยียดชุดความคิดด้านเดียว และที่สำคัญคือ ในชุดความคิดด้านเดียวนั้นยังมีความเท็จแฝงอยู่ในรูปของงานวิชาการที่น่าเชื่อถือ
และที่สำคัญคือตอนที่ หรวด อายุ 16 ปี เขามีความคิดที่เป็นตัวของตัวเองและยังเห็นความสำคัญของ “การยอมรับความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น…..เรานั้นแตกต่างกันและแน่นอนที่สุด ความแตกต่างเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีแรงที่ต่างกันกระทำในทางตรงข้ามแล้ว เพลาจะหมุนไม่ได้เลย เมื่อทราบว่าผู้อื่นแตกต่างแล้ว เราก็ต้องน้อมรับเอาไว้ มิใช่พยายามยัดของเราไปให้เขาโดยจงใจ สงครามที่เกิดขึ้นก็คือ ความทระนงของมนุษย์ที่คิดว่า ‘ข้าฯเท่านั้นที่ถูก’ ไม่เคยคิดว่าคนอื่นก็ถูก เพราะเขาแตกต่างจากข้าฯ...”
อันนี้ น่าจะเป็นคติเตือนใจสำคัญสำหรับทุกคนขณะนี้ มิฉะนั้นแล้ว พวกเด็กที่กำลังโตขึ้นมาในขณะนี้ ก็จะรู้สึกแบบเดียวกันนี้อีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า