ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทำเอาบรรยากาศปีใหม่ไทย เทศกาลสงกรานต์กร่อยไปถนัด
เมื่อเจ้าวายราย “โควิด-19” ออกอาละวาดระลอกใหม่ จนได้รับผลกระทบทุกวงการทั่วฟ้าเมืองไทย กระทั่ง “คนการเมือง” ก็ไม่รอด การะรปชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีรัฐมนตรีลาประชุมกว่า 10 ราย และยังต้องเข้าโหมดกักตัวตามมาตรการสาธารณสุขอีกกว่าครึ่ง ครม. หนักที่สุดเห็นจะเป็น “ค่ายบุรีรัมย์” พรรคภูมิใจไทย ที่พบว่า “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรค เป็นผู้ติดเชื้อยืนยัน
ทำเอา ส.ส.ของพรรคทั้งหมด ต้องงดเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา ในวาระสำคัญ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ช่วงวันที่ 7-8 เม.ย.ที่ผ่านมา
หรืออย่างการชุมนุมของ “กลุ่มไทยไม่ทน” ที่นำโดย “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ต้องม้วนเสื่อพักการชุมนุมในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ “ม็อบสามนิ้ว” คณะราษฎร 2563 ที่กำลังดรามาเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ-แกนตาม ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลายสิบชีวิต ก็ดูเหมือนจะปลุกกระแสไม่ขึ้น ยิ่งมาเจอกระแสโควิด-19 กลบจนมิด ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ 2564
รูปการณ์แบบนี้ แม้ว่า “รัฐบาล 3 ลุง” ที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องรับศึกหนักกับแนวรบด้านสาธารณสุข แนวรบด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับแนวรบด้านการเมืองถือว่า “เบาใจ” ลงไปเยอะ
วาระแก้ไขรัฐธรรมนูย 2560 ที่เดิม “ฝ่าย 3 ลุง” โดย “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ดูจะเพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายรับมาโดยตลอด ก็อาศัยจังหวะชุลมุน พลิกมาเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอย่างรวดเร็ว จนอีกฝ่ายแทบตั้งตัวไม่ติดบ้าง
คิวแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนุญ 2560 ที่ออกมาจาก “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ผ่านบทบาทของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกฎหมาย ที่ภายหลังจากยุบพรรคประชาชนปฏิรูป มากินตำแหน่งผู้แทนฯในพรรคพลังประชารัฐ ถือว่ามีบทบาทขับเคลื่อนวาระต่างๆ โดยเฉพาะเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญในห้วงเวลาที่ผ่านมา
ย้อนไปจะเห็นความโดดเด่นของ “ไพบูลย์” กับการยื้อยุดฉุดรั้งการลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรับธรรมนูญวาระแรก จนมีการ “ซื้อเวลา” ผ่านการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา ปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
กระทั่งหลังที่ประชุมรัฐสภาโหวตรับหลักการร่างแก้ไขฯในประเด็นวิธีการแก้ไขและร่างรัฐธรรรมนูญฉบับใหม่ ตามมาตรา 256 ในวาระแรกแล้ว ก็ยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตีความอำนาจรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนมีคำวินิจฉัยที่ “คลุมเครือ” ออกมา สร้างความระส่ำระสายให้กับทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน ในการเดินหน้าลงมติวาระที่ 3
ก่อนที่พรรคพลังประชารัฐ โดยความร่วมมือของ ส.ว.ส่วนใหญ่ พลิกเกมโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ไปในที่สุด
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน อยู่ระหว่างการจัดกระบวนใหม่เพื่อเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “รายมาตรา” เพื่อเลี่ยงกระบวนการที่ต้องทำประชามติอยู่
ก็เป็นพรรคพลังประชารัฐ โดย “ไพบูลย์” ขนรายชื่อ 110 ส.ส.ของพรรค ฉวยจังหวะ “ตีปลาหน้าไซ” ไปก่อน ด้วยการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคพลังประชารัฐ โดยกำหนด 5 ประเด็น 13 มาตรา ถึงมือ ชวน หลีกภัย ประชาธานรัฐสภา
พร้อมแสดงท่าที “กระตือรือร้น” ต้องการให้ “ประธานชวน” เร่งบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภาทันที ในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดประชุมสมัยสามัญ ที่จะเริ่มกันในช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้
โดย 5 ประเด็น 13 มาตรา ในร่างของพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพ แก้ไขมาตรา 29, 41 และมาตรา 45 อันเกี่ยวกับประเด็นสิทธิชุมชน และสิทธิประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
ประเด็นที่ 2 แก้ไขระบบเลือกตั้ง มาตรา 83, 85, 86, 90, 91, 92 และมาตรา 94 ให้การเลือกตั้ง ส.ส.เป็นแบบบัตร 2 ใบ เลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ตามแบบของรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ใช้วิธีคำนวณคะแนน ส.ส.ตามแบบรัฐธรรมนูญ 2550
ประเด็นที่ 3 แก้ไขมาตรา 144 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณฯ ซึ่งเดิมมีปัญหากระทบต่อการทำหน้าที่ของ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณ ส่งผลให้ “สำนักงานงบประมาณ” หน่วยงานหลัก ไม่สามารถเข้าทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณได้ จึงต้องแก้ไขโดยให้ใช้ข้อความตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 168 มาใช้แทน
แต่ยังคงไว้ซึ่ง “หลักสำคัญ” ในการห้ามไม่ให้ ส.ส.และ ส.ว.แปรญัตติเพิ่มงบประมาณ หรือการกระทำด้วยประการใดที่มีผลให้ตนเองมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
ประเด็นที่ 4 แก้ไขมาตรา 185 เพื่อแก้ไขอุปสรรคการทำงานของ ส.ส.และ ส.ว.ให้สามารถติดต่อส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ โดยได้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 111 มาใช้แทน
และประเด็นที่ 5 แก้ไขบทเฉพาะกาล มาตรา 270 เปลี่ยนแปลงอำนาจ “วุฒิสภา” ในการติดตาม เสนอแนะและเร่งรัดแผนการปฏิรูปประเทศ จัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยปรับให้เป็นอำนาจ “รัฐสภา” โดยให้ ส.ส.และ ส.ว.มีส่วนร่วม
ภาพรวมของ “ร่างพลังประชารัฐ” เหมือนจะดูดี แต่ก็ติดตรงที่ไม่ได้แตกต้อง “อำนาจ ส.ว.” ตามข้อเรียกร้องของฝ่ายอื่น โดยอ้างว่าอาจจะเกิดความขัดแย้ง และไม่ได้รับความร่วมมือจาก “สภาสูง” เพราะการแก้ไขรายมาตรายังคงต้องอาศัยเสียงจาก ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 84 เสียงตามที่รู้กัน
อารมณ์ว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไปยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงอำนาจ ส.ว. ก็ไม่ต่างจากชวนให้ ส.ว. “ตัดแขนตัวเอง” ซึ่งไม่น่าจะมีใครเอาด้วย
โดย “ไพบูลย์” ที่วันนี้ถือเป็น “มือทำงาน” ในสภาฯและด้านกฎหมายคนสำคัญของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พูดไว้อย่างชัดเจนว่า จะไม่แก้ไขอะไรที่ดูแล้วมีข้อขัดแย้ง และดูแล้วอาจจะไม่สำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องที่มา และอำนาจของ ส.ว.
เท่ากับว่า “หลักใหญ่ใจความ” ของความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งแบบ “รายมาตรา” อยู่ที่การแก้ไขกติกาการเลือกตั้ง ส.ส. จาก “บัตรใบเดียว” ในปัจจุบัน กลับไปใช้ “บัตร 2 ใบ” แยกคน แยกพรรค ตามแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ตลอดจนสูตรคำนวณคะแนน ส.ส. ที่ว่ากันว่า ผ่านมา 2 ปีเศษ จนถึงตอนนี้ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ยังไม่สามารถสรุป “สูตรคำนวณ” การเลือกตั้ง 23 มี.ค.2562 ที่มี “พรรคปัดเศษ” เพ่นพ่านไปหมดออกมาได้
ขณะที่ประเด็นอื่นๆเป็นเรื่องที่ “ขายพ่วง” เข้ามา เชื่อว่า “ฝ่ายการเมือง” ต่างก็เห็นตรงกัน แต่ก็ไม่ว่า “วาระด่วน” จะแก้ก็ได้ ไม่แก้ก็ไม่มีปัญหา หรือแก้เมื่อไรก็ได้มากกว่า
อาการลุกลี้ลุกลนของ “ไพบูลย์” และพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีการยืนยันว่า “หัวหน้าป้อม” ได้เห็นร่างแก้ไข และเห็นชอบด้วยแล้ว ดูจะผิดธรรมเนียมการแก้ไข “กฎหมายสูงสุด” ที่เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เพราะความเป็นจริงควรมีการ “ล็อบบี้” ให้ตกผลึกในเรื่องประเด็นที่จะแก้ไขจากฝ่ายต่างๆ เพื่อความรวดเร็วในขั้นตอนพิจารณาของรัฐสภาเสียก่อน
เพราะทั้งในพรรคร่วมรัฐบาลเองอย่าง พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ดูเหมือนจะเห็นไม่ตรงกันตั้งความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญหนก่อน หรือฝ่ายค้านเองก็มีหลายประเด็นที่ไปคนละทาง
อ่านไม่ยากว่า การเดินเกม “ตีปลาหน้าไซ” โดย “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และร่างกฎหมายที่เสนอย่อมถูกใช้เป็น “ร่างหลัก” ในการพิจารณา ก็เพื่อตีกรอบโชว์ให้เห็นว่า “ผู้กุมอำนาจ” ต้องการแก้ไขแค่นี้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่เสนอร่างที่ 2-3-4-5 ไม่ให้หลุดจากกรอบนี้
กรอบที่ว่าห้ามแตะต้อง “พรรค ส.ว.” อย่างเด็ดขาด
หากไปนอกลู่ โอกาสที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปรอดถึงตอนจบก็เป็นไปได้ยาก ขนาดครั้งที่แล้ว “ฝ่ายอำนาจ” ไฟเขียวให้มี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แล้วแท้ๆ ก็ยังหา “มุมเลี้ยว” จนพลิกคว่ำตกถนนไปได้
ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ที่มีแบ็คอัพจาก “พรรค ส.ว.” ตั้งหลักได้แล้ว แต่ฝ่ายอื่นๆดูเหมือนยังมะงุมมะงาหราจับต้นชนปลายกันไม่ถูก
ทั้งบัดดี้พรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย” ที่ประกาศผนึกกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “รายมาตรา” เช่นกัน ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก โดยเบื้องตันจะเสนอถึง 6 ฉบับ คือ 1.ร่างสำหรับประเด็นมาตรา 256 แก้ไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากที่แก้ยากให้แก้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียง 3 ใน 5 ของรัฐสภา ไม่มีแยกในส่วนเสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภา หรือ 1 ใน 5 ของพรรคที่ไม่มีรัฐมนตรีอีก, 2.ประเด็นมาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว.ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี, ฉบับที่ 3 ประเด็นหมวดสิทธิเสรีภาพและสิทธิชุมชน ที่คล้ายกับร่างของพรรคพลังประชารัฐ, 4.ประเด็นหมวดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและธรรมาภิบาล, 5.ประเด็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
และฉบับที่ 6 ประเด็นที่ระบบการเลือกตั้งเป็นระบบบัตร 2 ใบ
หากแต่ประเด็น “บัตร 2 ใบ” ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจ “ค่ายเซราะกราว” ที่ล่าสุด “เสี่ยหนู” อนุมิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พูดในทำนองว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วย และคงไม่สนับสนุน เพราะของเดิมดีอยู่แล้วไปแก้ทำไม
ทางซีกพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ก็วางกรอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ใน 4 ประเด็น คือ 1.ที่มาและอำนาจของ ส.ว. ตามแคมเปญ “เซตซีโร่ ส.ว.” ที่ล้อไปกับม็อบราษฎร, 2.ระบบเลือกตั้งให้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ, 3.ที่มาและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ และ 4.การแก้ไขหรือยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แต่ก็อีกเช่นกันที่ดูเหมือน “ค่ายไทยซัมมิท” พรรคก้าวไกล จะไม่ค่อยถูกใจกับการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพราะต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกล หรือ “อดีตพรรคอนาคตใหม่” ได้ประโยชน์จากการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว จนมี ส.ส.เข้าสภาฯได้ถึง 80 ชีวิตในตอนแรก และยังเคลมด้วยว่าหากไม่ใช้ “สูตรพิศดาร” คิดคะแนนเลือกตั้ง พรรคต้องได้อีกเกือบ 10 ที่นั่งในสภาฯ
พลันที่มีกระแสว่า การเลือกตั้ง ส.ส.จะกลับไปใช้ 2 ใบแบบในปี 2540 “ค่ายก้าวไกล” ที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างฉบับใหม่ใจจะขาด ร้องเสียงหลงออกมาทันว่า ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ไม่ได้สะท้อนเสียงประชาชนทั้งหมด โดยยกตัวอย่างในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวต แบบแบ่งเขต 44% แบบบัญชีรายชื่อ 48% แต่กลับได้ ส.ส.ในสภาฯมากถึง 57%
ในอารมณ์ที่ชิงชังรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ แต่ยังรัก “สูตรเลือกตั้ง” ปัจจุบันอยู่ เข้าอิหรอบ “เกลียดตัวกินไข่”
แบ่งข้างได้อย่างชัดเจนว่า “พลังประชารัฐ-เพื่อไทย” อาจรวมถึง “ประชาธิปัตย์” ที่สิ้นท่าจากสูตรเลือกตั้งปัจจุบัน ดูจะโหยหาบัตร 2 ใบ เพราะต่างเชื่อว่า จะทำให้จำนวน ส.ส.ของพรรคมากขึ้น
โดยเฉพาะ “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่ด้วยสรรพกำลังแล้วดูจะได้เปรียบกว่าพรรคอื่น และจะกลายเป็นพรรคอันดับ 1 อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับ “ค่ายเพื่อไทย” ที่ขอลงเล่นในเกมที่ถนัด เหมือนสมัยเรืองอำนาจตั้งแต่ยุคไทยรักไทย-พลังประชาชน จนถึงการเลือกตั้ง 2554
ส่วน “ค่ายประชาธิปัตย์” ก็ไม่ได้หวังถึงขั้นฟื้นศรัทธาประชาชนได้ แต่เชื่อว่าหากปรับกติกา อะไรๆคงดีกว่าที่เป็นอยู่
กลับกัน “ภูมิใจไทย-ก้าวไกล” รวมไปถึงบรรดาพรรคเล็กทั้งหลาย “ชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนา-เสรีรวมไทย-ประชาชาติ” ตลอดจน “พรรคปัดเศษ” ทั้งหลายคงไม่ถูกใจกติกาบัตร 2 ใบอย่างแน่นอน เพราะหลายพรรค ส.ส.จะลดลง
อีกหลายพรรคอาจถึงขั้น “สูญพันธ์” ไม่มีโอกาสได้ที่นั่งปาร์ตี้ลิสต์เลย
ด้วยสูตรบัตร 2 ใบ ที่กัน ส.ส.บัญชีรายชื่อไว้เพียง 100 ที่นั่ง เท่ากับว่า จากสถิติเมื่อปี 2554 ต้องได้คะแนนพรรค 2.5-2.6 แสนเสียง จึงจะได้ 1 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และยังสร้างความลำบากให้กับพรรคที่ไม่มี “ฐานเขต” ที่เข้มแข็ง
อย่างพรรคก้าวไกล หากคิดคะแนนสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนมา 6.2 ล้านเสียงเศษ จากเดิมได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมา 50 ที่นั่ง หากยังรักษาคะแนนเสียงไว้เท่าเดิม ก็จะเหลือ ส.ส.บัญชีรายชื่อราว 24 ที่นั่งเท่านั้น ที่เหลือก็ไปว่ากันที่ ส.ส.เขต
หรือพรรคเสรีรวมไทย ที่ได้คะแนนมา 8.2 แสนเสียง ได้เฉพาะ ส.ส.บัญชีรายชื่อมา 10 ที่นั่ง ก็จะเหลือ ส.ส.เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น
แล้วยิ่งหากมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ 5% ไว้พรรคอย่าง “เสรีรวมไทย-ชาติไทยพัฒนา-เศรษฐกิจใหม่-เพื่อชาติ” ก็ไม่มีทางได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จนแทบไม่ต้องพูดถึง “พรรคเล็ก-พรรคปัดเศษ” ที่เหลือ
สาเหตุที่ “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่โยน “สูตร 2 ใบ” ออกมาในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้ นอกจากจะมองว่า ตัวเองอยู่ในจุดที่ “ได้เปรียบ” มากยิ่งขึ้น ในแง่ “อำนาจรัฐ-เสบียงกรัง” ที่มีความพร้อมมากกว่าการเลือกตั้ง 2562 แล้ว ก็ยังเชื่อว่า “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย จะซื้อ “สูตร 2 ใบ” เพราะเป็นเกมที่ถนัด และอยู่ในจุดที่ได้เปรียบเช่นกัน
หากพรรคเพื่อไทยเอาด้วย ก็จะ “แก้ล็อค” เสียงลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ที่นอกจากต้องมีเสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือ 84 เสียงแล้ว ยังต้องมีเสียง ส.ส.ฝ่ายค้าน และรัฐบาลที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือประธาน รองประธานรัฐสภา ร่วมเห็นชอบไม่น้อยกว่า 20% หรือราว 50 เสียง
เพราะแค่พรรคเพื่อไทยโหวตเอาด้วยครึ่งพรรค “สูตร 2 ใบ” ก็ผ่านฉลุย อยู่ที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะพอใจแค่นี้ หรือจะเจรจาขอ “ยื่นหมู-ยื่นแมว” ขอแลกประเด็นอื่นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาไปใช้หาเสียงกับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” รอบหน้าบ้าง
แล้วก็อยู่ที่ว่า “พรรคลุง” จะเอาด้วยหรือไม่ เพราเชื่อเถอะแก้-ไม่แก้รัฐธรรมนูญ “พรรคลุง” ก็ยักไหล่
ไม่ว่ากติกาไหนหากยังมี “พรรค ส.ว.” อยู่ ก็ไม่พ้น “ลุงชนะ” เหมือนเดิม.