ศาลฎีกาสั่งย้อนสำนวน “เเทน เทือกสุบรรณ” บุตรชายของ "สุเทพ" อดีตแกนนำ กปปส. และพวก รุกป่า “เขาเเพง” เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ให้ “ศาลอุทธรณ์” พิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมด หลังเคยพิพากษายกฟ้องเมื่อปี 61
วานนี้ (18 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 811 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีรุกป่าเขาแพง หมายเลขดำ อ.3534/56 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร ผจก.ห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น, นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน, นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อดีตเลขานุการส่วนตัวนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่าหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22
โจทก์ฟ้องความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 27 ก.ย.43–5 ต.ค.44 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตรว. ส่วนจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา พวกจำเลยอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 2 ต.ค.61 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ยกฟ้องพวกจำเลยทั้งหมด อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษพวกจำเลย
ศาลฎีกาเเผนกคดีสิ่งเเวดล้อม ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของ จำเลยที่ 1-2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ กับ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2464 มาตรา 54,55,72 ตรี โดยโจทก์ระบุถึงฐานความผิดที่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ อย่างชัดแจ้ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1, 2 ที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1, 2 มิได้กระทำความผิด แต่กลับข้ามไปพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3, 4 ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลยที่ 1, 2 ทั้งที่มูลเหตุของการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ ก็สืบเนื่องมาจากที่ดิน ส.ค.1 ทั้งสามแปลง ที่จำเลยที่ 1, 2 นำมาดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทั้ง 3 แปลงที่เกิดเหตุ
ทั้งนี้ การที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1, 2 ต่อไปนั้น อาจเป็นผลให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยงแปลงไปเพื่อให้การวินิจฉัยคดีไม่เป็นการลักลั่น และการกำหนดโทษจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัด สิทธิฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 204(2) ประกอบ มาตรา 225
ศาลฎีกาจึงพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยหลังจากนี้ ศาลอาญาจะดำเนินการส่งคืนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตามความเห็นของศาลฎีกา ต่อไป
วานนี้ (18 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 811 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีรุกป่าเขาแพง หมายเลขดำ อ.3534/56 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร ผจก.ห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น, นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน, นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อดีตเลขานุการส่วนตัวนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่าหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22
โจทก์ฟ้องความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 27 ก.ย.43–5 ต.ค.44 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตรว. ส่วนจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา พวกจำเลยอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 2 ต.ค.61 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ยกฟ้องพวกจำเลยทั้งหมด อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษพวกจำเลย
ศาลฎีกาเเผนกคดีสิ่งเเวดล้อม ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของ จำเลยที่ 1-2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ กับ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2464 มาตรา 54,55,72 ตรี โดยโจทก์ระบุถึงฐานความผิดที่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ อย่างชัดแจ้ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1, 2 ที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1, 2 มิได้กระทำความผิด แต่กลับข้ามไปพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3, 4 ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลยที่ 1, 2 ทั้งที่มูลเหตุของการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ ก็สืบเนื่องมาจากที่ดิน ส.ค.1 ทั้งสามแปลง ที่จำเลยที่ 1, 2 นำมาดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทั้ง 3 แปลงที่เกิดเหตุ
ทั้งนี้ การที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1, 2 ต่อไปนั้น อาจเป็นผลให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยงแปลงไปเพื่อให้การวินิจฉัยคดีไม่เป็นการลักลั่น และการกำหนดโทษจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัด สิทธิฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 204(2) ประกอบ มาตรา 225
ศาลฎีกาจึงพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยหลังจากนี้ ศาลอาญาจะดำเนินการส่งคืนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตามความเห็นของศาลฎีกา ต่อไป