xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปริศนาจับ “หลงจู๊สมชาย” ครั้งใหม่ กับ “คดีจ้างวานฆ่า-ฟอกเงิน” ข้อหา “ไม่จิ๊บจ๊อย” แต่อย่า “ตัดตอน” นะจ๊ะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากได้รับประกันตัวจาก “ข้อหาจิ๊บจ๊อย” คือ “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ของ “บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ใส่พานให้ ชื่อของ “นายสมชาย จุติกิติ์เดชา” หรือ “หลงจู๊สมชาย” เจ้าพ่อบ่อนพนันภาคตะวันออกก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนสังคมแทบจะลืมไปแล้วว่า หลงจู๊ผู้นี้คือส่วนหนึ่งขบวนการบ่อนพนันและตู้ม้าผิดกฎหมายรายใหญ่ของประเทศไทย

ที่สำคัญคือ เขายังกุมความลับของผลประโยชน์ก้อนมหึมา ซึ่งโยงใยกับบรรดา “บิ๊กๆ” ในบ้านนี้เมืองนี้ ทั้ง “บิ๊กตำรวจในอดีตและปัจจุบัน” รวมถึง “บิ๊กนักการเมือง” ผู้ให้การหนุนหลัง

แต่แล้วเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ชื่อของ “หลงจู๊สมชาย” ก็กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังบุก “คฤหาสน์” หลังงาม ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่กลางเมืองระยองเพื่อจับกุมตัว “หลงจู๊สมชายและนายธนา จุติกิติ์เดชา” ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา โดย “หลงจู๊สมชาย” ถูกหมายจับในข้อหา “จ้างวานฆ่า” และ “และความผิดฐานฟอกเงิน” ส่วน “นายธนา” ผู้เป็นลูกชาย เครือญาติและลูกสมุนอีก 7 ถูกหมายจับในข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันและร่วมกันฟอกเงิน

ทั้งนี้ ปฏิบัติการดังกล่าวใช้ชื่อเรียกขานว่า “ยุทธการหนุมานดับบูรพา” โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 20 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินหลายรายการ ประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำพวกหมู่บ้านจัดสรรหลายโครงการ บ้านจำนวน 377 ยูนิต เรือยอชต์มูลค่า 8 ล้านบาท 1 ลำ รถยนต์ 4 คัน รวมมูลค่าประมาณ 880 ล้านบาท

กล่าวเฉพาะการจับกุม “หลงจู๊สมชาย” ที่คฤหาสน์หลังใหญ่นั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงได้แบ่งกำลังออกเป็นหลายส่วน พร้อมกระจายกำลังเข้าปิดล้อมเพื่อป้องกันการหลบหนีรอบทิศทาง ก่อนกดกริ่งประตูหน้าบ้านแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น แต่ผู้ที่อยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวไม่มีใครยอมออกมาเปิดประตูรั้วให้ เจ้าหน้าที่จึงใช้บันไดปีนรั้วเข้าไป กระทั่งพบตัวนายสมชาย และนายธนา จุติกิติ์เดชา ผู้เป็น “ลูกชาย” ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในคฤหาสน์หลังดังกล่าว

การจับกุม “หลงจู๊สมชาย ลูกชายและลูกสมุน” เที่ยวนี้น่าสนใจกว่าครั้งที่ผ่านมาเป็นกระบุงโกย เนื่องเพราะถูกจับในข้อหาที่ “ไม่จิ๊บจ๊อย” เหมือนครั้งแรก นั่งคือข้อหา “ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน” และ “จ้างวานฆ่า” โดยเฉพาะข้อหาหลังนั้น ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจชนิดไม่เกรงกลัวกฎหมายและสะท้อนภาพความใหญ่โตของหลงจู๊ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะ “นักเลง” หรือ “ผู้มีอิทธิพล” อย่างเขา ไม่เคยหวั่นเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน หรือใช้ศัพท์วัยรุ่นก็ต้องบอกว่า “พร้อมจะบวก” ใครหน้าไหนก็ได้ที่ขัดขวางเส้นทางแห่งผลประโยชน์ของเขา

ต้นสายปลายเหตุของการจับกุมในข้อหา “จ้างวานฆ่า” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 เมื่อเกิดเหตุคนร้ายจำนวน 2 ราย ขี่จักรยานยนต์ใช้อาวุธปืนประกบยิง นายประทุม สะอาดนัก อายุ 47 ปี อาชีพวินจักรยานยนต์รับจ้าง เสียชีวิตด้านหลังโรงเรียนเมืองพัทยา 8 ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา สามารถจับกุม นายมนัส อิ่มหนำ อายุ 39 ปี และนายนิพนธ์ ปานทอง อายุ 47 ปี ผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้ ก่อนให้การอ้างว่าสาเหตุมาจากมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ทางญาติของผู้เสียชีวิตไม่ปักใจเชื่อจึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพราะเชื่อว่าปมสังหารที่แท้จริงน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ตายไปมีความขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องการพนัน

เนื่องจากก่อนเกิดเหตุ นายประทุม ผู้ตาย ได้แอบเข้าไปถ่ายรูปสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองพัทยาซึ่งมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ก่อนเรื่องดังกล่าวรู้ถึงหูของกลุ่มนายทุนเจ้าของบ่อนจึงเกิดความไม่พอใจ สั่งการให้นายสุพรรณ ใหม่งาม อายุ 53 ปี นายถาวร สาระกูล อายุ 53 ปี ผู้ดูแลบ่อน จัดหามือปืนมาก่อเหตุฆ่าปิดปาก

ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ จึงมอบหมายให้ทางกองปราบปราม ในฐานะเลขานุการศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) รับโอนสำนวนคดีดังกล่าวมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนขยายผลจนสามารถติดตามจับกุมนายสุพรรณ และนายถาวร ได้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา จากนั้นจึงขยายผลต่อเนื่องจนกระทั่งพบความเชื่อมโยงถึงนายสมชาย ผู้ต้องหารายนี้ซึ่งเป็นนายทุนบ่อนดังกล่าวและบ่อนการพนันอีกหลายแห่งในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว

“พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การจับกุมครั้งนี้ เป็นการขยายผลสืบสวนจากคดีที่นายมนัส อิ่มหนำ และ นายนิพนธ์ ปานทอง ใช้ปืนยิงนายประทุม สอาดนัก วินจักรยานยนต์รับจ้างที่แอบไปถ่ายรูปบ่อนการพนัน ใน จ.ระยอง จนเป็นเหตุให้บ่อนถูกปิด ซึ่งตอนแรกผู้ต้องหาให้การอ้างเป็นเจ้าของ แต่ความจริงเป็นเพียงพนักงาน และตำรวจพบหลักฐานความเชื่อมโยงว่ามีหลงจู๊ เป็นเจ้าของ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ และออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีการฟอกเงินเพิ่มอีก 35 หมายจับ รวมผู้ต้องหา 22 คน ก่อนนำหมายค้นศาลอาญากระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 20 จุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 8 คน พร้อมยึดทรัพย์ได้อีก 880 ล้านบาทรวมถึงยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อีก 720 ล้านบาทที่เตรียมยึดอายัด ตามขั้นตอนกฎหมาย

ส่วนเหตุผลที่นายประทุมไปลอบถ่ายรูปบ่อนพนัน จนภาพไปปรากฎในที่ประชุมกรรมาธิการกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรนั้น พล.ต.ต.จิรภพไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีคำสั่งมาหรือไม่

ด้าน “พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ” รองผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า การจับกุมเครือข่ายหลงจู๊ครั้งนี้ มีหลักฐานการเงินเชื่อมโยงไปถึงเครือญาติพวกตัวเอง พบการโอนเงินยักย้ายถ่ายเทและแปรเป็นทรัพย์สิน รวมถึง “โครงการหมู่บ้านจัดสรร เดอะแคปิตอล” ที่มีนายสมชาย และลูกชายเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน อย่างไรก็ดี ยังไม่พบว่ามี “นายเสี่ยโป้ โป้อานนท์” เข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวและเส้นทางการเงินอื่นๆ แต่ยังมีผู้ต้องหาที่ต้องสืบสวนขยายผลเอาผิดเพิ่มเติม

สำหรับข้อหา “ฟอกเงิน” นั้น ต้องใช้คำว่า “ถึงจะช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ” เพราะเป็นสิ่งที่สังคมตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่แรกว่า ทำไมถึงไม่มีข้อหานี้ตั้งแต่การบุกเข้าจับกุมครั้งแรก

ขณะที่ข้อหา “จ้างวานฆ่า” ถือเป็น “เรื่องใหม่” แต่ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจที่ “หลงจู๊สมชาย” ถูกจับกุมในข้อหาจ้างวานฆ่า แม้ขณะนี้เขายังคงเป็นผู้บริสุทธ์ตามกระบวนการตามกฎหมายเนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะก่อนหน้านี้เขาก็มีพฤติกรรมอุกอาจอยู่ไม่น้อย และหากย้อนหลังไปดูวีรเวรวีกรรมเก่าๆ ของเขาก็จะเห็นชัดเจนว่า “หลงจู๊ผู้นี้” ไม่ธรรมดา

เรื่องที่เชื่อว่า คนระยองและคนไทยทั้งประเทศจำได้ดีก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเเมื่อ 12 ปีก่อน เมื่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองระยอง รับแจ้งมีเหตุพระถูกรถชนและถูกลากไปไกลกว่า 400 เมตร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้อีก 3 รายด้วยกัน

จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ขณะที่พระบิณฑบาต มาถึงย่านศูนย์การค้าสาย 4 ได้เจอกับ “หลงจู๊สมชาย” ยืนอยู่หน้าบ้านแล้วเกิดมีปากเสียงจนเกิดการทะเลาะวิวาท ก่อนที่“หลงจู๊สมชาย” คว้าไม้ถูพื้นวิ่งไล่ตี ขณะที่ตัวพระได้วิ่งหนีมาขึ้นรถจักรยานยนต์ของน้องชายที่จอดรอรับอยู่

ส่วนตัว “หลงจู๊สมชาย” ขึ้นรถยนต์คันก่อเหตุ ขับตามมาด้วยความรวดเร็วเพื่อไล่ชนทั้งสองคน แต่กลับไปชนรถจักรยานยนต์ของสองนักเรียนที่นั่งซ้อนท้ายขับผ่านมาจนล้ม แต่“หลงจู๊สมชาย”ยังไม่หยุด ยังขับรถยนต์เข้ามาชนรถจักรยานยนต์ของน้องชายพระก่อนจะเสียหลักไปชนรถกระบะของตัวเอง แล้วชนพระจนบาตรหลุดมือและจีวรเข้าไปพันกับล้อรถ จึงถูกลากไปไกลกว่า 400 เมตร ก่อนจะหยุดรถและเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัว

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจของการจับกุม “หลงจู๊สมชาย” ในข้อหา “จ้างวานฆ่า” อยู่ตรง “วันและเวลา” ของการเกิดเหตุและนำไปสู่การจับกุม ด้วยจะเห็นได้ว่า ตำรวจปล่อยเวลาให้ทอดยาวนานจนน่าสงสัยว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่

กล่าวคือ การฆาตกรรมเกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 และสามารถจับกุม “นายมนัสและนายนิพนธ์” ผู้เป็น “มือปืนได้ในเวลาไม่นานนัก แต่กว่าจะตามจับ “ผู้ดูแลบ่อน” คือ “นายสุพรรณและนายถาวร” ได้ก็ปาเข้าไปวันที่ 9 ธันวาคม 2563 และกว่าจะจับ “หลงจู๊สมชาย” ใช้เวลานานโข คือวันที่ 25 มีนาคม 2564 เลยทีเดียว

นี่ทำให้สังคมเข้าใจได้หรือไม่ว่า ถ้าไม่เกิดกรณี “ซูเปอร์เสปรดเดอร์” จากบ่อนของ “หลงจู๊สมชาย” ที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 คดีนี้ก็อาจเงียบหายไปเช่นนั้นหรือ

และถ้าสังคมไม่ช่วยกันตรวจสอบ กดดัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติของ “บิ๊กปั๊ด” จะรื้อคดีนี้มาทำหรือไม่ รวมทั้งข้อหา “ฟอกเงิน” ที่เพิ่งมาดำเนินการในภายหลัง

ใช่เป็นเพราะ “หลงจู๊สมชาย” มี “คนใหญ่คนโต” คอยให้การช่วยเหลือ หรือไม่?

ยิ่งเมื่อย้อนดูพฤติกรรมในอดีตก็ยิ่งน่าสงสัย เพราะเมื่อครั้งที่แล้วตำรวจดำเนินคดี “หลงจู๊สมชาย” ล่าช้ามากเช่นกัน โดยบ่อนระยองของ “หลงจู๊สมชาย” ต้นตอการแพร่เชื้อโควิด เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 แต่เพิ่งจะมีการบุกเข้าตรวจค้นบ้าน หลังเวลาผ่านไปนานถึง 1 เดือนครึ่ง นอกจากนี้ “ตัวบ่อน” ที่เป็นหลักฐานสำคัญล่าสุด กลับถูกทำลายหลักฐานจนไม่เหลือซากก่อนตำรวจเข้าจับกุม ซึ่งครั้งนั้น สังคมก็เกิดคำถามว่า ทำไมดูเหมือนตำรวจ(บางคน) และกระบวนการยุติธรรม(บางส่วน) จะ “เอื้ออาทร” ต่อ “หลงจู๊สมชาย” เป็นพิเศษ

ทั้งนี้ ภายหลังการทลายเครือข่ายบ่อนระยอง และภาคตะวันออก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในบ่อน ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด ซึ่งรวมถึง “ตู้ม้า-ตู้เกม-ตู้สล็อต” ของเครือข่ายหลงจู๊สมชายดังที่ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้






ดังเห็นได้จากในช่วงเดือนมกราคม 2564 มีการขนตู้เกมไฟฟ้าเก่าออกมาทิ้งข้างทางจำนวนมากในภาคตะวันออก ส่วนตู้ที่ยังดีอยู่นั้นเครือข่ายหลงจู๊รีบดำเนินการเคลื่อนย้ายออกจากภาคตะวันออก เอาไปเก็บไว้ในโกดังลับตามจังหวัดต่าง ๆ

การขนย้าย “ตู้เกมไฟฟ้า” ล็อตใหญ่ ครั้งนี้จำนวน 500 กว่าตู้ ถูกบงการโดย “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” เป็นผู้บัญชาการประสานกับ “พี่หลามตาฟาง” เพื่อให้ลูกน้อง “หลงจู๊สมชาย” ใช้รถขนส่งของตัวเอง นำตู้ม้าจากภาค 2 ไปพักไว้ที่โกดังในจังหวัดขอนแก่น

“ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” ได้โทรศัพท์เคลียร์ไปถึง ผู้กำกับ สภ.โชคชัย ทาง สภ.โชคชัยจึงพยายามเอาใจนายด้วยการใช้รถตำรวจของ สภ.โชคชัย นำขบวนไปส่งถึงโกดังเก็บตู้สล็อตที่บ้านโนนสวรรค์ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น จนในเวลาต่อมา พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะได้นำกำลังเข้าจับกุมตู้สล็อตดังกล่าวที่ จ.ขอนแก่นในอีก 5 วันต่อมา

อย่างไรก็ดี สำหรับสาเหตุที่ไม่สามารถจับกุมหลงจู๊ เมื่อครั้งที่เข้าจับกุมคดีบ่อนการพนันนั้น พล.ต.ต.จิรภพ อธิบายเพิ่มเติมเพราะ “หลักฐานยังไม่รัดกุม” ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ “พอรับฟังได้”

สำหรับคดีบ่อนการพนัน ที่หลงจู๊ได้รับการประกันตัวนั้น พล.ต.ต.จิรภพชี้แจงว่า เป็นดุลยพินิจของศาลที่พิจารณาให้ใส่กำไลอีเอ็ม พร้อมยืนยันตำรวจไม่ได้ให้ประกันตัวและสั่งคัดค้านไปด้วย เช่นเดียวกับคดีนี้ ที่จะสั่งคัดค้านการประกัน แต่ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาลจะพิจารณา

...เอาเป็นว่า ต้องติดตามคดี “หลงจู๊สมชาย” กันต่อไปว่า จะดำเนินต่อไปในลักษณะใด และจะมีการสืบสาวราวเรื่องไปถึง “ผู้ร่วมขบวนการ” และ “ตัวการใหญ่” ที่เป็น “อีแอบ” อยู่เบื้องหลังได้อีกสักกี่มาน้อย...



กำลังโหลดความคิดเห็น