มีความละม้ายคล้ายกันหลายเรื่องระหว่างอดีตปธน.ฝรั่งเศส (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2007-2012) นิโคลาส์ ซาร์โกซี และอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2016-2020)
และตอนจบหลังลงจากตำแหน่งปธน.แล้ว ยังจะเหมือนกันอีกหรือไม่ เป็นสิ่งที่หลายคนกำลังติดตามชม
ทั้งคู่อยู่ในพรรคอนุรักษนิยม และดำรงตำแหน่งเพียงสมัยเดียว เพราะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมัยที่สอง
ทั้งคู่มีนโยบายต่อต้านรุนแรงต่อผู้อพยพเข้าเมืองจากต่างประเทศ
ทั้งคู่แต่งงานกับภรรยาที่อายุอ่อนกว่ามากถึง 20 กว่าปี และภรรยาก็เป็นนางแบบสาวที่มีค่าตัวแพง
ทั้งคู่ชอบสร้างข่าวด้วยชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะโอ่อ่า ไม่ติดดิน และจัดเป็นชีวิตที่หวือหวาไม่เหมือนชาวบ้าน
ที่สำคัญคือ ใช้การเมืองอย่างเต็มที่ในการพยุงฐานอำนาจ และทำลายคู่แข่งทางการเมือง
และที่ทั้งคู่ต้องเสียหน้าอย่างสุดๆ ก็คือ การต้องแพ้การเลือกตั้งสมัยที่สองให้กับคู่แข่งทางการเมืองที่มีชีวิตแตกต่างกับตนเองอย่างสิ้นเชิง
ซาร์โกซีดูถูกคนที่ชนะเขา คือ ปธน.โอลองด์ ว่าเป็น “คนแสนธรรมดา” หรือเข้าข่าย “สุดเชย-ไม่มีสีสันใดๆ” ; แต่โอลองด์จากพรรคสังคมนิยมก็เป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่งด้วย และมีภรรยาที่อาจจะเก่งกว่าโอลองด์ด้วยซ้ำ
ฝรั่งเศสภายใต้ปธน.โอลองด์เปลี่ยนจากผู้นำที่ชอบงานสังสรรค์สุดหรูที่พระราชวังเอลิเซ่ (ทำเนียบรัฐบาล) มากลายเป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่โลดโผน
ขณะที่ทรัมป์กับการสร้างแต่ข่าวทุกวี่ทุกวันในการตระเวนหาเสียง (ขณะที่กำลังดำรงตำแหน่งปธน.) ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำเนียบขาว ควงคู่กับ FLOTUS หรือสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่สร้างข่าวกับเสื้อผ้าสุดหรูของเธอ
ต่างกับปธน.ไบเดน ที่เข้ามารับตำแหน่งในช่วงโควิด จึงไม่ได้จัดงานหรูหราใดๆ ทั้งสิ้น และภรรยาคือ FLOTUS ก็เป็น Working Woman ที่ยังคงไปทำงานสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยทุกๆ วัน
พอซาร์โกซีลงจากตำแหน่ง ก็เริ่มมีคดีความมากมายรออยู่ ซึ่งขณะนี้ทรัมป์เองหลังหมดวาระ ก็กำลังเผชิญกับคดีสำคัญๆ รออยู่เช่นกัน เช่น การโกงภาษี-จากการแจ้งรายได้เท็จ หรือการนำเงินบริจาคทางการเมืองไปใช้ผิดประเภท รวมทั้งคดีข่มเหงทางเพศที่มีโจทก์หลายรายรอคิดบัญชีอยู่ และอาจมีคดียุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล ขั้นกบฏที่พาม็อบบุกเข้าทำลายทรัพย์สิน และยึดอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราฯ ที่ผ่านมาด้วย
สำหรับซาร์โกซี คดีแรกที่ศาลชั้นต้นเพิ่งตัดสินเมื่อสองวันมานี้ เป็นคดีคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2014 ซึ่งขณะนี้เขาเพิ่งแพ้การเลือกตั้งรอบ 2 (ปี 2012) แต่เขายังทรงอิทธิพลสูงมากในพรรคอนุรักษนิยม
ผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีของซาร์โกซี เป็นผู้พิพากษาหญิงชื่อ Christine Mee โดยเธอกล่าวในคำพิพากษาว่า ซาร์โกซีผิดเต็มที่ และ “เขารู้ดีว่าเขากำลังทำผิดอยู่” โดยสมรู้ร่วมคิดกับทนายคู่ใจ โดยซาร์โกซีได้โทรศัพท์พูดกับทนายความของเขาว่า เขาต้องการข้อมูลสำนวนการพิจารณาคดีที่ผู้พิพากษาอาวุโส (Gilbert Azibert) กำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งเขาได้เสนอจะหาตำแหน่งงานที่ดีมากที่โมนาโกให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อแลกกับความลับจากสำนวนคดี
การสนทนาระหว่างซาร์โกซีกับทนายของเขา (Thierry Herzog) กลับถูกตำรวจแอบดักฟัง และกลายเป็นหลักฐานสำคัญ...โดยหมายเลขโทรศัพท์ที่ซาร์โกซีใช้นั้น เขาได้ใช้ชื่อปลอมเพื่อปกปิดว่าเขาเป็นเจ้าของหมายเลขนั้น
ผู้พิพากษา Christine Mee บอกว่า คดีนี้เป็นคดีคอร์รัปชันธรรมดานั่นเอง เพราะซาร์โกซีได้ติดสินบนผู้พิพากษา Azibert ให้มอบความลับของคดีที่ซาร์โกซีไปเกี่ยวพันกับการรับเงินบริจาคจากทายาทตระกูลธุรกิจเจ้าของกิจการเครื่องสำอางยักษ์ของฝรั่งเศสคือ ยี่ห้อ L’Oreal และซาร์โกซีไม่ได้แจ้งทางการถึงเงินก้อนนี้
ซึ่งผู้พิพากษา Azibert ก็ได้ยอมมอบความลับทางคดีให้กับซาร์โกซีและทนายของเขา
ผู้พิพากษา Christine Mee ได้ตัดสินให้ซาร์โกซีมีความผิดต้องรับโทษจำคุก 3 ปี ข้อหาใช้อิทธิพลติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐคือ ผู้พิพากษา Azibert- และข้อหาละเมิดความลับทางราชการ
ทนายความ Herzog และผู้พิพากษา Azibert ก็มีความผิดฐานร่วมสมคบด้วย มีโทษจำคุกเช่นกัน
แต่ซาร์โกซีได้รับผ่อนผันให้รอลงอาญา 2 ปี แต่ต้องถูกกักบริเวณ 1 ปี
ซาร์โกซีไม่พอใจต่อคำตัดสิน และไม่ยอมพูดใดๆ กับผู้สื่อข่าวหลังการพิจารณาคดีจบลง และเขาได้มอบให้ทนายความดำเนินการอุทธรณ์คดีทันที
ยังมีคดีอีกมากที่รอซาร์โกซีอยู่; และในต้นเดือนเมษายนนั้น เขาก็จะต้องมาฟังคำพิพากษาคดีที่เขาแอบรับเงินบริจาค เพื่อหาเสียงการสมัครปธน. (ปี 2007) จากอดีตผู้นำลิเบีย กัดดาฟี ซึ่งเป็นคดีการรับเงินบริจาคทางการเมืองจากต่างประเทศ ที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเขาแอบรับเงินบริจาคหาเสียงโดยไม่แจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกหลายคดีทีเดียว
เป็นชีวิตของซาร์โกซีที่ใช้กิจกรรมใหญ่ๆ ในแต่ละวัน มากลบการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายในช่วงดำรงตำแหน่งปธน. อีกนัยหนึ่งคือการสร้างข่าวใหม่ใหญ่ๆ มากลบกิจกรรมที่สังคมมองอย่างเคลือบแคลงสงสัยนั่นเอง
คดีที่ซาร์โกซีติดสินบนคอร์รัปชันคดีนี้ ไม่ใช่คดีแรกสำหรับอดีตผู้นำฝรั่งเศส หลังสงครามโลก ก่อนนั้นอดีตปธน.ฌากส์ ชีรัก ก็โดนคำพิพากษาในปี 2011 ด้วยข้อหาที่เขาช่วยพันธมิตรทางการเมืองให้ได้งานตำแหน่งใหญ่ที่ศาลาว่าการนครปารีส ในขณะที่เขาเป็นนายกเทศมนตรีปารีส เป็นคดีที่ย้อนหลังไปนานมาก เพราะฌากส์ ชีรัก ได้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสอยู่หลายสมัย หลังจากหมดวาระเป็นนายกเทศมนตรีปารีส
ฌากส์ ชีรัก โดนโทษจำคุก 2 ปีในคดีคอร์รัปชันนั้น แต่เขาได้รับโทษโดยรอลงอาญา
น่าจะเป็นบทเรียนของผู้นำ ที่เมื่อลงจากอำนาจแล้ว ก็จะหมดเอกสิทธิ์ทางการเมือง และต้องขึ้นศาลกับการคอร์รัปชันในอดีต และอาจต้องติดคุกในช่วงบั้นปลายของชีวิตก็เป็นได้
