xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” รีเทิร์น สังคมสงสัย “เล่นขายของ” อะไรกันอยู่ครับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ว่างงานอยู่ไม่น้อยกว่า 2 ปี ในที่สุด “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล”  เจ้าของสมญานาม  “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”  นายตำรวจดาวรุ่งที่ดังและมาแรงสุดในยุคนี้ก็สามารถ  “รีเทิร์น”  กลับเข้าไปรับราชการที่ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)” สมดังใจปรารถนา หลังจากถูก “เด้ง”  แบบ “ฟ้าผ่า”  ให้ไปนั่งตบยุงในตำแหน่ง  “ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เป็นเวลาแรมปี แถมยังให้พ้นจากความเป็น “ข้าราชการตำรวจ” จนกลายเป็น “ข้าราชการพลเรือน” อีกต่างหาก

“บิ๊กตู่” ให้สัมภาษณ์หลังลงนามในคำสั่งเพื่อโอนย้าย “บิ๊กโจ๊ก” ว่า การโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จาก ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.)ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วยังไม่ได้ข้อยุติก็ส่งกลับไปตรวจสอบต่อที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ประเด็นสำคัญก็คือ ยังไม่ใครรับทราบว่า การตรวจสอบที่ว่ายุติแล้วนั้น ยุติอย่างไร แถมยังไม่ทราบด้วยว่า สอบ “บิ๊กโจ๊ก” ด้วยข้อหาอะไรบ้าง และนั่นนำมาซึ่งคำถามจากสังคมว่า “กำลังเล่นขายของอะไรกันอยู่ครับ” 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา “บิ๊กโจ๊ก” ดิ้นรนอย่างหนักที่จะกลับไปยัง สตช. ทั้งเดินสายบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย และแน่นอนว่า รวมถึงการเข้าหา “ผู้ใหญ่” และ “ผู้มีอำนาจ” หลายต่อหลายคนด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ  “นายวิษณุ เครืองาม”  รองนายกรัฐมนตรี ที่เจ้าตัวยอมรับพร้อมกับปฏิเสธว่า “เขามาทุกสัปดาห์แต่ไม่ใช่มาด้วยปัญหาเรื่องนี้และไม่มีการคุยกันถึงเรื่องนี้เพราะไม่มีสิทธิ์พูด” ส่วนจะมีชื่อ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”  รองนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่นั้น ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ คือสังคมรับรู้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” คือ “น้องรัก” ของ “ลุงป้อม” และไม่มีใครเชื่อว่า สายสัมพันธ์อันนี้จะขาดสะบั้นลงได้

 “เป็นเรื่องของเจ้าตัว ที่ผ่านมาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน ก็รู้จักกัน ก็แล้วแต่”ลุงป้อมตอบสั้นๆ แต่เพียงเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี มี 2 สมมติฐานสำหรับการ “รีเทิร์น” ของ “บิ๊กโจ๊ก” ในครั้งนี้

สมมติฐานแรกคือ มีเสียงยืนยัน นั่งยันและนอนยันว่า “บิ๊กโจ๊ก” กลับมาได้เพราะ “ลุง” ขอมา ขณะที่อีกสมมติฐานหนึ่ง ไม่เชื่อว่าเป็น “ลุง” แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดถึงต้นสายปลายเหตุที่ดูจะยังคลุมเครือ

 ว่าก็ว่าเถอะแม้แต่ “ชาวเมืองทิพย์” ของ “พระมหาเทวีเจ้า” ที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าพิศวงอยู่ในขณะนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่า ทำไมอยู่ๆ “บิ๊กโจ๊ก” ถึง “รีเทิร์น” ได้ง่ายดายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปไล่เรียงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็จะพบว่า เหตุผลของการ “เด้งฟ้าผ่า” คราวนั้นยังไม่เคลียร์ชัด แถมนายพลตำรวจหนุ่มอดีตดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการตำรวจ ยังถูกคำสั่งจากนายกฯ ซ้ำไปอีกดอก กรณี “คลิปแฉ” คดี “วิสามัญรถ” ที่ครึกโครม จนได้รับสมญานามใหม่ว่า “โจ๊ก ท่ายาก” กระทั่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีคำสั่งให้รักษาจรรยาบรรณ ไม่ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง พร้อมขู่ลงโทษวินัย จนเจ้าตัวได้ลาไปบวช ที่อินเดีย มีอะไรที่คลี่คลายไปบ้างหรือยัง?

จะมีการสอบต่อ หรือจะตัดจบไปเลยก็ยังไม่มีใครให้ความกระจ่าง แม้กระทั่ง “พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์” โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังบื้อใบ้ตอบได้แต่เพียงว่า  “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รับราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี การตั้งกรรมการ หรือการตรวจสอบอื่นใดเกี่ยวกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ อยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี กระบวนการต่อจากนั้นตนยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ หลังจากนี้คงจะต้องมีการประสานกับสำนักนายกรัฐมนตรีว่ามีเรื่องใดบ้างที่ดำเนินการแล้ว หรือยังไม่แล้วเสร็จ และจะให้ ตร.ดำเนินการอย่างไร คงต้องรอการประสานงานก่อน” 

สำหรับ “ตำแหน่ง” นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า “บิ๊กโจ๊ก” จะไปรั้งเก้าอี้ตัวไหนระหว่าง “ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามข่าวที่ถูกปล่อยออกมา แต่เมื่อพิเคราะห์แล้ว โอกาสที่จะไปนั่งเก้าอี้ “ผู้บัญชาการประจำฯ” น่าจะมีภาษีมากกว่า เพราะถ้าจะให้ไปเป็น ผช.ผบ.ตร.ในฉับพลันทันทีก็ดูจะพิกลอยู่ไม่น้อย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ตามกฎ “ก.ตร.” ว่าด้วยการโอนข้าราชการซึ่งไม่ใช่ข้าราชการตำรวจ หรือการโอนพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ข้อ 4 ให้ผู้บังคับบัญชาหัวหน้าหน่วยงานที่มีผู้ยื่นคำขอโอน พิจารณารับโอนโดยคำนึงถึงอายุตัว อายุราชการ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความชำนาญของผู้ขอโอนเปรียบเทียบกับข้าราชการตำรวจผู้รับราชการในหน่วยงาน และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการรับโอนผู้นั้นมารับราชการทางสังกัดแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ ให้เสนอตำแหน่ง ชั้นยศ และอัตราเงินเดือนที่จะใช้รองรับการโอน พร้อมทั้งรวบรวมรายละเอียดข้อมูล หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับประวัติการรับราชการ และประวัติส่วนตัว หน้าที่การงานของตำแหน่งที่จะรับโอน เหตุผลความจำเป็นที่ต้องรับโอน ไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา...

ทั้งนี้ตามขั้นตอนสำนักนายกรัฐมนตรีต้องส่งเรื่องมาให้สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประมวลเรื่องเสนอให้ ผบ.ตร. พิจารณา ว่า “บิ๊กโจ๊ก” มีคุณสมบัติ จะกลับมาดำรงตำแหน่งใด หากไม่มีเก้าอี้ว่าง ผบ.ตร. ต้องเสนอ ก.ตร. ขอกำหนดตำแหน่ง จากนั้นชงเรื่องให้ ก.ต.ช. เห็นชอบ และส่งเรื่องกลับมาให้ ก.ตร. แต่งตั้งตัวบุคคล จากนั้นส่งเรื่องให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โอนย้ายจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามขั้นตอนสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมคือ ผู้บัญชาการ หรือตำแหน่งเทียบเท่า หรือในตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. โดยมีกระแสว่าอาจจะมีการแต่งตั้ง “บิ๊กโจ๊ก” ไปพร้อมกันในวาระเมษายน ซึ่งจะมีเก้าอี้ว่างหลายตำแหน่ง

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับหนังสือลงนามโดยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเทียบโอน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับมาเป็นข้าราชการตำรวจ หลังจากเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ตัดโอน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) โดยขณะนี้สำนักงานกำลังพลอยู่ระหว่างการประมวลเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อกลั่นกรองก่อนเสนอ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.พิจารณาสั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และยังไม่สามารถตอบได้ว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นเมื่อใด และจะสามารถดำเนินการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในวาระเดือนเมษายนหรือไม่

“สถานะของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขณะนี้ถือว่ามีการตัดโอนมาแล้ว ตามหนังสือของสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5 มี.ค. หนังสือมาถึง ตร.เมื่อวันที่ 8 มี.ค. แต่ยังมีกระบวนการทางธุรการ เป็นเรื่องทางเทคนิคกำลังพลซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ยืนยันว่ากรณีนี้เป็นระบบการบริหารราชการตามปกติที่มีการโอนย้ายข้ามหน่วยงาน เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าของข้าราชการทั้งหมดอยู่แล้ว มีอำนาจที่จะดำเนินการให้การทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” โฆษก ตร.ระบุ

ฟังๆ ดูแล้ว คงหาคำตอบอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้ผ่านๆ ไป เหมือนกับหลายเรื่องที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่อง “บิ๊กโจ๊ก” แล้ว ดูเหมือนเรื่องร้อนอีกเรื่องหนึ่งของ สตช.ก็คือกรณี  “หลงจู๊สมชาย” หรือนายสมชาย จุติกิติ์เดชา  ที่ดูเหมือน สตช.จะนิ่งเฉยเลยผ่านอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทั้งๆ ที่มีเครือข่ายที่ใหญ่โตโอฬาร เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้มีการตั้งข้อหาอะไรเพิ่มเติมจากทางตำรวจ มีเพียงข้อหา “จิ๊บจ๊อย” ที่ทำให้ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวไปอย่างง่ายดาย แต่เดชะบุญที่ยังมีความคืบหน้าจากทาง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)” ที่มีมติ  “ยึดทรัพย์”  มีมติเห็นชอบให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของ  “หลงจู๊สมชายและเสี่ยโป้-นายเสี่ยโป้ โป้อานนท์”  เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้  “พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง” รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ระบุว่า เป็นการยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดมูลฐาน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลดังกล่าว รวมทั้งสิ้นจำนวน 430 รายการ เช่น เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร เครื่องประดับ ทองรูปพรรณ ยานพาหนะ ห้องชุด ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น รวมราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท พร้อมดอกผล ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

นอกจากนั้น ปปง. ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดและผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์มากกว่า 100 ราย เพื่อเป็นการตัดวงจรอาชญากรรมและตัดเส้นทางทางการเงินของผู้กระทำความผิด ปปง.จะเน้นการสืบสวนขยายผลเพื่อยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีดังกล่าว รวมทั้งคดีอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้เกิดความเข้มข้นและเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเพื่อความสงบสุข
อย่างไรก็ดี คำถามที่ดังอื้ออึงในสังคก็คือ ทรัพย์มูลค่า 1,200 ล้านมากหรือน้อย?

ก็ต้องบอกว่า “จิ๊บจ๊อย” เมื่อเทียบกับเครือข่ายธุรกิจพนันระดับใหญ่ มีรายได้จากบ่อน ตู้สล็อต ตู้ม้า และ พนันออนไลน์ ที่ประเมินกันก่อนหน้านี้ เฉพาะของ “หลงจู๊สมชาย” คนเดียวก็มากมายกว่านี้หลายเท่า

ว่ากันตามตรง น่าเสียดายที่ ปปง.น่าจะตามล่ายึดทรัพย์ของขบวนการหลงจู๊ได้มากกว่านี้ ถ้ารัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย  “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข   ตั้งใจทำงานมากกว่านี้ เพราะกว่าที่จะจับ กวี่จะดำเนินคดีก็กินเวลานับเดือนเศษ เรียกว่ามีเวลามากพอที่หลงจู๊จะเคลื่อนไหวลบรอยทำลายหลักฐาน โยกย้ายของมีค่า ทรัพย์สินออกไป ดังได้เห็นกันไปแล้วกับ “ปาหี่” บุกคฤหาสน์หลังงามของหลงจู๊ที่ค้นเจอทรัพย์สิน “เงิน 100 บาท กับพระ 1 องค์” นั่นประไร

เรื่องนี้ ถ้า “ตำรวจใหญ่” ไม่ช่วยเหลือหลงจู๊ หรือเพียง พล.ต.อ.สุวัฒน์ สั่งการเด็ดขาด ใช้มาตรฐานเดียวกับที่ลงโทษตำรวจลูกน้องตัวเอง แจ้งข้อหาหนัก ผิด พ.ร.บฉุกเฉิน หรือที่ชัดๆ ว่า พนันเป็นความผิดตามมูลฐาน “ฟอกเงิน” ก็ต้องพ่วงไปด้วยตั้งแต่แรก แต่กลับก็ไม่ดำเนินการไปทีเดียว

อย่างไรก็ดี เป็นที่ชัดเจนว่า งานนี้ ปปง.ยังไม่จบอย่างที่ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ว่าไว้ และมีข้อมูลวงในออกมาว่า มีความเชื่อมโยงไปถึง “นายตำรวจระดับบิ๊ก” หลายต่อหลายคนด้วยกัน ซึ่งที่ผ่านมารับค่าน้ำร้อนน้ำชากันเดือนละหลายกิโลกรัม และเมื่อใดก็ตามที่เปิดชื่อออกมา สังคมคงต้องอ้าปากค้างกันอีกครั้งและรับรองว่าจะไม่เกิดคำถามเหมือนกรณี “บิ๊กโจ๊ก” อย่างแน่นอน.


กำลังโหลดความคิดเห็น