xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศาลสั่งจำหน่ายคดีประมูลสายสีส้ม “เจ้าสัวคีรี” เปิดหน้าชกอุทธรณ์สู้ รฟม.รัวกลองศึกชิงดำยกใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.28 แสนล้านบาท
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -   รฟม.ขยับเดินหน้าลุยเปิดประมูลใหม่สำหรับรถไฟฟ้าสายสีส้ม หลังจากศาลปกครองมีคำสั่งจำหน่ายคดีที่ บีทีเอสซี ฟ้อง รฟม. ในข้อหารื้อเกณฑ์ประมูลจนทำให้ รฟม.ตัดใจล้มกระดาน ดีเดย์ศึกยกใหม่คาดเปิดขายซองประกวดราคากลางเดือนเมษายนนี้ เอกชนมีเวลาวิ่งตีนขวิดเพียง 3 เดือนก่อนเคาะคัดเลือกผู้ชนะ ฝ่ายบีทีเอสซี ฮึดสู้ ยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมกับรอฟังศาลอาญาฯ รับฟ้องคดีหรือไม่ 15 มีนาคมนี้ 

หลังจากมีปัญหาคาราคาซังข้ามปี ในที่สุดการประมูล  โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม  มูลค่ากว่าแสนล้าน ก็กลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่โดยคดีที่ฟ้องร้องกันในศาลเป็นอันยุติในข้อหาหลัก เหลือแต่เพียงข้อหาเรียกค่าเสียหายไม่กี่ตังค์เมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการนับแสนล้าน ที่ศาลปกครองยังรับคดีไว้วินิจฉัยต่อ

จุดชี้ขาดจบปัญหาคดีคาศาลมีความชัดเจนจากถ้อยแถลงของนายจำกัด ชุมพลวงศ์ รองโฆษกศาลปกครอง ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งศาลจำหน่ายคดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) ขอให้ศาลปกครอง มีคำสั่งเพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์การประมูลใหม่ หลังจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีการเปิดประมูลไปแล้ว

 ศาลให้เหตุผลในการสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวว่า เนื่องจากเหตุแห่งการฟ้องคดีตามคำขอที่ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งพิพาทหมดสิ้นไป ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อออกคำบังคับตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ต่อไปอีก เนื่องจาก รฟม.ได้ยกเลิกการประมูลที่บีทีเอสซียื่นคำร้องต่อศาลไปแล้ว และมีการเปิดการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าดังกล่าวใหม่ 

 และศาลยังได้มีคำสั่งให้คำสั่งศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 สิ้นผลบังคับลงไปด้วย โดยยังเหลือประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาต่อไป คือกรณีที่บีทีเอสซีขอให้ศาลสั่งให้ รฟม.ชดใช้ค่าเสียหาย 500,000 บาท จากการจ้างที่ปรึกษาด้านเทคนิคในการยื่นประมูลโครงการเท่านั้น 

เมื่อคดีเดินมาถึงจุดนี้ นั่นหมายถึงว่า เกมการต่อสู้ยกนี้ของกลุ่มบีทีเอสพ่ายยับเยิน กับความหวังที่ร้องต่อศาลปกครองขอให้ รฟม.กลับไปใช้เกณฑ์ประมูลเดิมและเดินหน้าต่อภายใต้หลักเกณฑ์ประมูลที่บีทีเอสซีคาดหมายว่าจะสู้คู่แข่งขันได้ ทว่า เมื่อ รฟม. พลิกเกมเลิกล้มประมูลกลางครัน ทำให้เหตุแห่งคดีที่บีทีเอสซี ร้องต่อศาลหมดสิ้นลง และนำมาสู่คำวินิจฉัยของศาลปกครองดังกล่าวข้างต้น แต่ก็ยังมีลุ้นอีกเฮือกเมื่อศาลมีคำวินิจัยออกมาแล้ว บีทีเอสซียังมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน

อาจคล้ายยังอยู่ในโหมดสงครามยังไม่จบแบบสะเด็ดน้ำอย่าเพิ่งนับศพทหาร สำหรับ  “เจ้าสัวคีรี - นายใหญ่แห่งบีทีเอสกรุ๊ป” นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งแม้จะรู้ว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีแล้วแต่ระหว่างใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ ก็ขอดิ้นอีกเฮือก โดยนายคีรี ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงวันที่ 8 มีนาคม 2564 ความยาว 5 หน้ากระดาษ ร่ายถึงความไม่ชอบมาพากลในการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การประมูลของ รฟม. และคณะกรรมการตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 หรือคณะกรรมการคัดเลือกฯ หลังจากเปิดประมูลไปแล้วตามที่บีทีเอสซียื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง

 “เจ้าสัวคีรี” ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายกระบวนการประกวดราคาครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ส่วนการเปิดประมูลใหม่ก็ส่อว่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากปล่อยให้หน่วยงานรัฐดำเนินการไม่ถูกต้องลักษณะนี้ จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ จนอาจทำให้ประเทศชาติได้รับความเสื่อมเสียและขาดความน่าเชื่อถือ  

เป้าประสงค์ในการยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เจ้าสัวคีรีแห่งบีทีเอสกรุ๊ป ร้องขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2563 ตรวจสอบการกระทำของผู้ว่าการ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความเสียหายหากผลปรากฏในทางคดีว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้สั่งการไปยัง รฟม. หยุดการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจนกว่าศาลจะมีคำสั่งต่อไป

นั่นคงหมายถึงการขอให้ฝ่ายรัฐบาลรอคำตัดสินชี้ขาดของศาลปกครองกลางหลังจากบีทีเอสซี ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุดเสียก่อนที่จะมีการดำเนินการใดๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย และคณะรัฐบาลจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบในภายหลัง

นอกเหนือจากการทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว บีทีเอสซี ยังส่งหนังสือร้องเรียนที่ลงนามโดยนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถึงนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายภคพงศ์ ศิริกันทมาศ ผู้ว่าการ รฟม. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 เพื่อขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินการในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเช่นเดียวกัน

ในวันถัดมา 10 มีนาคม 2564  นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี และ  พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย  ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดแถลงข่าวติดตามความคืบหน้า เรื่อง “การดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม” นับเป็นท่าทีที่เรียกได้ว่าเปิดหน้าสู้เต็มเหนี่ยว

ถ้อยแถลงของนายสุรพงษ์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งจดหมาย ถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และประธานคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เนื่องจาก รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชนพ.ศ. 2562 ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนโดยไม่ชอบ ที่ผ่านมาบริษัทได้ทำหนังสือสอบถามและขอความเป็นธรรมถึงบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการรวม 5 ฉบับ แต่ไม่ได้รับการชี้แจงและตรวจสอบความไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทเห็นว่าการดำเนินการของ รฟม. น่าจะไม่ถูกต้องทั้งข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ขณะนี้ทีมกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณายื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางที่ได้จำหน่ายคดีที่บริษัทยื่นฟ้อง รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกมาตรา 36 ภายในเวลา 30 วัน หลังจากบริษัทได้รับแจ้งจากศาลปกครอง และยังมีเรื่องประเด็นเรื่องชดใช้ค่าเสียหาย 5 แสนบาท ที่รอคำตัดสินจากศาล

นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาประเด็นใหม่ ที่ รฟม. ยกเลิกการประกวดราคาและทำการเปิดประกวดราคาใหม่ รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นเอกชนร่าง RFPใหม่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเวลาพิจารณาและยื่นฟ้องศาลใหม่ภายใน 90 วัน

ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีที่บริษัทยื่นฟ้องที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยฟ้องผู้ว่าการ รฟม. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 165 ซึ่งวันที่ 15 มีนาคม 2564 นี้ ศาลนัดฟังว่าจะมีคำสั่งรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่

ส่วนกรณีที่ รฟม.เปิดประมูลใหม่ บริษัทฯจะเข้าร่วมหรือไม่นั้น นายสุรพงษ์ ยังไม่ขอตอบ ต้องขอดูทีโออาร์ และรายละเอียดอื่นๆ ก่อน

นายสุรพงษ์ ยืนยันอีกครั้งว่าการใช้หลักเกณฑ์เดิมมีความเหมาะสม โดยพิจารณาจากซองเทคนิคก่อนและตัดสินที่ซองราคา ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการร่วมลงทุน (PPP) ดังนั้นเอกชนคู่สัญญาจะต้องอยู่คู่กับภาครัฐอีกนาน คุณภาพก่อสร้างและประสิทธิภาพการบริการ หากไม่ดีเป็นความเสี่ยงของเอกชนทั้งสิ้น

 “บีทีเอส ไม่ต้องการแสดงออกในลักษณะของการโต้แย้งกับหน่วยงานของรัฐผ่านสื่อ เราพยายามร้องขอความเป็นธรรมและดำเนินตามกระบวนการกฎหมายที่มี แต่จนถึงขณะนี้เราพบว่า มีความพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจทำให้บีทีเอสเกิดความเสียหาย ดังนั้น ในวันนี้เราจึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงความจริงทั้งหมด สิ่งที่ดำเนินการมาและสิ่งที่กำลังดำเนินการต่อไปเพื่อให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง” นายสุรพงษ์ กล่าวถึงจุดยืนของบริษัท 

พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บีทีเอสกรุ๊ป กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้นมีความผิดปกติในขั้นตอนที่กำลังรอให้เอกชนยื่นข้อเสนอ เมื่อมีบริษัทเอกชนที่ร่วมซื้อซองทำหนังสือไปถึง ผู้ว่าการ รฟม. และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ขอให้พิจารณาเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การพิจารณาผู้ชนะการประมูล โดยอ้างเหตุผลถึงหลักเกณฑ์และความเสี่ยงสูงของการขุดเจาะอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งผ่านพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในจะต้องใช้เทคนิคการออกแบบทางวิศวกรรมและวิธีการก่อสร้างขั้นสูงเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อประชาชนในด้านต่างๆ และการที่ ผอ.สคร. ทำหนังสือถึง รฟม. แจ้งว่า เรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการคัดเลือก มาตรา 36 ตรงนี้เป็นพิรุธ เนื่องจาก สคร. มีฐานะเป็นเลขาคณะกรรมการ PPP หากมีปัญหาเกิดขึ้นต้องเสนอคณะกรรมการ PPP พิจารณา

“เจ้าสัวคีรี - นายใหญ่แห่งบีทีเอสกรุ๊ป” นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ขณะที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ ตามมาตรา 36 ไม่มีอำนาจแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือก โดยมีหน้าที่เห็นชอบร่าง RFP เท่านั้น ซึ่งตามพ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ ปี 2562 กระบวนการประกวดราคาตั้งแต่ขายซอง รับซอง ประเมินข้อเสนอ และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ต้องเดินหน้าให้จบไม่สามารถย้อนหลังได้ และจาการตรวจสอบตั้งแต่มาตรา 1-70 ไม่มีมาตราใดให้อำนาจเปลี่ยนแปลง ยกเว้นประกาศคณะกรรมการ PPP ข้อ 9 ที่ระบุกรณีขายซองแล้ว ถึงกำหนดรับซองแต่ไม่มีผู้ยื่น หรือมีผู้ยื่นแต่ไม่ผ่านเกณฑ์จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญจะต้องเสนอ ครม. พิจารณา ซึ่งสายสีส้มยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น จึงไม่เข้าข่ายข้อ 9 ดังนั้น การกระทำของ รฟม. และคณะกรรมการฯ ตามมาตรา 36 ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“รฟม.อ้างสงวนสิทธิ์ตาม RFP ข้อ 12.1 ต้องบอกว่า สิทธิกับอำนาจทางกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการยกเลิกประมูลของรฟม. ไม่ได้อ้างอิงข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.ร่วมลงทุน รวมถึงการยกเลิกประมูล เปิดรับฟังความเห็นร่าง RFP ใหม่ ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ หาก รฟม.ยังดึงดันต่อ ไม่เลือกใช้วิธีที่ถูกต้อง ปีนี้ก็ประมูลไม่เสร็จ บริษัทจะฟ้องต่อไป วันนี้เรากับรฟม.พูดคนละเรื่อง เราพูดเรื่องไม่ทำตามกฎหมาย รฟม.พูดเรื่อง Price Performance มีกฎหมายให้ทำ แต่ รฟม.ไม่ทำ การที่ รฟม.ทำแบบนี้เพื่ออะไร ใครสั่งให้ทำ ใครได้ประโยชน์ ” ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บีทีเอสกรุ๊ป กล่าว
 
พ.ต.อ.สุชาติ ยังบอกด้วยว่า การที่บริษัท ยื่นหนังสือถึง นายกฯ ประธานบอร์ด PPP รมว.คมนาคม และประธานบอร์ดรฟม. เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของผู้ว่าการ รฟม. และผู้เกี่ยวข้อง และสั่งการให้ รฟม.หยุดการกระทำใดๆ จนกว่าศาลจะมีคำสั่ง เราเชื่อว่าเมื่อมีการตรวจสอบโครงการต้องหยุด ต้องถามว่าหาก รฟม.เดินหน้าประมูล และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ เท่ากับต้องการดึงผู้ใหญ่มาร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เราเห็นว่าเรื่องนี้ต้องมีจุดจบ ต้องมีคนลงมาแก้ปัญหา

อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา แต่เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 การทำหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวของบีทีเอสซี จะมีจุดพลิกผันก็ตรงที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ตรวจสอบกระบวนการประกวดราคาที่ไม่โปร่งใสตามข้อร้องเรียนของบีทีเอสกรุ๊ปใหม่ ซึ่งโอกาสที่จะมีรายการฟื้นฝอยหาตะเข็บแม้จะเป็นไปได้ยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเพราะข้อเรียกร้องของบีทีเอสซีที่ขอให้ตรวจสอบนั้นล้วนอ้างอิงข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ หากรัฐบาลละเลยเพิกเฉย จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้

 ท่าทีจากนายศักดิ์สยาม ที่รับเผือกร้อนเต็มๆ ชิงออกตัวว่า ถึงเวลานี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้สั่งการใดๆ ลงมา ขณะที่ รฟม. ก็เดินหน้าเปิดประมูลใหม่ต่อไป ตามที่ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. บอกว่า คำสั่งศาลปกครองส่งมายัง รฟม.แล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ รฟม. ต้องชะลอการเชิญชวนประกวดราคารอบใหม่ตามที่บีทีเอสซี ร้องเรียนโดยอ้างว่าคดียังมีข้อพิพาทกันอยู่  

ย้อนกลศึกสู้คดีของ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ กับ บีทีเอสซี ที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเล็กน้อย หลังจากศาลปกครองกลาง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 หรือให้การคุ้มครองชั่วคราวตามที่บีทีเอสร้องขอต่อศาล ทาง รฟม. ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด แต่ต่อมา รฟม. เดินเกมใหม่โดยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

จากนั้น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 บอร์ด รฟม.มีมติยกเลิกการประมูลที่มีข้อพิพาทกันอยู่และประกาศเปิดประมูลใหม่ โดยไม่รอคำตัดสินของศาล เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นตามกรอบเวลาที่วางไว้ เพราะหากรอศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นจะใช้เวลานานทำให้กำหนดกรอบเวลาดำเนินงานไม่ได้ ต่อมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และ รฟม. ได้ยื่นคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริงและขอให้จำหน่ายคดี ซึ่งศาลปกครองกลางได้สั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวข้างต้น

ฝั่งของ รฟม. ซึ่งถือว่าจบข้อพิพาทแล้วนั้น รฟม. ได้เริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ขึ้นใหม่อีกครั้ง ตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ส่วนที่ 2 (การคัดเลือกเอกชน) ตามมาตรา 35 ซึ่งระบุให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำร่างประกาศเชิญชวนร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และร่างสัญญาร่วมลงทุน เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 2-16 มีนาคม 2564 และช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ รฟม. จะนำร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาฯ รวมถึงผลการรับฟังความคิดเห็น เสนอคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนพิจารณาเห็นชอบฯ ตามหน้าที่และอำนาจในมาตรา 38 ต่อไป

โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกนั้น รฟม.เห็นว่า จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่เส้นทางโครงการที่เอกชนผู้ร่วมลงทุนต้องดำเนินการด้วยเทคนิคก่อสร้างที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด จึงกำหนดวิธีประเมินคะแนนด้านเทคนิคและคุณภาพควบคู่คะแนนด้านผลตอบแทนและการลงทุน (Price-Performance) ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และสาระสำคัญของร่างสัญญาฯ พ.ศ. 2563 โดยในข้อ 4(8) ที่ให้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่ให้ระบุหลักเกณฑ์และวิธีการตัดสินเป็นคะแนนในทุกด้านทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา

ตามไทม์ไลน์ รฟม. คาดว่าจะเปิดขายเอกสารประกวดราคาในเดือนเมษายน 2564 ให้เอกชนจัดทำข้อเสนอเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564 จากนั้นจะประเมินข้อเสนอและได้ตัวผู้รับจ้างภายในเดือนกรกฎาคม 2564 และเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการเจรจาภายในเดือนสิงหาคม 2564 คาดว่าจะเปิดให้บริการสายสีส้มตะวันออกช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในปี 2567 และด้านตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ ปี 2569

“การยกเลิกประมูลโดยไม่รอคำตัดสินของศาลเพื่อเร่งรัดโครงการ การเปิดประมูลใหม่คาดว่าจะทำให้ล่าช้าจากกำหนดการเดิมประมาณ 1 เดือน ซึ่งประเมินผลกระทบน้อยกว่าหากเทียบกับการรอให้คดีสิ้นสุดที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการกว่า 1 ปี ส่วนเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิค 30 คะแนน ด้านราคา 70 คะแนน เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อโครงการและ รฟม.มากที่สุด ซึ่ง รฟม.จะสรุปความเห็นเอกชนเสนอคณะกรรมการ มาตรา 36 พิจารณาเห็นชอบ กรณีที่ประมูลแล้วมีเอกชนยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียวตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ สามารถเจรจาได้” ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวถึงเกณฑ์การตัดสินผลประกวดราคา ซึ่งซ่อนนัยเอาไว้ไม่น้อย

 แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.28 แสนล้านบาท ซึ่งยกแรกที่ผ่านมาเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างสองกลุ่มบิ๊กเบิ้มของวงการ คือ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ที่ควงแขนมาพร้อม บมจ. ช.การช่าง (CK) กับอีกกลุ่มคือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ประกอบด้วย บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น ที่ต่างมีแบ็กอัพแน่นปึ๊กหนุนหลังทั้งคู่ต้องสู้กันสุดติ่งอย่างมิพักต้องสงสัยในยกต่อไป แม้ว่าตอนนี้ บีทีเอสกรุ๊ป จะสงวนท่าทีขอดูว่าจะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ แต่เชื่อว่าไม่น่าพลาดโอกาสเข้าร่วมชิงดำแน่ 



กำลังโหลดความคิดเห็น