xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

การเรียนภาษาจีนในสมัยก่อน (4)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประกาศนียบัตรตอนจบชั้น ป.สี่ในสมัยก่อน ซึ่งมีข้อความระบุว่าเป็นคนมณฑลกว่างตงที่ประเทศจีน
คอลัมน์ : ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ดังที่ผมได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า  โรงเรียนจ้องฮั้ว ได้สร้างความทรงจำให้ผมหลายเรื่อง ทั้งนี้มิใช่เพราะเป็นโรงเรียนแรกในชีวิต และมิใช่เพราะเป็นโรงเรียนแรกที่ได้เรียนภาษาจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นโรงเรียนที่ปลูกฝังสำนึกบางอย่างให้กับผมในวัยเด็กอีกด้วย

สำนึกนี้จะเรียกว่าอะไรผมเองก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันคือบรรยากาศและเหตุการณ์ตลอดห้าปีที่ได้หล่อหลอมให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ และสำนึกนี้คงเกิดได้ยากหากมิใช่เพราะผมมีภูมิหลังครอบครัวที่มีเชื้อสายจีน ซึ่งก็คือ  ชาวจีนโพ้นทะเล 

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

เบื้องต้นสุดคือ ตั้งแต่เล็กจนโตแล้วเข้าเรียนที่โรงเรียนจ้องฮั้วนั้น ทางบ้านได้ปลูกฝังว่าลูกๆ ทุกคนคือคนจีน มีบ้านเกิดอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ เวลาคิดและทำอะไรล้วนแล้วแต่คิดและทำแบบจีนทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นไทยปนอยู่เลย นอกจากภาษาไทยที่พวกเราพี่น้องพูดกันเอง  

ที่สำคัญ การปลูกฝังดังกล่าวใช่แต่ครอบครัวผมเท่านั้นที่ทำ ครอบครัวของเพื่อนเด็กที่โตมาด้วยกันก็ปลูกฝังเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราเด็กๆ ที่ต่างเป็นลูกจีนจึงมีความคิดและวิถีชีวิตที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

จากเหตุนี้ เมื่อผมและเพื่อนเด็กโตขึ้น ทางบ้านก็ส่งเข้าโรงเรียนจ้องฮั้วกันแทบทุกบ้าน และตอนที่ไปลงทะเบียนเข้าเรียนนั้น ทางบ้านคงได้บอกภูมิหลังของลูกด้วยว่าเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ใช่คนไทยที่เกิดและโตในไทย ทั้งๆ ที่เกิดและโตในไทย

ระหว่างที่เรียนอยู่นั้นผมและเพื่อนเด็กด้วยกันไม่รู้เรื่องการลงทะเบียนเข้าเรียนดังกล่าว แต่มารู้ตอนที่เรียนจบไปแล้ว เพราะในประกาศนียบัตรที่พวกเราได้รับต่างระบุว่าพวกเราเป็นคนจีนที่มีถิ่นฐานอยู่ที่จีน อย่างกรณีของผมนั้นจะระบุว่า ผมเป็นคนจังหวัดเจียวหลิ่ง มณฑลกว่างตง เป็นต้น

และพอเข้าไปเรียนแล้วทางโรงเรียนก็ต้องให้ความรู้เรื่องจีนแก่นักเรียน ความรู้นี้ใช้สาธารณรัฐจีนเป็นตัวตั้ง มิใช่สาธารณรัฐประชาชนจีนดังปัจจุบัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเวลานั้นรัฐบาลไทยชูนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงไม่ได้รับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน หากแต่รับรองสาธารณรัฐจีนที่ตั้งอยู่ที่เกาะไต้หวัน

เมื่อเป็นเช่นนี้จีนที่พวกเรารู้จักตอนเด็กจึงเป็นสาธารณรัฐจีน ที่ซึ่งในตอนนั้นแม้จะปกครองด้วยกฎอัยการศึก แต่ก็เป็นรัฐเสรีนิยมที่เชิดชูลัทธิไตรประชาเป็นหลักในการปกครอง

 ลัทธิไตรประชาหรือซันหมินจู่อี้ในภาษาจีนเป็นลัทธิที่ ดร.ซุนยัตเซ็น (ค.ศ.1866-1925) บิดาแห่งสาธารณรัฐจีนเป็นผู้ตราขึ้นมา เป็นลัทธิที่มุ่งพัฒนาจีนในสามด้านคือ ด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือประชาสิทธิ์ ด้านอิสรภาพและเอกราชหรือประชาชาติ และด้านเศรษฐกิจที่ยึดประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญหรือประชาชีพ 

 สรุปแล้ว หลักคิดของลัทธิไตรประชาจึงจำได้ง่ายๆ ว่าประกอบไปด้วย “สามประชา” คือ ประชาสิทธิ์ ประชาชาติ และประชาชีพ 

พวกเรานักเรียนในสมัยนั้นจึงถูกสอนให้รู้จักลัทธิไตรประชาไปด้วย แต่ด้วยความที่ยังเด็ก ลัทธิไตรประชาที่พวกเรารู้จักจึงไม่ได้ลึกซึ้งอะไร คือพวกเราไม่รู้ไปถึงขั้นว่า “สามประชา” มีอะไรบ้าง ที่สรุปไปข้างต้นนั้นเป็นความรู้ที่ผมได้มาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ลัทธิไตรประชาที่เรารู้จักนั้นรู้จักจากเพลงชาติจีน ซึ่งเป็นเพลงชาติของสาธารณรัฐจีน คำร้องของเพลงนี้ขึ้นต้นด้วยคำว่า  ซันหมินจู่อี้ หรือ ลัทธิไตรประชา พวกเราถูกสอนให้ร้องเพลงนี้จนจำได้ขึ้นใจ

ตอนที่ครูสอนให้ร้องเพลงชาติจีนนี้เข้าใจว่าก็เพราะจะมีกิจกรรมหนึ่งเกิดขึ้น คือจะมีตัวแทนจากสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่คงมีตำแหน่งสูงพอควรมาเยือนปัตตานี นัยว่าเมื่อตัวแทนท่านนี้มาถึงสถานที่ที่ต้อนรับแล้ว นักเรียนก็ร้องเพลงนี้เพื่อแสดงความเคารพ พวกเราซึ่งถูกฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตั้งท่าร้องอย่างจริงจัง 
 
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ว่าพอถึงวันจริงพวกเรากลับไม่ได้ร้องเพลงนี้ ได้แต่ยืนต้อนรับตัวแทนท่านนี้เพียงอย่างเดียว จนผมและเพื่อนนักเรียนงงไปตามๆ กัน และเสียความรู้สึกเล็กๆ ที่สู้อุตส่าห์ซ้อมมาเป็นอย่างดีแต่กลับไม่ได้ร้อง

ตอนที่ผมโตเป็นวัยรุ่นจึงได้รู้ว่า เวลานั้นสาธารณรัฐจีนที่ไต้หวันมีความสัมพันธ์กับโรงเรียนจีนในไทยอยู่ไม่น้อย ก่อนหรือหลังกิจกรรมวันนั้นผมเองไม่แน่ใจนัก เมื่อจู่ๆ ทางโรงเรียนก็แจ้งว่า ครูจวงซึ่งเป็นครูภาษาจีนคนแรกของผมจะไม่อยู่สอนหลายวัน เพราะท่านได้รับเชิญให้ไปร่วมเฉลิมฉลองวันชาติจีนที่ไต้หวันซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี

ถึงตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า สำนึกบางอย่างที่ผมบอกไม่ถูกว่าคืออะไรนั้น ก็คือ สำนึกที่ตั้งอยู่บนความเป็นจีน (Chineseness) เป็นปฐม จากนั้นสำนึกนี้จะค่อยๆ ถูกหล่อหลอมไปอีกชั้นหนึ่งเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนจ้องฮั้ว สำนึกตอนที่อยู่โรงเรียนจีนเป็นสำนึกที่เกี่ยวพันกับการเมืองแบบสาธารณรัฐ ซึ่งมีฐานคิดไปในทางเสรีนิยมหรือประชาธิปไตย

แน่นอนว่า สำนึกอย่างหลังนี้ไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก เพราะพวกเรายังเด็กอยู่ สำนึกนี้จึงมีอยู่เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะรับได้เท่านั้น

ตราบจนวันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เมื่อครูจวงกับครูอีกจำนวนหนึ่งได้ลาออกไปแล้วก็มีครูคนใหม่เพิ่มเข้ามาหลายคน ตอนนั้นผมกำลังขึ้นไปเรียนชั้น ป.สี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้าย แน่นอน ผมย่อมโตพอที่จะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนบ้างแล้ว

 ครูที่เข้ามาเพิ่มในช่วงเดียวกันมีอยู่ 3-4 คน สองคนแรกเป็นพ่อลูกแซ่ซู โดยลูกเป็นผู้หญิง พวกผมซึ่งไม่ได้เรียนกับครูที่เป็นลูกสาวจึงเรียนครูผู้เป็นพ่อว่า ครูซู อีกคนหนึ่งเป็นครูหนุ่มที่เพิ่งจบจากไต้หวันมาหมาดๆ พวกเราเรียกว่า ครูเฉิน สุดท้ายคือ ครูหลิน เป็นครูในวัยกลางคนและเป็นครูที่ผมเคยบอกไปแล้วว่ามีฝีมือในการเขียนภาพแบบจีน  

หลังมีครูใหม่เพิ่มเข้ามาไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เริ่มจากที่ครูชายทุกคนทั้งครูไทยและครูจีนต่างผูกเน็กไทมาสอน ซึ่งก่อนหน้านั้นแต่งกายสุภาพธรรมดา เรื่องนี้ทำให้พวกเราเด็กๆ รู้สึกว่าครูของเราดูเท่ขึ้น

การเปลี่ยนแปลงต่อมาดูจะใหญ่กว่าเรื่องแรก นั่นคือ ได้เกิดบุคลิกภาพของครูสองคนสองขั้วที่ต่างกัน โดยครูซูซึ่งน่าจะเป็นครูใหญ่ฝ่ายจีนอยู่ด้วยนั้น เป็นครูที่มีอาวุโสที่ดุมากจนเป็นที่เกรงกลัวของเด็กนักเรียน เวลาสอนก็ดูจริงจังไม่มีความอ่อนโยนแบบครูคนอื่น ใครพูดใครคุยแม้เพียงเล็กน้อยเป็นต้องถูกลงโทษ ไม่มีการผ่อนปรนแม้แต่น้อย แต่ภาษาจีนกลางของท่านดีมากๆ

อีกขั้วหนึ่งคือ ครูเฉิน ซึ่งจะด้วยเป็นครูหนุ่มที่เพิ่งจบกลับมาหรือด้วยบุคลิกส่วนตัวเป็นพื้นเดิมอย่างไรมิทราบได้ ปรากฏว่า ครูเฉินเป็นครูที่ใจดี เวลาสอนท่านมักจะเล่าเรื่อง ดร.ซุนยัตเซ็นให้ฟังอยู่เสมอ และที่ดูจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเราเด็กๆ ก็คือ ครูเฉินมักพาพวกเราไปนั่งเรียนใต้ต้นไม้ที่สนามของโรงเรียน

 ด้วยความแตกต่างสุดขั้วดังกล่าวพวกเราจึงชอบครูเฉินมากกว่า เพราะเวลาเรียนไม่ต้องนั่งตัวเกร็งด้วยความกลัวแบบที่นั่งเรียนกับครูซู แต่คนที่มีบุคลิกภาพต่างกันแบบสุดขั้วสองคนมาอยู่ด้วยกันย่อมเข้ากันได้ยาก และแล้ววันหนึ่งก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนได้ เมื่อครูซูกับครูเฉินทะเลาะกันในห้องพักครูอย่างรุนแรง เพื่อนเล่าว่าเห็นครูเฉินพูดเสียงดังลั่นพร้อมกับใช้มือทุบโต๊ะด้วยความโกรธ 

เพียงแค่นั้นก็ทำเอาเด็กๆ อย่างพวกเราตื่นเต้นระทึกใจ แต่ครูทั้งสองท่านจะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร หรือใครถูกใครผิดไม่ได้อยู่หัวแม้แต่น้อย รู้แต่ว่า ความขัดแย้งดังกล่าวดำรงอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นกรรมการโรงเรียนก็เข้ามาแก้ปัญหา

ผลคือ เราไม่เห็นครูเฉินไม่กลับมาสอนอีก ส่วนครูซูก็ลดทอนความดุของท่านลง ซ้ำบางทียังพูดเล่นกับนักเรียนพร้อมรอยยิ้มอีกด้วย เรียกว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว และจนทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าครูทั้งสองท่านขัดแย้งกันด้วยเรื่องใด แต่การที่เรื่องจบลงเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่าครูเฉินเป็นฝ่ายผิด

สำหรับผมซึ่งยังมีความทรงจำในเรื่องนี้ได้ดี แม้จะไม่รู้สาเหตุของความขัดแย้งคืออะไรแน่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า สิ่งที่ต่างขั้วกันเมื่อมาปะทะกันความรุนแรงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และก็เป็นอีกสำนึกที่เกิดกับผมเมื่อวัยเด็ก นอกจากสำนึกเกี่ยวกับเสรีนิยม

หลังจากที่ผมจบออกไปแล้วก็ได้ข่าวว่าครูซูได้ลาออกไป ครูหลินได้ก้าวเข้ามาเป็นครูใหญ่ฝ่ายจีนแทน แถมได้ข่าวว่าท่านยังเปิดสอนการเขียนภาพแบบจีนให้แก่นักเรียนอีกด้วย ผมซึ่งชอบการวาดภาพมาแต่เด็กจึงรู้สึกเสียดายมากที่ไม่มีโอกาสได้เรียนกับท่าน

 หาไม่แล้วอาจมีความทรงจำเพิ่มเข้ามาอีกเรื่องหนึ่งที่พิสดารออกไปจากที่เล่ามาก็ได้ 


กำลังโหลดความคิดเห็น