ผู้จัดการสุดสัปดาห์- หากจะกล่าวถึง “สวรรค์” หรือ “ศูนย์กลาง” ของเหล่า “อาชญากร”ที่ “ใหญ่โตโอฬาร” ในห้วงเวลานี้ คงต้องยกให้กับ “เมียวดี” เมืองชายแดนด้านตะวันออกของประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตากของประเทศไทย โดยมีแม่น้ำเมยเป็นเขตกั้น และเชื่อมด้วยสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา
เมียวดี หรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “บะล้ำบะตี๋”ตั้งอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง ถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนของเมียนมา เป็นเส้นทางขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออกทางหลักโดยรถยนต์จากประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน
แน่นอน ด้วยความที่เมียวดีอยู่ใกล้ชายแดนไทยและได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลเมียนมาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงทำให้เป็น “ศูนย์รวมของทุกสรรพสิ่ง” ที่ทำ “ไม่ได้ในประเทศไทย”เป็นที่ตั้งของ “เซิร์ฟเวอร์บ่อนพนันออนไลน์” กลายเป็นศูนย์รวมของ “กาสิโน” ซึ่งเรียงรายเป็นตับริมฝั่งแม่น้ำเมย และกาสิโนที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้น “บ่อนเมียวดี คอมเพล็กซ์”กลายเป็นแหล่ง “ฟอกเงิน” กลายเป็นเส้นทางลำเลียง “ยาเสพติดและของผิดกฎหมาย” ฯลฯ
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ในแต่ละวันจะเห็นกองทัพมดขนอะไรต่อมิอะไรข้ามแม่น้ำเมย ไปๆ มาๆ จนชินตา เพราะสะดวกสบาย ไม่ต้องแสดง “หนังสือเดินทาง” หรืออะไรทั้งสิ้น และขอประทานโทษน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ต้องใช้ขับรถยนต์ขนข้ามพรมแดนให้เสียเวลา..เพราะที่นี่เขาต่อท่อตรงจากฝั่งประเทศไทยข้ามไปยังประเทศเมียนมาอย่างหน้าตาเฉย
นอกจาก “เมียวดี คอมเพล็กซ์” แล้ว อีกหนึ่งบ่อนใหญ่ที่มีคนไทยและอดีตนายตำรวจไทยระดับผู้บัญชาการเป็นเจ้าของก็คือ “แกรนด์เมียวดี (Grand Myawaddy)”
ขณะที่บรรดา “จอมยุทธ์สีเทาและสีดำ” ก็พากันหลั่งไหลเข้าไปทำมาหากินกันอย่างเอิกเกริกจนทำให้ราคาค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่นี่เข้าขั้น “แพงหูฉี่” และแน่นอนว่า คนเหล่านี้สามารถสยายปีกความสัมพันธ์ระหว่างกัน กลายเป็น “เมียวดี คอนเนกชัน” ที่เชื่อมโยงจากฝั่งเมียนมาข้ามมาแม่สอด และทอดยาวผ่านจังหวัดต่างๆ มาถึง “ศูนย์กลางอำนาจ” ในเมืองหลวง
ถ้า “โคลัมเบีย” หรือ “เม็กซิโก” คือศูนย์กลางของยาเสพติดและสารพัดของเถื่อนเข้าสู่สหรัฐอเมริกา “เมียวดี” ก็คือ “ศูนย์กลาง” ของประเทศไทยและว่าก็ว่าเถอะอาจจะเป็นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้
เมียวดีกลายเป็นประเด็นร้อนฉ่า “ครั้งประวัติศาสตร์” เมื่อมีการจับกุมการขน “ยาไอซ์” ครั้งมโหฬารที่ด่านตรวจห้วยยะอุ ต.ด่านแม่ระเมา อ.แม่สอด จ.ตาก จำนวน 1,500 ห่อ (น้ำหนักรวมประมาณ 1,500 กิโลกรัม) เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ด้วยมีการซัดทอดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บิ๊กตำรวจ” ชื่อ “ต.” สองคน โดย “ต.แรก” เป็นคนที่แวดวงตำรวจถึงกับหูผึ่ง เพราะถือเป็นนายตำรวจคนสำคัญของบ้านนี้เมืองนี้ และมี “คอนเนกชัน” อันกว้างขวาง
ส่วน “ต.ที่สอง” ถือเป็นผู้กว้างขวาง ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ พิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, สุโขทัย และตาก เป็นนายตำรวจยศไม่สูง แต่ร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐี และเป็นที่รับรู้กันว่า เขาคือ เจ้าของ “เมียวดีคอมเพล็กซ์”
วันนี้ สังคมได้รับรู้ว่า “เมียวดี คอนเนกชัน” นั้นมีพลานุภาพเพียงใด เพราะเรื่องร้อนที่เกิดขึ้นจากการออกมาต่อสู้กับความจริงของ “บิ๊กใหม่-พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำลังถูกปัดกวาดจาก “ผู้มีอำนาจ” ด้วยการสั่งให้ “สงบปากสงบคำ” และมีข่าวกระเส็นกระสายแต่ได้ยินกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า กำลังจะถูกย้ายออกจาก สตช.เข้ากรุ “สำนักนายกรัฐมนตรี”
วันนี้ “เมียววดี คอนเนกชัน” จึงถือเป็น “เมียวดีคอนสไปเรซี(Myawaddy Conspiracy)” เป็น “ เครือข่ายโคตรใหญ่เบื้องประจิมทิศ” ซึ่งมี “อำนาจเหนือรัฐ” ที่ใครๆ ในบ้านนี้เมืองนี้ต่างตั้งข้อสงสัยและแสวงหาความจริงกันจ้าละหวั่น
เมียวดี คอมเพล็กซ์ ก่อกำเนิด เมียวดี คอนเนกชัน
อย่างไรก็ดี ถ้าจะอธิบายเรื่อง “เมียวดี Conspiracy” ก็ต้องเริ่มต้นกันที่ “เมียวดี คอมเพล็กซ์” ด้วยมีเจ้าของที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายผู้มีอำนาจได้อย่างเนียนกริบ
เมียวดี คอมเพล็กซ์ถือว่าเป็นบ่อน 5 ดาวที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยภายในบ่อนถูกตกแต่งอย่างสวยงามมีห้องเล่นบาคาร่า และไพ่เสือมังกร รวมกันแล้วเกือบ 100 โต๊ะซึ่งทางเจ้าของบ่อนเปิดให้นักลงทุนมาเช่ารายวันตกวันละ 3-4 หมื่นบาท พนักงานคนแจกไพ่ทั้งหมดเป็นสาวเขมร เชื่อกันว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
นอกจากบาคาร่า และเสือมังกร ยังมีสล็อต กับตู้ยิงปลา ซึ่งนำเข้ามาจากฝั่งประเทศไทยโดยกลุ่มนักธุรกิจสีเทาที่หนีกฎเหล็กมาจากรัฐบาลปัจจุบัน มีชาวพม่านั่งเล่นกันเป็นวงอย่างสนุกสนานชนิดไม่ยอมลุกไปไหน แรงดึงดูดนักท่องเที่ยว หรือนักเสี่ยงดวงที่ต้องการสินค้าปลอดภาษีที่นี่มีดิวตื้ฟรี เหล้า บุหรี่ ไวน์สารพัดยี่ห้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า “เจ้าของตัวจริง” ของ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ก็คือ “นายตำรวจยศ พ.ต.อ” ผู้กว้างขวางแห่งเบื้องชายแดนประจิมทิศ เป็นเจ้าของทั้งบ่อนกาสิโนและดิวตี้ฟรีขนาดใหญ่
เป็นผู้คุมเส้นทางของเถื่อน ทั้งหลายที่ผ่านมาทางแม่สอด แม่ละมาด และพบพระ
คิดเอาเองแล้วกันว่า “ท่านรอง ต.” นั้นระดับไหน เพราะแม้จะเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนอำนาจ แต่เขาก็ยังอยู่ยั้งยืนยง แม้ “ลูกพี่” จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่มีตำแหน่งการเมืองใด ๆ แต่อำนาจและบทบาท ในพรรค ก็ยังมีความก้าวหน้าในราชการตำรวจมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะในยุค “นายกฯ นกแก้ว” ที่สามารถผงาดขึ้นตำแหน่งบนทำเลทอง
แม้จะถูก “ทหาร” ทำรัฐประหาร แต่ “ท่านรอง ต.” ก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะสามารถยื่นมือมาเชื่อมถึง “อำนาจใหม่” ได้ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” และ “ผลประโยชน์” ที่แจกจ่ายอย่างทั่วถึงในทุกระดับชั้น ไม่เช่นนั้น จะทำมาหากินจนร่ำรวยระดับ “มหาเศรษฐี” ได้อย่างไรถ้าไม่มีใครหนุนหลัง
หลังเกิดเรื่องเกิดราว “ท่านรอง ต.” ก็เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบ ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่า ได้รับคำสั่งให้อยู่นิ่งๆ และนิ่งถึงขนาดตัดสินใจ “ลบบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว” ทิ้งกันเลยทีเดียว
ขณะที่ “บิ๊ก ต.” ยศ “พล.ต.ท.” ก็มีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่า มักแวะเวียนไปที่ “เมียวดี คอมเพล็กซ์” เสมอๆ ประจักษ์พยานที่ชัดเจนก็คือคำให้การของ “นายเกิดชนะ มินา” พยานคนสำคัญในคดีจับยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัมที่ระบุว่า “มีบุคคล ตัดผมสั้น เป็นตำรวจยศใหญ่มาที่ เมียวดี คอมเพล็กซ์หลายครั้ง ไม่ทราบชื่อ แต่ชี้ภาพถ่ายของ “พล.ต.ท.” คนดังกล่าว” ถูกเป๊ะอย่างน่าอัศจรรย์
“เมียวดี คอมเพล็กซ์” จึงเป็น “ศูนย์กลางของเครือข่ายใหญ่” ที่ใครๆ ก็ต้องหลีกทางให้ เป็น “เครือข่ายลับแต่เป็นที่รับรู้” ซึ่งดำรงอยู่อย่างเงียบๆ และมีอิทธิพลล้นเหลือ เว้นเสียแต่ว่าเกิดความผิดพลาดทางเทคนิคโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ “คำสั่งพี่สั่งเปิดทาง” มีปัญหาและนำมาซึ่งการจับไอซ์ลอตมหึมาดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หลังปรากฏข่าวการจับกุมไอซ์ล็อตใหญ่ และปรากฏเอกสารที่ลงนามโดย “บิ๊กใหม่-พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.(สส.) ที่ 0001 (สส) 150 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่องให้รายงานชี้แจง พล.ต.ท.รอย อิงคโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. (สส1), ผบช.ภ.6 เพื่อทราบ กรณีได้สั่งการให้ ผบช.ภ.6 ให้สอบสวนและเสนอชื่อข้าราชการตำรวจ 2 นาย เพื่อตั้งคณะกรรมการการสอบสวน หลังจากพยานในคดียาเสพติดไอซ์ 1,500 กก. ที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ให้การว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด “สปอตไลท์” ก็สาดส่องไปที่ “เมียวดี คอนเนกชัน” ในฉับพลันทันที
และได้รับรู้ว่า “ซูเปอร์คอนเนกชัน” นี้ ไม่ธรรมดา และกำลังสำแดงพลังที่จะตัดจบเรื่องนี้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
สังคมก็เลยสงสงสัยว่า “นี่คือทฤษฎีสมคบคิดที่สังคมตำรวจเขาเรียกเมียวดี Conspiracy ใช่หรือไม่”
เรื่องนี้มีเหตุให้ชวนสงสัยและสืบสาวราวเรื่อง
หลังรับทราบกรณีจับไอซ์ที่มีการซัดทอดว่าโยงใยกับ 2 นายตำรวจคนดัง สังคมก็จับตา “บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกำกับ สตช.ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้สังคม “สิ้นข้อสงสัย”
แต่ทำไปทำไมดูเหมือนว่า บรรดา “ผู้มีอำนาจ” ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ “ผู้นำ สตช.” อย่าง “บิ๊กปั๊ด” จะทำเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” และ “ไม่กระตือรือร้น” ที่จะ “เคลียร์” ปัญหานี้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ “บิ๊กตู่” เอง ก็ออกไปในแนวอารมณ์เสีย แถมพูดไปในทำนอง “เป็นเรื่องภายใน” เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะนำเอกสารภายในหน่วยงานออกมาเผยแพร่สู่สาธารณชน ทั้งๆ ที่เรื่องใหญ่ใจความก็คือ การพิสูจน์หรือสืบสวนสอบสวนว่า “บิ๊กตำรวจ 2 ต.” นั้นเกี่ยวข้องตามที่ถูกซัดทอดจริงหรือไม่
ช่วงเย็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 จิ้งจกที่ทำเนียบรัฐบาลนั่งยันนอนยันและยืนยันว่า “นายกฯ ลุงตู่” เรียก “บิ๊กปั๊ด” เข้ามาพบที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง หลังจากก่อนนี้เรียกมาพบสองครั้ง โดยครั้งล่าสุดใช้เวลาเข้าพบ ราว 1 ชั่วโมงเห็นจะได้
โมงยามนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็ฟันธงเปรี้ยงได้ว่า “บิ๊กตู่” เรียกมาชำระสะสางเรื่องร้อนๆ ภายในของตำรวจ และหลังจากนั้นก็ออกมาให้สัมภาษณ์ชนิด “ถามช้างตอบม้า” ว่า “ไม่มีความขัดแย้งอะไรหรอก เดี๋ยวก็ทำให้มันถูกต้อง”
ถอดรหัสคำพูดของ “บิ๊กตู่” ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่างานนี้ จะมีรายการ “มวยล้มต้มคนดู” เหมือนคดีจับ “หลงจู๊สมชาย” เจ้าพ่อบ่อนตะวันออกที่ถูกตั้งข้อหาจิ๊บจ๊อยและได้รับประกันตัวไปอย่างสบายใจเฉิบ ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่เรื่อง “ความขัดแย้ง” และไม่ใช่เรื่อง “เดี๋ยวก็ทำให้มันถูกต้อง” หากเป็นคดีความที่สังคมสงสัยว่าทำไมถึงมีการเว้นวรรคที่จะสืบสาวราวเรื่องต่อ
จริงเท็จอย่างไรก็ทำให้สิ้นกระแสความ
วันนี้ยังไม่รู้หรอกว่า เกี่ยวข้องจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องให้ “พ.ต.อ.” และ “พล.ต.ท.” ที่พยานซัดทอดในฐานะ “สมคบ” กับขบวนการยาเสพติดรายนี้ ออกจากตำแหน่งชั่วคราว เพื่อความโปร่งใส และยุติธรรมกับทุกฝ่ายเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจถูกกล่าวหาไปในทางที่ไม่ดีได้
ขณะที่ตัว “บิ๊กปั๊ด” เองก็รู้อยู่เต็มอกว่า อะไรคืออะไร เพราะได้รับรายงานคดีจาก “บิ๊กใหม่” มาโดยตลอด ตั้งแต่แรกจับกุม จนขยายผลจนพยานซัดทอด รู้ปัญหา รู้อุปสรรคทุกขั้นตอน แต่ก็ยังออกคำสั่งแบบลูบหน้าปะจมูก ให้ “พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ก็รู้กันว่า มีความสนิทสนมเป็นส่วนตัวกับ “พล.ต.ท.” ที่ถูกซัดทอด ไปลงพื้นที่ไปตรวจสอบ จะให้แปลความกันอย่างไร ??
นี่คือสิ่งที่สังคมตำรวจกำลังตั้งคำถามกัน งานนี้เกรงอกเกรงใจใครหรือไม่ ? เพราะดูประหนึ่งเหมือนสั่งการอย่างเสียไม่ได้
ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า คณะทำงานชุดนี้จะเรียก “พ.ต.อ.” และ “พล.ต.ท.” ที่พยานซัดทอดในฐาน “สมคบ” กับขบวนการยาเสพติดรายนี้มาชี้แจงเมื่อไหร่ หรือจะทำกันแบบ “งุบงิบ” แล้วก็ปล่อยให้เรื่องหายไปกับสายลม
นอกจากนี้ ความจริงอันน่าตระหนกก็คือ ยิ่งสืบสาวราวเรื่องก็ยิ่งพบว่า เครือข่ายข่ายนี้ใหญ่จนน่าตกใจ
คดียาไอซ์พันล้าน หรือ 1,500 กิโลกรัม ที่ “นายเกิดชนะ มินา” เป็นผู้ต้องหา ให้การเปิดตัว นายฐปนันทน์ หรือเฮียหนู หรือเฉิน ธรรมรัตน์ธาดา กับ นางสาวหลิน ชาล์ ตัวการใหญ่ นั้นเป็นเครือข่ายเดียวกันกับคดียาไอซ์ 1,199 กิโลกรัม ที่พุนพิน สุราษฎร์ธานี, คดียาไอซ์ 1,430 กิโลกรัม ที่ตากใบ และ 600 กิโลกรัม ที่สุไหงโก-ลก นราธิวาส, คดียาไอซ์ 1,380 กิโลกรัม เฮโรอีน 77 กิโลกรัม กับยาเค 500 กิโลกรัม ที่ทองผาภูมิ กาญจนบุรี และคดียาไอซ์ 1,395 กิโลกรัม ที่ปทุมธานี กับคดียาบ้าอีกหลายร้อยล้านเม็ดใน กทม.
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ “บิ๊กใหม่-พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเท่านั้นที่ลงมือทำงานและสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง หากยังมีการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนทางการเงินเพื่อการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด” ที่มี “นายอุทัย สินมา “อธิบดีอัยการคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นประธาน โดยมี “บิ๊กใหม่” เป็นรองประธานอีกชุด
คงไม่ต้องสงสัยกระมังว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเห็นชัดๆว่า สำนวนที่ทำๆ กันมาเต็มไปด้วย “รูรั่ว” ใช่หรือไม่
และที่ “บิ๊กใหม่” ต้องลงไปกำกับก็เพราะพัวพันกับหลายคดีดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มิใช่เรื่องส่วนตัวของบุคคลใดที่ทะเลาะบาดหมางกันดังที่มีความพยายามทำให้เห็นเช่นนั้นแต่ประการใด
อย่างไรก็ดี เชื่อเหลือเกินว่า สุดท้าย “บิ๊กใหม่” ก็จะถูกเด้งไปเข้ากรุ เพราะทานอำนาจ “เมียวดี คอนเนกชัน” ไม่ไหว ส่วนจะไปลงที่ “สำนักนายกรัฐมนตรี” หรือที่ไหน อีกไม่ช้าก็คงรู้ ซึ่งตัว “บิ๊กใหม่” ว่ากันว่า ได้เตรียมทำใจเอาไว้แล้ว และก็ว่ากันว่าอีกนั้นแหละว่า “บิ๊กใหม่” เต็มใจที่ไป เพราะอยู่ต่อไปก็ “ทำอะไรไม่ได้” ตราบใดที่สถานการณ์ยังคงดำเนินไปในรูปลักษณ์นี้
หลงจู๊-เสี่ยโป้-นายทหาร
บทพิสูจน์ความใหญ่โตโอฬาร
ไม่เพียงแต่เรื่องยาไอซ์กับ “2 บิ๊กตำรวจ” เท่านั้น หากสังคมตามเกมทัน และเชื่อมโยงจากคอนเนกชันที่ปรากฏเด่นชัดในห้วงเวลานี้ ก็ยิ่งน่าสนใจ ไล่มาตั้งแต่ “หลงจู๊สมชาย-นายสมชาย จุติกิติ์เดช” และ “นายเสี่ยโป้ อานนท์” ที่เกี่ยวพันกับธุรกิจตู้ม้า ตู้สล็อต บ่อนพนันบนดิน บ่อนออนไลน์ ก็จะสามารถต่อ “จิ๊กซอว์” ให้เห็นถึงตัวละครที่เกี่ยวข้องกันเป็น “เครือข่ายใหญ่”
ด้วยตัวละครเหล่านี้ เคลื่อนขบวนจากฝั่งไทยไปฝั่งเมียนมา รวมศูนย์อยู่ที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ที่ครบครันทุกอย่าง ทั้ง บ่อน ยาเสพติด และการฟอกเงิน
กรณี “บ่อนหลงจู๊” ที่กลายเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระดับ “ซูเปอร์เสปรดเดอร์” คือคำตอบของทุกสรรพสิ่ง เพราะเห็นชัดว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “เมียวดี คอนเนชัน”
ทั้งนี้ หลังจากการจับกุม “เสี่ยโป้” ตามต่อด้วย “หลงจู๊สมชาย” ที่ร่วมขบวนการเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติของ “บิ๊กปั๊ด” ตกเป็น “จำเลย” ของสังคมทันที ด้วยมีพิรุธให้ชวนสงสัยหลายประการ
“บิ๊กปั๊ด” มีคำสั่งย้ายนายตำรวจใหญ่ในพื้นที่ภาค 2 ไล่ไปตั้งแต่ “พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ” ผบช.ภ.2, “พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์” ผบก.ภ.จว.ระยอง, “พล.ต.ต.ประการ ประจง” ผบก.ภ.จว.ชลบุรี, “พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล” ผบก.ภ.จว.จันทบุรี และ “พล.ต.ต.เสถียร บุญค้ำ” ผบก.ภ.จว.ตราด ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.โดยไม่มีกำหนด
ตามต่อด้วยการแจ้ง 5 ข้อหาหนักสำหรับนายตำรวจ 7 นาย ที่คุมพื้นที่ระยองและชลบุรี ที่ถูกคณะกรรมการสอบพบ ว่า เกี่ยวข้องกับการปล่อยบ่อนหลงจู๊ เปิดเย้ยฟ้าท้าดิน ซึ่งถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ โดยหากผลสรุปสุดท้ายว่ามีความผิดจริงจะมีโทษเพียง 2 สถาน คือ “ปลดออก และ ไล่ออก” เท่านั้น
ว่ากันว่า ผลสอบของคณะกรรมการ ระบุชัด บ่อนการพนันดังกล่าวเป็นของ “หลงจู๊สมชาย” มีหลักฐานยืนยันว่า มีการเปิดบ่อนการพนันที่บริเวณ บขส.เก่า ต.ท่าประดู่ อ.เมืองฯ จ.ระยอง ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. 63 จนถึงเดือน ธ.ค. 63 และ ที่ตลาดนำชัย ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 63 จนถึง ธ.ค. 63 จริง
มีทั้งพยานบุคคลที่เคยเข้าไปเล่นในบ่อนการพนันทั้งสองแห่งดังกล่าว พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐาน พยานเอกสารจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง และชลบุรี รวมทั้งพยานแวดล้อมอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ในพื้นที่, ประธานหอการค้าจังหวัด สื่อมวลชนในพื้นที่
แน่นอนว่า การจัดการตำรวจด้วยอำนาจที่มีของ ผบ.ตร. เป็นที่เข้าใจได้ ชาวบ้านย่อมต้องเห็นด้วย ยกมือสาธุ เพราะที่ผ่านมา ระทมทุกข์อยู่กับพฤติกรรมของตำรวจที่เห็นแก่ “ส่วย” ช่วยหลงจู๊ ไม่เห็นแก่สังคมและประเทศชาติที่ต้องรับเคราะห์จากการแพร่ระบาดโควิด
แต่เมื่อเทียบคำสั่ง และแอ็กชั่นของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์” ครั้งนี้กับปาหี่ จับ “หลงจู๊สมชาย” ไปเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. ก็ต้องบอกว่า แตกต่างกันราว “ฟ้ากับเหว” ทั้งๆ ที่เป็นความผิดในกระบวนการ “กรรม” เดียวกัน
“หลงจู๊” ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวสู้คดี ถูกจับตามหมายจับคดีเก่า ข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เรียกว่าข้อกล่าวหา “เบาหวิว” ราวปุยนุ่น ไม่มีการตั้งข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิด ไม่มีข้อหาเป็นผู้ให้ส่วยตำรวจ ไม่มีข้อหาใดๆ ที่ดูจะเป็นความหนักอกหนักใจให้ “หลงจู๊” แม้แต่น้อย
ตั้งแต่แรกเกิดเรื่องก็พยายามช่วยเหลือเจ้าพ่อบ่อน ชาวบ้านชี้เบาะแสให้ ตำรวจก็ตีมึน ปฏิเสธเสียงแข็ง “บ่อนไม่มี” มีแต่ลักลอบเล่นพนัน สะท้อนให้เห็นว่า “หลงจู๊สมชาย” เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายของจริง โดยที่มี “กุนซือ” เป็นนายตำรวจใหญ่ ที่ยังหลบอยู่หลังฉากคอยให้คำแนะนำและหาทางหนีทีไล่ให้
คำถามคือ ทำไม ผบ.ตร.ไม่ตั้งข้อหา ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดการหลงจู๊และเครือข่าย?? เหมือนๆ กับนายตำรวจทั้ง 7 นาย
สรุปว่า ผบ.ตร.ใช้ข้อหาปล่อยให้มีการเล่นพนัน ฝ่าฝืน พ.ร.ก.กับลูกน้อง แต่กับหลงจู๊ กลับใช้คดีเก่าที่ คนละเรื่องเดียวกัน
เหมือนกับไม่อยากแตะต้อง “หลงจู๊สมชาย” อย่างไรอย่างนั้น หรือถ้าจำเป็นต้องแตะก็แตะแบบ “เบาๆ” เลยส่งผลทำให้ “ลูกน้อง” ต้องรับกรรมด้วยโทษหนักใช่หรือไม่ ไม่ทราบได้
แล้ว “หลงจู๊สมชาย” เป็นใคร
หลงจู๊ก็คือนายทุนของ “นายเสี่ยโป้ อานนท์” ในการทำธุรกิจบ่อนพนันออนไลน์ โดยไปลงทุนสร้างเซิร์ฟเวอร์และทีมงานอยู่ที่ “เมียวดี คอมเพล็กซ์” ของ “นายตำรวจคนดังแห่งจังหวัดตาก” ผู้เป็นเจ้าของ
ส่วน “นายของหลงจู๊” ก็คือ “พี่หลาม” อดีตนายตำรวจคนดังในภาค 2 ที่แม้จะได้ฉายา “ตาฟ้าฝาง” แต่วิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจสีเทานั้น “แจ่มชัด” เสียเหลือเกิน
แล้ว “พี่หลาม” ก็เชื่อมโยงไปถึงศูนย์กลางอำนาจในยุคปัจจุบัน แถมยังมีสัมพันธ์ทอดไปถึง “เสธ.คนดัง” ที่ติดสอยห้อยตามผู้มีอำนาจ
เห็นกันหรือยังว่า คอนเนกชันนี้กินอาณาบริเวณแค่ไหน
ขณะที่เมื่อย้อนกลับไปที่คดียาไอซ์ ก็จะพบว่า งานนี้มี “นายทหารยศพันเอก” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยตามคำซัดทอดของจิ๊กซอว์คนสำคัญคือ “นายเกิดชนะ มินา” และนายทหารคนนี้ก็ถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากข้อมูลของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่นำมาเปิดเผยในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “นายเกิดชนะ มินา” นั้น เคยเป็นคนของ “อดีตบ้านใหญ่เมืองเพชรบุรี” อย่าง “เดอะแป๋ง-ปิยะ อังกินันทน์” ผู้วายชนม์
นายเกิดชนะเป็นทหารเก่า รู้จักกันดีที่เมืองเพชรในฐานะ “คนทำปืน”
นายเกิดชนะคือคนติดต่อ-สั่งการให้ลำเลียงยาเสพติดล็อตมโหฬารนี้ ทั้งยังเป็นผู้เชื่อมโยงตัวละครต่าง ๆ ให้เห็นภาพใหญ่ว่า “องค์กรอาชญากรรม ค้ายาเสพติด” องค์กรนี้ขับเคลื่อนไปได้อย่างไร
ปลายปี 2557 ขณะไปส่งอาวุธให้ค่ายทหารที่ จ.เชียงราย นายเกิดชนะได้ไปรู้จักกับ “พันเอกคนนี้” ซึ่งขณะนั้นเป็นนายทหารประจำอยู่ที่ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ จ.ลพบุรี
และหลังปลดจากทหารเกณฑ์ในช่วงปลายปี 2558 “พันเอกคนนี้” ชวน นายเกิดชนะ มาเป็นลูกจ้างอยู่หน่วยทหารซ่อมอาวุธที่ จ.ลพบุรี ได้มารู้จักกับ “เฮีย” คือ “นายฐาปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา” ชื่อเล่น “หนู” หรือ “เฉิน” ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ว่าจ้างจากเกิดชนะให้ขนส่งยาเสพติดมาหลายครั้ง
เห็นไหมล่ะว่า งานนี้ “คนมีสี(เขียว)”ก็ร่วมขบวนการด้วย
แล้วก็ไม่ใช่ร่วมธรรมดาๆ หากแต่ยังใช้ “ยุทโธปกรณ์” ของกองทัพในการขนอีกต่างหาก นั่นก็คือใช้ “รถยีเอ็มซี” ขนกันเลยทีเดียว
เรียกว่า ทั้งมาเฟียผู้มีอิทธิพล อดีตนายตำรวจ บิ๊กตำรวจที่ยังมีอำนาจวาสนาอยู่ในกรมปทุมวัน นายทหาร แม้กระทั่ง “กลุ่มบุคคล Hi Profile”ก็ร่วมอยู่ใน “เมียวดี คอนเนกชัน”นี้
ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า “เมียวดี คอนเนกชัน” ควบคุม “ระบบอุปถัมภ์”และ “ระบบความมั่นคง” ที่ทรงพลานุภาพองค์กรหนึ่งของประเทศ ก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
จะใช้คำว่า “ประวัติศาสตร์ต้องจารึก”ก็สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
แล้วที่ระบบตรวจสอบของประเทศแลดูจะง่อยเปลี้ยเสียขาก็เพราะมีผู้คนจำนวนมากได้รับประโยชน์กันหมด
สรุปสั้นๆ แบบได้ใจความก็คือ “เมียวดี คอนเนกชัน” นั้นเป็น “คอนเนกชันที่มีอำนาจเหนือรัฐ” ???!!!