ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่า “ระลอก 3” ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำเอา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกอาการเมาหมัด ดูเป็นคนละคนกับ “ท่านผู้นำ” ที่เคยยืดอกพกความมั่นใจมาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
ดูได้จาก “ภาษากาย” ของ “นายกฯตู่” ในการแถลงข่าวหลังประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เมื่อ 16 เม.ย.64 ที่ออกมาแบบ “ดูไม่จืด”
จน ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้าน-เกรียนคีย์บอร์ด ไล่ถล่มกันเพลิน กรณีที่ “บิ๊กตู่” พูดผิดๆถูกๆ ลิ้นพันกัน ฟังไม่ได้ศัพท์ กระทั่งเจ้าตัวต้องออกมาเอ่ยปากขอโทษด้วยตัวเอง คิดหลายเรื่องในสมอง
ไม่เท่านั้นการระบาดระลอกที่ 3 ทำเอาแผนการที่รัฐบาลวางไว้ตั้งแต่การระลอกแรกถึงกับ “พังครืน” ไม่ว่าจะตำแหน่งเบอร์ต้นของโลกด้านสาธารณสุขที่นานาชาติเคยยกย่อง หรือการจัดหาวัคซีนที่เคยนำหน้าชาติอื่นหลายช่วงตัว ก็กลายเป็นวางยุทธศาสตร์ผิดพลาด โรงพยาบาลสนามก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ด้วยเพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เคยสะกดอยู่ กลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีประเด็นวัคซีนเป็นรายวัน ไม่เว้นกระทั่ง “เสี่ยโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หนีคดี ที่ต่อสายคลับเฮาส์มาร่วมรุมประชาทัณฑ์แบบถี่ยิบ
ทำให้ “รัฐบาลประยุทธ์” จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่อย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้น “เรือเหล็ก” ที่เคยแข็งแกร่ง อาจต้องพังพาบให้กับ “มรสุมโควิด”
แต่ในขณะที่ “เสริมจุดแข็ง” ก็ต้องไม่ลืมที่จะ “ปิดจุดอ่อน” ไปด้วย
เพราะเป็นที่รู้กันว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยทั้ง 3 ระลอก เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของ “หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย” อย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
โดย “คลัสเตอร์ใหญ่” ของการระบาดระลอกแรก มาจาก“สนามมวย-สถานบันเทิง” ระลอกที่ 2 เมื่อช่วงปลายปี 2563 คาบเกี่ยวต้นปี 2564 มาจาก “บ่อนการพนัน-แรงงานต่างชาติ”
และระลอก 3 มาจาก “สถานบันเทิง” ประเภท “ผับ-เลานจ์” ย่านทองหล่อ หรือที่ขนานนามว่า “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ที่กลายเป็นแหล่งผลิต “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” ที่แพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วทั้ง 77 จังหวัดในประเทศขณะนี้ ทำให้คนไทยต้องกลับมาอกสั่นขวัญแขวนกับไวรัสตัวร้ายอีกครั้ง
กับยอดผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่หลัก “พันกว่า” ต่อวัน ยอดการสูญเสียชีวิตที่มีต่อเนื่องทุกวัน
สร้างความเสียหายในวงกว้างอย่างถ้วนทั่วทุกวงการ การท่องเที่ยวตายแล้วตายอีก เศรษฐกิจป่นปี้ย่อยยับ กระทั่ง “รัฐบาลประยุทธ์” ต้องถูกกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์โจมตีจากทุกสารทิศ
แต่ดูเหมือนทาง “ตำรวจ” ภายใต้การนำของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะที่น่าสังเกตว่า หลังเกิด “คลัสเตอร์ทองหล่อ” กว่าที่ตำรวจจะเข้ามามีบทบาท หรือเคลื่อนไหวใดๆ ต้องรอให้เกิด “ประเด็นดรามา” ขึ้นมาเสียก่อน
ราวกับว่าทุกวันนี้การบริหาร สตช. ขับเคลื่อนโดย “โลกโซเชียลฯ”
โดยตั้งแต่เกิด “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ดูผิวเผินทางตำรวจจะมีท่าที “ขึงขัง” ด้วยการดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นผลให้ ศาลแขวงพระนครใต้ สั่งจำคุก นายชวลิต พุทธราช อายุ 30 ปี ผู้จัดการร้านคริสตัล คลับ และ นายครรชิต ซื่อบริสุทธิ์ใจ อายุ 29 ปี ผู้จัดการร้ายเอเมอรัลด์ผับทองหล่อ ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เป็นเวลาคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ขณะเดียวกันก็มีคำสั่ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) โดย พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) ลงนามคำสั่งย้าย “เสี่ยด้วง” พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ (ผกก.สน.ทองหล่อ) ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ศปก.บก.น.5) จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
โดย “ผู้กำกับด้วง” เป็นลูกเขย “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อดีต ผบ.ตร.) และมีศักดิ์เป็นหลานเขย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พี่ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่สุดใน พ.ศ.นี้
การที่เร่งรัดดำเนินคดี 2 ผู้จัดการร้าน และสั่งย้าย “ผู้กำกับด้วง” ที่มีผู้ตั้งสมญาให้ว่า “ราชบุตรเขย” ก็ถูกจับได้ไล่ทันว่า เป็นการแอ็กชันเพื่อเบรกกระแสเท่านั้น
เพราะจากนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะดำเนินการกับ “อาณาจักรคริสตัล” อันประกอบด้วยบริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด ที่เป็นเจ้าของ “ร้านมิยาบิ คัปโปะ”, บริษัท คริสตัล เคแอนด์เค จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของ “คริสตัล เอ็กคลูซีฟ คลับ ทองหล่อ 25” และบริษัท เอมเมอรัลกรุ๊ป จำกัด เจ้าของ “ร้านเอเมอรัล คลับ ทองหล่อ 13” คืบหน้าแต่อย่างใด
จนมีข้อสงสัยว่า ตำรวจน่าจะชน “ตอ” หรือไม่อย่างไร
ทั้งที่ตั้งแต่เรื่องแดงใหม่ ก็มีการขุดคุ้ยเปิดชื่อ นายเกียรติพงษ์ คำต่าย หรือ “อ๊อด มิยาบิ” ที่ถูกระบุว่าเป็น “ผู้บริหาร-ผู้ถือหุ้นใหญ่” ของทั้ง 3 บริษัท ทั้ง 3 ร้านดังกล่าวออกมาแต่ต้น
แต่กลับมีเพียงการดำเนินคดี 2 ผู้จัดการร้าน แต่กลับไม่พูดถึง “เจ้าของร้าน” แต่อย่างใด
ที่้สำคัญต้องไม่ลืมว่าคดีของ 2 ผู้จัดการร้านนั้น ถือเป็นคดีที่โทษไม่ร้ายแรง ตามปกติศาลจะเมตตาให้รอการลงโทษหรือรอลงอาญา แต่ในคำพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ระบุชัดว่า “เป็นคดีดังกล่าวกระทบความเป็นอยู่ของประชาชน ศาลจึงมีคำสั่งจำคุกทันที”
แต่แปลกที่ “ต้นทางยุติธรรม” อย่างตำรวจกลับไม่กระตือรือร้นกับการเอาเรื่อง “เจ้าของอาณาจักรคริสตัล”
ทั้งๆ ที่คดีเป็นที่สนใจ ทุกสายตาจับจ้องว่า สตช.ภายต้การนำของ “บิ๊กปั๊ด” จะดำเนินการกับเรื่องนี้อย่างไร และมี “บรรทัดฐาน” จัดการกับตำรวจที่มีส่วนต้องรับผิดชอบหรือไม่อย่างไรด้วย
หรืออาจเป็นเพราะปรากฎชื่อ “บิ๊กเม่น” พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบก.สส.สตม.) นายตำรวจคนสนิทของ “ผบ.ปั๊ด” ร่วมถือหุ้นด้วย 15% มูลค่า 6 แสนบาท ในบริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด ด้วย
โดย “บิ๊กเม่น-พันธนะ” นายร้อยตำรวจรุ่น 48 (นรต.48) ที่ว่ากันว่าเป็นระดับ “มือทำงานใกล้ชิด” ของ “บิ๊กปั๊ด” มีผลงานกวาดล้างบ่อนพนันออนไลน์อย่างหนักในช่วงต้น ก่อนที่จะ “รามือ” ไปเฉยๆในระยะหลัง จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจตัดจบภารกิจไปแล้ว
เรื่องนี้ทาง “บิ๊กเม่น” ออกมายอมรับว่า เป็นหุ้นส่วนของร้านอาหารญี่ปุ่นมิยาบิที่ตั้งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคริสตัลตามข่าวจริง โดยไม่เกี่ยวข้องกับร้านอื่นไม่ว่า “คริสตัล-เอมเมอรัล” แต่อย่างใด พร้อมกับยอมรับว่า รู้จักกับ “อ๊อด มิยาบิ” ที่เป็นเชฟร้านอาหารญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยเป็นสารวัตร และได้ชวนมาลงทุนทำร้านมิยาบิมานานกว่า 11 ปี
“ตำรวจทุกคนรู้ว่าผมทำร้านอาหารญี่ปุ่น ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขา ผมเกี่ยวข้องแค่เรื่องร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้น เรื่องอื่นผมไม่เอาด้วย ไม่ใช่แนวทางของผม” พล.ต.ต.พันธนะ ว่าไว้เช่นนั้น
เข้าใจได้ว่าการถือสถานะหุ้นส่วน “ร้านหนึ่ง” แต่ไม่มีความสัมพันธ์ “อีกร้านหนึ่ง” ไม่แปลก แต่ในเชิง “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” ของ “อ๊อด - เม่น” ไม่น่าจะตัดกันขาด โดยเฉพาะในฐานะหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ผูกพันกันว่าเกิน 10 ปี
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะเกิดเรื่อง ก็มีกระแสข่าวในทำนองว่า นายตำรวจใหญ่มักใช้สถานที่ “คลับหรูย่านทองหล่อ” เรียกมาเคลียร์ในห้องวีวีไอพีเป็นประจำ
รวมทั้งข่าวที่ว่า “นายพลตำรวจใหญ่” มักใช้ร้านอาหารญี่ปุ่นบนถนนทองหล่อเป็น “เซฟเฮ้าส์” ประชุมหารือบ่อยครั้ง และว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ก็เป็นหุ้นส่วนสำคัญของร้านอาหารญี่ปุ่น เพียงแต่ตอนหลังถอนหุ้นไป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะจะต้องล้างเท้าบ้างมือตัวเองก่อนขึ้นตำแหน่งใหญ่
แล้วยังมีเรื่องเล่าว่า ทั้ง 3 ร้าน “คริสตัล-เอเมอรัล-มิยาบิ” นั้นถือว่าแยกกันไม่ออก มี “น้องๆ” ระดับ “คุณภาพ” บริการเหมือนกัน ที่สำคัญเป็นที่รู้กันว่า ทั้ง 3 ร้าน “คริสตัล-เอเมอรัล-มิยาบิ” สามารถเรียก “เด็ก” ไปมากันได้ เพราะ “เจ้าของเดียวกัน”
หากคำว่า “เจ้าของเดียวกัน” คือ “อ๊อด มิยาบิ” ก็คงไม่แปลก เพราะปรากฎชื่ออยู่ในเอกสารตามกฎหมายอยู่แล้ว
แต่การที่มีข้อมูลระบุว่า “คริสตัล-เอเมอรัล” เป็น “เล้าจน์เถื่อน” เพราะ “ไม่มีใบอนุญาต-ปิดเกินเวลา” แต่กลับกล้าเปิดแบบเอกเกริกมาตั้งหลายปี ถึงขั้นเป็นเบอร์หนึ่งแห่ง “ถนนสายราตรี” ที่เป็นแหล่งรวบรวมสถานบันเทอง-สถานบริการระดับไฮเอนด์แห่งนี้ ย่อม “ไม่ธรรมดา”
“ไม่ธรรมดา” ถือขั้นว่าแค่ระดับ “อ๊อด มิยาบิ” คงเอาไม่อยู่
และยังมีกรณีการเปิดสถานบันเทิงนอกพื้นที่โซนนิ่ง ที่ต้องถือว่าผิดทั้งซอย แต่ “สน.ทองหล่อ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางซอยกลับไม่รู้ไม่ชี้
ไม่แปลกที่ “อ๊อด มิยาบิ” เป็นเพียง “ผู้บริหาร” ที่ออกหน้าเป็น “เจ้าของ” หรือเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” แห่งอาณาจักรคริสตัล-เอเมอรัล-มิยาบิ เท่านั้น และใต้อาณาจักรแห่งนี้มี “กลุ่มทุน” ระดับ “บิ๊ก” แฝงตัวอยู่
ทั้งที่ลงขันเป็น “หุ้นจริง” และแบบที่ถือ “หุ้นลม” แลกเปลี่ยนกับการปกป้องอาณาจักรให้ รู้กันในวงการว่า “ร้านนี้เส้นใหญ่”
ไม่แปลกที่พอมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการดำเนินคดี “เจ้าของร้าน” จากทั้งกรณีคลัสเตอร์โควิด และกรณีเปิดไม่ถูกกฎหมาย ข่าวที่ออกมาดูจะไม่ค่อยปกติเท่าไร โดยเป็น “รายงานข่าว” ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย ได้แก่ “อ๊อด มิยาบิ” นายเกียรติพงษ์ คำต่าย ในฐานะกรรมการผู้จัดการนิติบุคคลร้านคริสตัลคลับ และ นายเดชา พิลาลี ในฐานะกรรมการผู้จัดการนิติบุคคลร้านเอมเมอรัลด์ เข้าพบพนักงานสอบสวนในข้อหา "ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.สถานบริการฯ และฝ่าฝืนตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ" ที่ สน.ทองหล่อ ในวันที่ 3 พ.ค.
ทั้งที่ข่าวในลักษณะนี้ควรมีผู้ออกมาแถลงข่าวเพื่อความชัดเจน
แล้วยังมี “ขบวนการปล่อยข่าว” ในทำนอง “ก๊วน 6 ลูกไฮโซ” ที่ลอบไปเล่นบ่อนที่ประเทศกัมพูชา แล้วดลับมาเที่ยวที่ทองหล่อ เป็น “ต้นตอ” ของการแพร่เชื้อ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” มีการมโนเป็นตุเป็นตะว่ากลุ่มนั้นั่งห้องนั้นห้องนี้ เรียกเด็กกี่คนใครบ้าง
แบบนี้จับทางไม่ยาก แค่พยายามเบี่ยงเบนกระแสหา “ผู้ร้าย” แทนเลาจน์คริสตัล-เอมเมอรัล ที่เป็น “จำเลยสังคม” ในขณะนี้
อีกทั้งก่อนหน้านั้น “บิ๊กอู๊ด” พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็เพิ่งออกมาเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังพยายาม “กู้คืน” ภาพจากกล้องวงจรปิด เพราะจากการเข้าไปตรวจสอบล่าสุดไม่พบภาพที่บันทึกไว้
ตรงนี้ถือว่า “สุดคลาสสิก” กับเหตุผล “วงจรปิดเสีย” แต่ก็ไม่แปลก เพราะเป็นการเข้าตรวจสอบหลังเกิดเรื่องราว 3 สัปดาห์ เวลาทำลายหลักฐานถมเถ
ทั้งหลายทั้งปวงสร้างความฉงนสงสัยในการทำงานของตำรวจเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณี “บ่อนระยอง” ที่ทำท่าจะ “ล้มมวย” ก็ยัง “เด็ดขาด” กว่า “เลาจน์ทองหล่อ”
เพราะกรณี “คลัสเตอร์บ่อนระยอง” ในระลอกที่ 2 นั้น สตช.สั่งเด้งระนาวตั้งแต่เกิดเรื่องใหม่ ตั้งแต่สารวัตรไปจนถึงระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงหลายนาย
โดยเฉพาะ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) และ พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง ที่ถูกย้ายโดย “ขาดจากตำแหน่งเดิม” และถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง
ขณะที่ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” สร้างความเสียหายมากกว่า และผิดกฎหมายไม่รู้กี่กระทง กลับลงโทษ “ราชบุตรเขย” พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ ไปปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 โดย “ไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม” ไม่ถูกตั้งกรรมการสอบ
เป็นบรรทัดฐานที่ไร้มาตรฐานของ สตช.อย่างแท้จริง
คำถามมีว่าบรรทัดฐานบิดเบี้ยวเช่นนี้เป็นเพราะชื่อของ “ใครบางคน” ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องใน “คลัสเตอร์ทองหล่อ” เข้าอิหรอบ “ลูบหน้าปะจมูก” หรือไม่
หรือเป็นไปตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า “ใครคนนั้น” ก็แค่ “นอมินี” ออกหน้าแทนผู้เป็นนายเท่านั้น
ไม่นับรวมข้อมูลที่ได้รับการยืนยันว่า มี “นักการเมืองท้องถิ่นจากกาญจนบุรี” เป็นหุ้นส่วนลงทุนหลายสิบล้านบาทอีกด้วย
กล่าวสำหรับ “บิ๊กเม่น” หรือที่ในแวดวงตำรวจเรียกกันว่า “เม่นเล็ก” มีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจมาก โดยเหตุที่เรียกกันว่า “เม่นเล็ก” นั้นเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานอยู่ที่ “ตำรวจท่องเที่ยว” เคยเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น อดีตผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า “เม่นใหญ่” ในช่วงเวลาที่การเที่ยวเมืองไทยกำลังบูมสุด โดยเฉพาะกับทัวร์จีน ทำให้ “เม่นเล็ก” เหมือนติดปีก เพราะอยู่ในตำแหน่งพื้นที่เกรดเอ ทำเลทองอย่างเป็น “ผู้กำกับการท่องเที่ยวพัทยา” เป็นต้น
“บิ๊กเม่นเล็ก” จัดเป็นนายตำรวจนักธุรกิจที่เข้าขั้นร่ำรวย เพราะมีข้อมูลว่า ธุรกิจบาร์ญี่ปุ่นที่เขายอมรับจากปากว่ามีหุ้นอยู่ด้วยนั้น ในช่วง 3 ปีแรกคืนทุนไปหมดแล้ว โดยมีข่าวแว่ว ๆ มาว่า “อ๊อด มิยาบิ” มีเงินเก็บมากถึงหลักร้อยล้านบาทตอนที่ทำ “มิยาบิ” ส่วนจะทำเงินให้หุ้นส่วนเบอร์สอง อย่าง “บิ๊กเม่น” เท่าไหร่ก็ลองคิดคำนวณดูก็แล้วกัน
หลังจาก พล.ต.อ.ปัญญา เกษียณอายุราชการ “บิ๊กเม่นเล็ก” ก็เชื่อมต่อสายอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. คนปัจจุบัน โดยในช่วงที่ “บิ๊กปั๊ด” เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ถูกส่งให้ไปรักษาการ ผบช.ภ.2 หลังจาก “พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง” ลาออกไปเป็นวุฒิสมาชิก ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพื้นที่ทำเลทองขนาดไหน
ที่น่าสนใจคือ ในช่วง 1-2 ปีหลัง “บิ๊กเม่น” ถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก พ.ต.อ.พันธนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นมากินยศ “นายพลตรี” ที่ผู้บังคับการกองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด (ผบก.ขส.บช.ปส.) เมื่อเดือน มี.ค.63 ก่อนที่อีกไม่ถึงปีจะสไลด์มาเป็น ผบก.สส.สตม. เก้าอี้ที่นายตำรวจหลายคนหมายปอง
“บิ๊กเม่น” สร้างตัวเองว่ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสืบสวนทางเทคนิค ภาษานักสืบเรียกว่า “มีวิชาเดินเหินทางอากาศ” เคยอยู่ในศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติ และมักจะไปอยู่กับหน่วยเฉพาะกิจของสำนักงานตำรวจ โดยมี ผบ.ตร.สุวัฒน์เป็นแบ็กคอยหนุน เช่น ขอยืมตัวไปทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ “ตำรวจไซเบอร์” ในช่วงตั้งไข่ หรือการที่ “บิ๊กปั๊ด” แต่งตั้งให้เป็นหนึ่งใน “คณะทำงาน สื่อ-สร้าง-สาร” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชุดที่มี พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็น หัวหน้าคณะทำงาน ทำให้ “บิ๊กเม่น” สามารถโชว์ผลงานเป็นที่ประจักษ์เสมอๆ
ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นกับ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ที่มีส่วนพัวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่เป็นผู้หยิบชื่อ “บิ๊กปั๊ด” ขึ้นมาเสนอเป็น ผบ.ตร. น่าจะตรองให้หนัก ด้วยตลอดช่วงที่ “บิ๊กปั๊ด” เป็นผู้นำสีกากี พูดได้ว่า สตช.มีแต่ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งมาสร้างเรื่องให้ “นายกฯ ประยุทธ์” ต้องแบกรับเรื่องร้อนๆบ่อยครั้ง ตั้งแต่บ่อนระยอง มาจนถึงคลัสเตอร์ทองหล่อ
ยิ่งถ้าย้อนไปดูผลงานในอดีตก็ยิ่งเห็นชัด
ไล่เรียงไปตั้งแต่ ทันทีที่ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ก็เกิด “คดีน้องชมพู่” แต่คดีนี้ล่าสุดนอกจากดรามาชีวิต “ลุงพล” ตำรวจก็ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ จับตัวคนที่ฆ่า “น้องชมพู่” ไม่ได้ แถมยังสร้างความหดหู่ด้วยคำพูดแบบยอมจำนนว่า “บาปบุญมีจริง ท่านก็หนีได้ชั่วคราว ถ้าเหนื่อยก็ให้มาจับเข่าคุยกันดีกว่า ว่าเหตุเกิดจากอะไร” ซึ่งแค่เริ่มต้นก็ทำให้สังคมสิ้นหวังในประสิทธิภาพของตำรวจ ว่ามีหรือไม่ ?
กรณีที่สอง คดีหน้ากากอนามัยหาย คดีนี้คงจำกันได้ เป็นช่วง มี.ค. 62 ที่เชื้อโควิดกำลังเริ่มระบาด หน้ากากอนามัยหายไปอยู่ในตลาดมืดแทนที่ประชาชนจะได้ใช้ป้องกันตัวเอง กลับต้องขาดแคลน และหาซื้อมาด้วยราคาที่แพงมาก
เรื่องนี้เป็นปริศนาที่สังคมคาใจเป็นอย่างมาก กดดันให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหาคำตอบให้ประชาชน ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบทำเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดสังคมก็ไม่ได้คำตอบอะไร จาก “บิ๊กปั๊ด” ไอ้โม่งก็ยังลอยนวล
อีกกรณีคือ “คดีบอส อยู่วิทยา” โดยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ “อ.วิชา มหาคุณ” ถูกส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ ระบุชัดว่า เรื่องนี้มีการช่วยเหลือกันเป็นขบวนการ สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ นักการเมือง โดยในส่วนการดำเนินการเพื่อลงโทษตำรวจที่กระทำผิดอยู่ในมือของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” จะเอาอย่างไร ? และมีแนวโน้มจะช่วยเหลือกลบเกลื่อนความผิดของพวกพ้อง เพราะมีตำรวจหลายนายที่แทนที่จะถูกลงโทษกลับได้ดิบได้ดี เลื่อนขั้น เลื่อนยศ อาทิ รอง ผบ.ตร. ที่ช่วยเหลือ อดีต ผบ.ตร. ที่เป็นตัวละครหลักช่วยเหลือ “บอส” ให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะคดีนี้กระทบความเชื่อมั่นประชาชนอย่าง ก็เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของตำรวจควรที่จะมีคำตอบให้สังคม
ที่พูดถึงกันมากที่สุด ก่อนหน้านี้คือ การแพร่ระบาดโควิดรอบสอง ที่มาจากบ่อนระยอง ของ “หลงจู๊สมชาย” เชื่อมโยงไปจนถึงธุรกิจตู้ม้า เครือข่ายธุรกิจสีเทา และเครือข่ายยาเสพติด โดยที่ ผบ.ตร. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก
เห็นได้ว่า ตำรวจกว่าจะดำเนินการกับ “หลงจู๊สมชาย” หรือ สมชาย จุติกิติ์เดชาซึ่งเป็นต้นตอในการแพร่เชื้อตั้งแต่ ธ.ค. 63 ด้วยข้อหาเบาหวิว แล้วก็ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนาน สะท้อนว่า ตำรวจช่วยเหลือขาใหญ่วงการพนันที่เคยได้ส่งส่วยให้กันหรือไม่ ประชาชนเขาสังสัยในการทำงานของตำรวจ เรื่องนี้เป็นที่รู้ๆ กันดี
กรณี คดีสะเทือนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เช่นกัน “คดีจับยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม” ที่แม่สอด จ.ตาก ที่เชื่อมโยงไปจนถึงนายตำรวจใหญ่ 2 คน ผบ.ตร. ไม่ได้ตอบข้อสงสัย แต่กลับพูดว่า “การวิพากษ์วิจารณ์มีการตั้งคำถาม ตั้งประเด็นข้อสงสัยมากมายว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม” ซึ่งก็ย้อนแย้งในสิ่งที่สังคมสงสัยว่า ใครที่เป็นตัวการทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกันแน่ ควรหรือไม่ควร ที่ ผบ.ตร. ต้องทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าอยากให้ประชาชนศรัทธา
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ “บิ๊กปั๊ด” ซึ่งรับเงินเดือนจาก “ภาษีประชาชน” จะดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสังคม
ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามตามมาด้วยว่า เวลาที่เหลืออยู 2 ปีในการทำหน้าที่ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) อาจยาวนานเกินไปสำหรับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุขเสียแล้วกระมังถ้าหาก “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” หรือ “มีอะไรดีขึ้น” กว่าที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้.