xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

มหากาพย์ “บางกลอย” ใครผิด ใครถูก? รอยแหว่งแห่ง “แก่งกระจาน” ฝันค้างผืนป่า “มรดกโลก” จริงหรือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผืนป่า “แก่งกระจาน” ยังเป็นได้เพียงว่าที่ “มรดกโลกของไทย” เกิดปัญหาเรื่องชาติพันธุ์ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย” จับมือประสานเครือข่ายพื้นราบ “ภาคี Save บางกลอย” เดินทางมาปักหลักเรียกร้องสิทธิอพยพกลับสู่ “ใจแผ่นดิน” หน้าทำเนียบรัฐบาล พ่วงด้วยแฮชแท็กร้อนแรง #saveบางกลอย ที่มีกลุ่มการเมืองโหนกระแสพุ่งเป้าโจมตีรัฐ รวมถึงได้ยื่นเรื่องไปยัง “ยูเนสโก” จนเป็นเหตุให้มีการชะลอการพิจารณากลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกออกไปอีก ซึ่งรัฐบาลไทยมีความพยายามดันผืนป่า “แก่งกระจาน” ขึ้นทะเบียน “มรดกโลกของไทย” มานานกว่า10 ปี 

 และแน่นอนว่า งานนี้ สังคมเสียงแตกออกเป็นหลายฝ่ายโดยมี “จริตการเมือง” เข้าไปเป็นส่วนผสมสำคัญ 

อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จะสามารถทำได้แบบ  “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หากแต่จะต้องทำด้วย ใจเป็นธรรม และใช้ ความจริงเชิงประจักษ์  เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เข้าสู่ปี 2564  “ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย” ลอบเดินเท้ากลับสู่  “ใจแผ่นดิน”  อีกครั้ง ขณะที่ทางด้านหน่วยงานรัฐเปิด “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร” เพื่อปกป้องผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งก่อให้เกิดความความขัดแย้งอย่างรุนแรงด้วยคาบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งภาพจำความรุนแรงในอดีต ปี 2554 ภายใต้  “ยุทธการตะนาวศรี”  นำโดย  นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร  หัวหน้าอุทยานฯ ในเวลานั้น มีการรื้อถอนเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างในป่าใจแผ่นดินของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยบนร่วมร้อยหลัง กดดันให้ชาติพันธุ์ลงมาอยู่หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยล่าง กระทั่ง ภายหลังศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตต้องจ่ายชดเชยให้ชาวบ้าน ขณะที่ชาวบ้านไม่มีสิทธิอาศัยในพื้นที่ใจแผ่นดินเช่นกัน

ที่สำคัญคือ ยิ่งมีข้อขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์เกิดขึ้นย่อมเป็นผลเสียต่อการพิจารณาขององค์การยูเนสโกอย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ปมขัดแย้งระหว่าง  “รัฐ” กับ “ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย”  ตกเป็นเป้าสนใจอีกครั้ง ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2564 ชาวบ้านส่วนหนึ่งเริ่มอพยพกลับสู่  “ใจแผ่นดิน” หรือ  “หมู่บ้านโป่งลึก - บางกลอยบน”  ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พวกเขาเคยถูกหน่วยงานด้านความมั่นคงบังคับให้อพยพลงมา ก่อนย้ายมาพำนักที่  “บางกลอยล่าง” ตั้งแต่ปี 2539

สาเหตุที่ “ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย” เดินเท้ากลับสู่ “ใจแผ่นดิน” อ้างสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซ้ำเติมอยู่กันอย่างแร้นแค้นมากขึ้น รวมทั้งพื้นที่ที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้มีการจัดการไม่ดี ทำมาหากินอะไรไม่ได้

ด้านกรมอุทยานฯ ส่งกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยพญาเสือตั้งด่านสกัดบริเวณทางขึ้น-ลงหมู่บ้านหลายจุด ซึ่งถูกมองว่าเป็นการข่มขู่ ตัดเส้นทางลำเลียงอาหารของชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ทำให้หลายฝ่ายเกิดกังวลว่าภาครัฐจะใช้ความรุนแรงดังเช่นในอดีต

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการภายใต้ “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร” เน้นการเจรจา ยังไม่พบความรุนแรงเช่นเดียวกับ ปี 2554 มีการนัดเจรจาเพื่อหาทางออก หาข้อยุติร่วมกัน ระหว่างชาวบ้านกับตัวแทนของภาครัฐ นำโดย นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายอำเภอแก่งกระจาน เจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ข้อสรุปสำคัญ คือ การขอกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่บางกลอยกลาง-บน เพื่อดำรงวิถีแบบดั้งเดิมคือการถางป่าทำไร่หมุนเวียน โดยมีข่าวออกมาว่าชาวกะเหรี่ยงขอพื้นที่ป่าแก่งกระจานเพื่อทำไร่หมุนเวียนครอบครัวละ 15 ไร่/ปี/ครอบครัว/แปลง ในเวลา 10 ปี ตกครอบครัวละ150 ไร่ จำนวน 36 ครอบครัว รวมพื้นที่ที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยขอใช้ทำไร่กลางผืนป่าแก่งกระจานทั้งหมด 5,400 ไร่

 รอยป่าแหว่งกลางผืนป่าแก่งกระจาน เกิดจากการแผ้วถางทำไร่หมุนเวียน ภาพจาก กรมอุทยานฯ

พื้นที่ที่ถูกแผ้วถางใหม่ที่บางกลอยกลาง โดยชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ทำไร่หมุนเวียนตามวิถีดั้งเดิม
หลังข่าวแพร่สะพัดออกไปเกิดกระแสสังคม “ไม่เห็นด้วย” กับกรณีชาวกะเหรี่ยงขอพื้นที่ป่ามรดกโลกทำไร่หมุนเวียน อย่างไรก็ตาม เกิดการสื่อสารคลาดเคลื่อน ตัวแทนของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยออกมาปฏิเสธว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง

โดยทางฟากรัฐยืนยันกับพี่น้องชาวกระเหรี่ยงความว่า  “ในพื้นที่ที่จัดสรรให้นี้ขาดแคลนอะไร ไม่สมบูรณ์อย่างไร จะให้ช่วยเหลืออะไรขอให้แจ้งมา แต่จะให้กลับไปอยู่ในป่า ไปถางป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มันทำไม่ได้”  

สำหรับพื้นที่ “บางกลอย” ตั้งอยู่ที่ “ใจแผ่นดิน” กลางป่าลึกใจกลางป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ติดกับชายแดนพม่า เป็นถิ่นพำนักดั่งเดิมของชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) มานานนับร้อยปีพวกเขาใช้ชีวิตกลมลืนกับป่าและธรรมชาติ ปลูกบ้านด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาใบค้อ ทำไร่หมุนเวียน ปลูกข้าว ปลูกผัก

ต้นตอความขัดแย้งฉายภาพขึ้น ตั้งแต่ปี 2484 ประเทศไทยมี พ.ร.บ.ป่าไม้ฉบับแรก และในปี 2504 มี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และในปี 2524 มีการประกาศตั้ง "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ส่งผลให้พื้นที่ใจแผ่นดินได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตอุทยานฯ ส่งผลให้รัฐกดดันชาวกะเหรี่ยงบางกลอยออกจากพื้นที่ใจแผ่นดิน หรือ บางกลอยบน

ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยนั้นอยู่ในพื้นที่ใจแผ่นดืนกันมานานกว่าร้อยปี ก่อนรัฐไทยจะประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติเสียอีก ต่อมา ปี 2539 ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ทางภาครัฐจึงได้เจรจาและอพยพกระเหรี่ยงออกจากพื้นที่ “ใจแผ่นดิน” หรือ “บางกลอยบน” พร้อมกับจัดสรรพื้นที่ทำกิน “บางกลอยล่าง” ติดกับบ้านโป่งลึกที่มีอยู่เดิม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอาชีพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ

 แต่ด้วยความที่หมู่บ้านนี้มีการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นการอพยพของกะเหรี่ยงนอกพื้นที่เข้ามาอยู่อาศัย ทำให้ประสบปัญหามีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ เหตุนี้จึงมีชาวบ้านส่วนหนึ่งลักลอบกลับขึ้นไปแผ้วถางพื้นที่ป่า “ไร่หมุนเวียนกลางป่า” ที่มีความลาดเอียงน้อยหุบเขาล้อมรอบ ในบริเวณ “บางกลอยกลาง” และ “บางกลอยบน” ที่อยู่ห่างจาก “บางกลอยล่าง” ประมาณ 19 กม. โดยชาวบ้านอ้างเหตุผลว่าคือ “วิถีดั้งเดิม” ทำสืบต่อกันมาช้านานตั้งแต่บรรพบุรุษ 

อย่างไรก็ดี  แฮชแท็ก #saveบางกลอย  เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิแก่ชาติพันธ์อย่างร้อนแรงในโซเชียลฯ ประกอบกับการชุมนุมของ  “ม็อบบางกลอย” บริเวณด้านข้างสะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อดูแลรับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวบ้านบางกลอย

มีแนวร่วมคนดังอย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขึ้นปราศรัยในการชุมนุมภาคี Saveบางกลอย และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ภายใต้แคมเปญ 'แตกต่างกันเป็นดอกไม้นานาพันธุ์' #คนเท่ากัน รวมทั้ง บุคคลมีชื่อเสียงในหลายวงการออกมา Call Out สนับสนุน

“เรื่องราวบางกลอยสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไม่เคยเห็นหัว เห็นคุณค่าประชาชน รัฐที่แข็งขืน กฎหมายที่ล้าหลัง ทำให้ประชาชนไม่ใช่แค่ที่บางกลอย แต่ทั่วประเทศมีปัญหาหมด ทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ และพิสูจน์แล้วว่าชุมชนแบบนั้นป่ายั่งยืน

 “...สิ่งที่เราเห็นจากการต่อสู้ครั้งนี้คือเมื่อเดือนมกราคม ปี 2564 เขาไม่สามารถอยู่แบบนี้ได้แล้ว ไม่สามรถทำการเพาะปลูก ลูกหลานก็ต้องไปทำงานในเมือง ไม่มีวิถีชีวิตดั้งเดิม เขาจึงตั้งใจทำผิดกฎหมาย เดินกลับไปที่ใจแผ่นดิน เป็นความจงใจที่จะทำผิดกฎหมาย เพื่อจะบอกว่ากฎหมายที่ใช้กับเขาอยู่มันไม่เป็นธรรม เพื่อประกาศว่ากฎหมายมันไม่เป็นธรรมอย่างเปิดเผย หลังจากนั้นหลายคนถูกคุกคาม ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวปราศรัยในตอนหนึ่ง 

การชุมนุมเรียกร้องของ “ม็อบบางกลอย” นำสู่การประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ครั้งที่ 1 /2564 โดยมีตัวแทนจากกลุ่มบางกลอยเข้าร่วมการหารือ โดยมี  ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมฯ และสรุปผลการจัดทำบันทึกข้อตกลงแนวทางการแก้ไขปัญหาของพีมูฟ และการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินรวมทั้งการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

บรรลุข้อตกลง 4 ข้อ โดยนายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมามอบหนังสือ ลงนามโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อดูแลรับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวบ้านบางกลอย ได้แก่

 1. ให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหากรณีชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย เพื่อทำหน้าที่ในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อคืนสิทธิ์ให้ชาวบ้าน และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน 2. ให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เปิดประชุมโดยเร่งด่วน

3. ให้นำผลการประชุมของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และ 4. ให้พนักงานสอบสวนชะลอการส่งสำนวนคดีไปอัยการจนกว่าการแก้ไขปัญหากรณีบางกลอยของรัฐบาลจะได้ข้อยุติ 

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอยมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาที่ผ่านมาไม่เพียงพอ สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น ทางเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ได้ร่วมหารือเพื่อวางแผนการแก้ไขปัญหาเรื่องจัดการที่ดิน แปลงที่ดินทำกิน รวมทั้ง แผนงานการแก้ไขปัญหาบ้านบางกลอยล่างทั้งระบบ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ แผนการสำรวจที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยและสำมะโนประชากร แผนงานบริหารจัดการน้ำ

นอกจากแฮชแท็กเรียกร้องสิทธิพี่น้องชาวกะเหรี่ยง  #saveบางกลอย  ห้วงเวลาเดียวกันมีการแชร์ภาพคลิป  “รอยแหว่ง” กลางผืนป่าแก่งกระจานซึ่งเกิดจากบุกรุกแผ้วถางเพื่อทำไร่หมุนเวียน โดยเชื่อมโยงเป็นฝีมือของกลุ่มชาติพันธุ์ จนกลายเป็นภาพสะท้อนเสทือนใจผู้รักป่าไม้รักธรรมชาติ จนเกิดแฮชแท็ก  #saveแก่งกระจาน เกิดความเห็นต่างจนเป็นประเด็นห้ำหั่นกันในโซเซียลฯ

เดือน ก.พ. 2564 เจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน บินตรวจสภาพป่าทางอากาศ พบว่ามีพื้นที่ป่าส่วนหนึ่งถูกแผ้วถางใหม่ มีการเผาทำลายเพื่อขยายพื้นที่ทำกินทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่บริเวณบางกลอยกลาง พบการแผ้วถางป่าหลายจุดรวมกว่า 120 ไร่ ต้นน้ำแม่น้ำเพชรบุรี โดยชาวบ้านอ้างเป็นวิถีทำกินดั้งเดิม พวกเขาอยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่บรรพบุรุษนับร้อยปี

 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) บอกว่า หากอนุญาตให้กลุ่มชาติพันธ์อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำที่ศาลตัดสินสิ้นสุดแล้ว ป่าแห่งอื่นก็ต้องได้เหมือนกันหรือไม่ และน่าสนใจว่ากรณีที่มีการขอผืนป่าเป็นจำนวนมากเพื่อทำไร่หมุนเวียน หากชาวกะเหรี่ยงบางกลอยสามารถทำได้ ย่อมกลายเป็น “โมเดล” ในผืนป่าแห่งอื่นๆ ตามมา

สอดคล้องกับความคิดเห็นของ  นายวราวุธ ศิลปอาชา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า พื้นที่ตรงนี้กำลังจะเป็นมรดกของคนทั้งโลกคนในพื้นที่ต้องตระหนักว่า ทรัพยากรป่าที่กำลังอยู่อาศัยและเผาอยู่นั้นเป็นการเผามรดกของมวลมนุษยชาติของโลก

อย่างไรก็ดี ประเด็นการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง มีคำอธิบายในวงนักวิชาการว่าเป็นวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิปัญญารักษาป่า การถางป่าถางพื้นที่เป็นระบบที่เหมาะสมพื้นที่สูงเขาสูงชัน ด้วยความเป็นพื้นที่ลาดชัน ถ้าทำเกษตรซ้ำที่เดิม ที่ดินจะเสื่อมโทรม ซึ่งระบบไร่หมุนเวียนเป็นหนึ่งในแบบแผนเกษตรเขตร้อนที่อนุรักษ์ดินและน้ำ แทบจะใกล้เคียงกับป่าธรรมชาติ

 ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่ากลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงในเขตป่าแก่งกระจานแถบรอยต่อราชบุรีและเพชรบุรี เป็นคนไทยกลุ่มเดียวซึ่งมีวิถีวัฒนธรรมอยู่กับป่าและตั้งถิ่นฐานอยู่ต้นน้ำเพชรมายาวนาน

ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงกับหน่วยงานของรัฐด้านป่าไม้ มีรากเหง้ามาจากนโยบายรัฐที่ประกาศให้ป่าในเขตต้นน้ำเพชรบุรี เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี 2508 โดยไม่ยอมรับความเป็นชุมชน ไม่กันพื้นที่ชุมชนที่อยู่ในเขตป่าออกจากเขตป่าสงวน เมื่อเขื่อนแก่งกระจานสร้างเสร็จก็ยิ่งดึงดูดประชาชนให้มาบุกเบิกที่ดินเพื่ออาศัยทำกินมากขึ้นปัญหาก็มากขึ้นด้วย

ต่อมารัฐให้สัมปทานทำไม้แก่เอกชนนาน 10 ปี ในช่วง พ.ศ.2514 - 2524 ไม้ใหญ่ดีมีค่าในเขตป่าถูกตัดออกไปหมด เมื่อยุติสัมปทานทำไม้ ประชาชนก็เข้าครอบครองที่ดินบางส่วน

ในปี 2524 รัฐก็ประกาศป่าที่เหลือส่วนใหญ่ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่ได้รับรองสิทธิของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน ทำแผนเตรียมการอพยพชาวบ้านและอพยพชาวกะเหรี่ยงบางกลอยในปี 2539 แต่คนที่ถูกอพยพลงมาและไม่ได้รับจัดสรรที่ดินทำกินหรือทำกินไม่ได้จำนวนหนึ่งก็กลับขึ้นไปถิ่นเดิม กระทั่ง ปี 2558 ประกาศขยายแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ซ้อนทับพื้นที่ชุมชน 40 แห่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ของประชาชนมากกว่า 40,000 ไร่

 เป็นภาพสะท้อนว่าการปฏิบัติตามแนวนโยบายรัฐในการจัดการผืนป่าที่ละเมิดสิทธิของชุมชนท้องถิ่นที่อยู่มาก่อนเป็นการบีบบังคับมากเกินไป กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงซึ่งมีวิถีชีวิตอยู่กับป่า ทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าว หาของป่า จับปลาในห้วยหารายได้อย่างพอเพียงกับการดำรงชีวิตของเขา ต้องมาทำสวนผลิตเพื่อขายสร้างรายได้ไว้ซื้อข้าวซื้ออาหารกิน ไม่ใช่วิถีชีวิตวัฒนธรรมของพวกเขา  

ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ ระบุว่าปัญหาความขัดแย้งของชุมชนบางกลอยกับอุทยานฯ แก่งกระจาน เกิดขึ้มานานกว่า 25 ปีแล้ว การคลี่คลายปัญหาบางกลอยควรดำเนินไปอย่างสันติวิธี เจรจาต่อรองหาจุดร่วม บนพื้นฐานความเข้าใจบริบททางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมอันดีงาม และความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เริ่มต้นที่รัฐยอมการกระทำที่ได้ไปละเมิดสิทธิชุมชนท้องถิ่น



ชาวบ้านกะเหรี่ยงบางกลอย พร้อมด้วย ภาคี Save บางกลอย ร่วมชุมนุมเรียกร้องสิทธิกลับสู่ “ใจแผ่นดิน” บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล ช่วงกลางเดือน มีค. 2564 ภาพจากภาคีSaveบางกลอย
 ล่าสุด ความขัดแย้งระหว่าง “รัฐ” กับกลุ่ม “ชาติพันธุ์” ได้มีการเจรจาบรรลุข้อตกลงยุติการชุมนุมเพื่อเดินทางกลับบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเดินทางขึ้นไปยังใจแผ่นดิน ท้ายที่สุดปัญหาคนกับป่ายังไร้ข้อยุติ เป็นไปได้ว่า “ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย” และ “ภาคี Save บางกลอย” อาจต้องเดินทางกลับมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องสิทธิอีกครั้ง 

และดูเหมือนว่ากระแส “#saveบางกลอย” กลายมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐ “กลุ่มการเมือง”  โหนกระแสวิพากษ์เดือด ทำเอาผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกอาการหัวเสียวิจารณ์ว่า “มีผู้อยู่เบื้องหลัง”  การชุมนุมของ “ม็อบบางกลอย” คอยปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์ในผืนป่าแก่งกระจาน

 “...คนที่สนับสนุนในเรื่องเหล่านี้ผมถือว่าเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบ ไปสร้างความขัดแย้ง สร้างความไม่เข้าใจกันแล้วก็มาทำให้เกิดผลกระทบในการทำงาน...” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวไว้ 

สรุปคือฝ่ายรัฐไม่ต้องการให้ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยอพยพกลับสู่ “ใจแผ่นดิน” เพราะเป็นป่าลึก ตรวจสอบยาก โดยรัฐมีความกังวลว่าอาจเกิดการลอบตัดไม้ทำลายป่าและล่าสัตว์ รวมทั้ง อาจกลายเป็นแหล่งในซ่องสุมกองกำลังชนกลุ่มน้อย มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนของผิดกฎหมายหรือยาเสพติดขึ้นในอนาคต

ขณะที่ฝ่ายชาติพันธ์ชาวบ้านกะเหรี่ยงบางกลอย ปราถนาวิถีชีวิตดั่งเดิมทำไร่หมุนเวียนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืนในพื้นที่ใจแผ่นดินที่อยู่กับมาเป็นร้อยปีตั้งแต่บรรบุรุษ ก่อนรัฐประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯ เสียอีก

 “มหากาพย์บางกลอย” เป็นเรื่องเปราะบางละเอียดอ่อน ยังคงต้องติดตามว่าจะได้ข้อยุติอย่างไร ปมขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาติพันธุ์จะคลี่คลายในเร็วๆ นี้หรือไม่ รวมทั้ง ความพยายามกว่า 10 ของรัฐในการผลักดันผืน “ป่าแก่งกระจาน” สู่ “มรดกโลก” จะบรรลุเมื่อใด  


กำลังโหลดความคิดเห็น