ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งปฐพีหลายริกเตอร์
หลัง “ศาลชั้นต้น” มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.64 ในคดี “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ “กลุ่มกปปส.” ร่วมการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2556-2557 หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวก รวม 39 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมทำให้เกิดการวุ่นวายฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ
ศาลอาญาตัดสินจำคุก “อดีตแกนนำ กปปส.” จุกกันถ้วนหน้า ตั้งแต่หัวยันหาง นำทีมโดย “ลุงกำนัน-สุเทพ, “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, “ครูตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, “นายหัววอน” ถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, “เสี่ยลูกหมี” ชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์, “พ่อใหญ่” อิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์, “อดีตพระพุทธอิสระ” สุวิทย์ ทองประเสริฐ และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เป็นอาทิ
เป็นเหตุให้ 3 รัฐมนตรีที่สวมหมวก ส.ส.อยู่ทั้ง “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์-ถาวร” ตกเก้าอี้แบบช็อกตาตั้ง ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160(7) บัญญัติ “คุณลักษณะต้องห้าม” เอาไว้
เช่นเดียวกับ 2 ส.ส. “ชุมพล-อิสสระ” ก็พ้นตำแหน่งผู้แทนฯ ทันที ไม่ได้ประโยชน์จากเงื่อนไข “คดีถึงที่สุด” หลังศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องย้ายสำมะโนครัวไปค้างคืนในเรือนจำ
งานนี้ “กลุ่ม กปปส.” ในสภาฯ แทบจะหายยกยวง ตั้งแต่ “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์-ถาวร ชุมพล-อิสสระ” เรียกว่า “เด็กกำนัน” สูญพันธุ์เกือบจะบริบูรณ์
น่าเชื่อเหลือเกินว่า อดีตแกนนำ กปปส. ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน
จับอาการแต่ละคนแทบไม่มีใครห่วงพะวงกับ “ไทม์ไลน์” นี้ว่า ชะตากรรมทางการเมืองจะขาด เพราะหลายคนมีสถานะ ส.ส. อยู่ในช่วงสมัยประชุมรัฐสภา มี “เอกสิทธิ์” ที่ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่ แต่ทุกคนไม่เลือกหยิบมาใช้
ชักแถวมาขึ้นศาลกันอย่างพร้อมเพรียง จำเลย 39 คน มากันครบ ไม่มีใครขอเลื่อน ลาป่วย น้ำท่วมหู มาศาลไม่ได้ แกนนำทุกคนเดินเรียงหน้ากระดาน ยิ้มแย้มเบิกบาน ไม่มีลางสังหรณ์ หรือสัญญาณพิฆาต
ต้องชื่นชมที่ไม่หลบลี้หนีคดีให้ “คนนินทา หมาดูถูก” เหมือนใครบางคน
นอนคุกไม่ว่า แต่เจ็บปวดตรงที่ตำแหน่งแห่งที่หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาถ้วนหน้า โดยเฉพาะในราย “เสี่ยตั้น” ที่ตลอดเดือนที่ผ่านมา ยังดิ้นพล่านเตรียมรับมือฝ่ายค้านในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เลยดูจะอ่วมที่สุด เพิ่งจะ “อมบ๊วย” จากศึกซักฟอก เจอ 2-3 เด้ง หลุดรัฐมนตรี หลุด ส.ส. แล้วยังถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ปิดเทอมยาวกว่าเพื่อน
พ่วงศรีภรรยา “มาดามอีฟ” ทยา ทีปสุวรรณ ที่หมายมั่นลงชิง “แม่เมืองหลวง” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่โทษคุกเบาหน่อยได้ประกันตัว แต่ก็โดนตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีไปด้วย เรียกว่ารความฝันที่หมายมั่นปั้นมือและอุตส่าห์ลงทุนลงแรงในช่วงที่ผ่านมามลายหายสิ้นไปในชั่วพริบตา
ในทางการเมืองขนานนามว่าเป็น ยุทธการ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ขนาด “ก๊วนนกหวีด” เป็นคนปูพรมแดงให้ “ขุนทหาร” เข้า “ฮอส” ทำรัฐประหาร 22 พ.ค.57 จน “พี่น้อง 3 ป.” อันประกอบด้วย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - “บิ๊กป๊อก” อนุพงษ์ เผ่าจินดา เข้ามานั่งสุนทรีย์อยู่บนคานอำนาจยาวมากว่า 7 ปีแท้ๆ
แม้ไม่มีใครล่วงรู้คำพิพากษาล่วงหน้า แต่ระดับบนอย่าง “ฝ่ายกุมอำนาจ” ย่อมสัมผัสทิศทางลมได้บ้าง
การปล่อยให้ “แกนนำนกหวีด” ไปเจอเซอร์ไพร์ส เปลี่ยนสถานะจากรัฐมนตรี จาก ส.ส. มาเป็น “คนคุก” ไร้สัญญาณแจ้งเตือน เข้าขั้น “อำมหิต”
ที่ผ่านมา “ก๊วนลุงกำนัน” คงแอบคิดลึกๆ ว่า “ขุนทหาร” นับเป็น “หุ้นส่วน” กระเตงกันไปแบบ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพิ่งรู้ตัวเมื่อสายว่า ที่อวยยศ-อัปเลเวลจาก “ลูกกรอก” ให้เป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่
งานนี้อาจมองได้ว่าเป็นเพียงแค่การ “ปูนบำเหน็จ” ให้ตายใจ ได้จังหวะก็ตลบหลังอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะ “ก๊วนลุงกำนัน” ก็มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้นได้
สไตล์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แกนนำม็อบในอดีตรู้เช่นเห็นชาติกันหมด สู้ให้ถวายหัว เอาตัวเข้าไปแลกกับคดีความต่างๆ นานาจนยาวเป็นหางว่าว สุดท้ายมีค่าแค่เป็น “นั่งร้าน” ให้คนอื่นเสวยสุข
นี่แหละหนา ราคาค่างวดของ “แกนนำม็อบ” ที่พิสูจน์แล้วว่า สุดท้ายเนื้อไม่กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอาคดีมาแขวนคอ บางคนเกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ
เป็นอนิจจาของ “เกมอำนาจการเมืองไทย”
เบื้องแรกต้องยอมรับว่า หมากนี้ของ “ขุนทหาร” เหนือชั้นจนไม่มีใครคาดถึง เดินหมากตาเดียว แก้โจทย์ได้หลายเปลาะ
หนึ่ง การที่ “ก๊วนกำนัน” ที่เป็น “ฝ่ายเดียวกัน” ชัดเจน ต้องหลุดตำแหน่ง และรับโทษตามครรลองของ “กระบวนการยุติธรรม” ที่สำคัญยังมีแนวโน้มจะไม่ได้ประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์อีกพักใหญ่ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณให้ “ฝ่ายตรงข้าม” รับรู้ถึงความ “ตรงเป๊ะ” ของครรลองศาลสถิตยุติธรรม
มิให้เอ่ยเอื้อนครหา “สองมาตรฐาน” กวนจิตกวนใจใครอีก โดยเฉพาะคดีสำคัญมาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ร้องแรกแหกกระเฌอกันมาตลอด
สอง การขยับขับเคลื่อนของ “ม็อบราษฎร” ที่ตั้งท่าจะยกระดับลอกโมเดล กปปส.ก็ต้องพับแผนลง ด้วยคนที่เคยถูกครหาว่าเป็น “ม็อบมีเส้น” ยังหนีไม่พ้นอาญาแผ่นดิน
และสาม เป็นจังหวะเหมาะเจาะ จัดระเบียบวางกองกำลังตัวเอง “บาลานซ์” ขุมข่ายอำนาจใหม่ ก็ด้วยผลพวงจากคำพิพากษา จัดเป็น “ไฟต์บังคับ” ให้ต้องมีการขยับปรับเปลี่ยนทางการเมืองขนานใหญ่ ยิ่งเสียกว่า “อาฟเตอร์ช็อก” จากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปเสียอีก
“ไม่มีโควตา กปปส. มีแต่โควพรรคพลังประชารัฐ” คำตอบของ “ลุงป้อม-ประวิตร” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลังถูกถามถึง 2 เก้าอี้รัฐมนตรีของ “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์” ที่ว่างลง
ถอดรหัสง่ายๆว่า ดึงโควตาเก้าอี้ 2 รัฐมนตรีเข้าสู่ “โควตากลาง” ทันที เพื่อให้ง่ายต่อการเกลี่ย “ที่นั่ง” หมุนเวียนรักษาดุลอำนาจภายในรัฐบาล
แต่ก็นำมาซึ่งแรงกระเพื่อมภายในรัฐบาลทันทีเช่นกัน เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เหมือนเสียงระฆังให้ฝ่ายที่อยากจะมีอำนาจออกมาท้ารบแย่งเก้าอี้กันอีกรอบ
โดยเฉพาะภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่นาทีนี้ต้องบอกว่า ฝุ่นตลบอบอวล โดยเฉพาะ “ก๊วน 3 ช.”ของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ - “ดร.รถไฟฟ้า” สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง - “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ที่ณุ้กันทั้งบางว่า อยากจะอัปเลเวลขึ้นเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กันตัวสั่น
ยิ่งเก้าอี้โควตา กปปส. ที่ “เสี่ยตั้น-เสียบี” ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่าการกรทรวงศึกษาธิการ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม วันนี้ถูกริบคืนเข้าสู่ “กองกลาง” กลายเป็นสมบัติของ “ลุงป้อม” ไม่มีของ กปปส.อีกต่อไป คนคงรุมทึ้งกันไม่ต่างจาก “แร้งจิกศพ”
กระทรวงดิจิทัลฯ แต่เดิมเป็นโควตาของ “ผู้กองนัส” แต่ติดเรื่อง “ภาพลักษณ์” จนชวดไปในรอบแรกที่ตั้งรัฐบาล หนนี้น่าจะได้เวลาเอาคืน ไปสถาปนาอาณาจักร กุมงบประมาณที่มากกว่าสมัยตัวเองเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องรอเศษเนื้อ เศษกระดูก จาก “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นคนละพรรค
ขณะที่เก้่าอี้ “เสมา 1” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ข่าวว่า “เฮียสันติ-มาดามแหม่ม” กำลังเมียงมอง โดยเฉพาะรายของ “สันติ” ที่อยากจะกลับไปนั่งเก้าอี้ “ว่าการ” ที่ไหนก็ได้อีกครั้ง จากเดิมเคยคุม “กระทรวงเกรดเอ” ในยุคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาถึงเพื่อไทย แต่ต้องลดเกรดมาเหลือแค่ รมช.คลัง
ทว่า 2 เก้าอี้ กับคน 3 คน ไม่ลงตัวแน่นอน งานนี้เผลอๆ “ก๊วน 3 ช.” ที่ว่าแน่นๆ ปึ้กๆ อาจได้ฟาดกันเอง
หรือต่อให้ สันติ ได้รีเทิร์นเป็นรัฐมนตรีว่าการ โดยไปนั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจริง รัฐบาลเตรียมรอเปิดหมู่บ้านตำบลกระสุนตกแห่งใหม่ได้เลย จะหนักกว่าในรายของ “เสี่ยตั้น” เยอะ เพราะต้องเจอทั้งเครื่องคำถามว่า จะเอาคนที่ถูกกังขาเรื่อง วุฒิน่ากังขา-หลักสูตรนิรนาม มานั่งปฏิรูปการศึกษา คงบริหารกันไม่ได้ “นักเรียนเลว” นั่งลูบปาก ได้เงื่อนไขไล่รัฐบาลกันแล้วพวกเรา
ดังนั้น โอกาสที่ 3 ช. จะสมหวังทั้งหมดเป็นไปได้น้อย อย่าลืมว่า สองพี่น้อง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกแล้วปกครอง แบ่งบทกันเล่นให้เห็นหลายครั้ง อย่างคราวก่อน “บิ๊กป้อม” ไปรับปาก “เฮียซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าจะให้พาสชั้นเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถมยังยื่นเสนอไปยัง “บิ๊กตู่” แต่สุดท้ายแห้วรับประทาน กลายเป็นนักการเมืองที่หลงกล “ท็อปบูต”
คนที่ขาเก้าอี้ง่อนแง่นสุด หนีไม่พ้น “รองบ๊วย” จากศึกซักฟอกอย่าง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ปัจจุบันอยู่ในสถานการณ์ล่อแล่ ถูก “ขาใหญ่ในพรรค” หมายหัวจะเขี่ยพ้นเก้าอี้วันนี้พรุ่งนี้
ที่สำคัญ ระบะหลัง “เสี่ยเฮ้ง” ไร้พี่เลี้ยง “เสี่ยยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล ที่เคยเป็นโค้ชให้ตลอด แต่กินแหนงแคลงใจสัมพันธ์หักสะบั้นเรื่องเงินๆ ทองๆ จน “วิรัช” หันกลับไปจูบปากจิบไวน์กับอดีตโจทก์เก่าอย่าง “ธรรมนัส” เรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งมองแค่ระดับบนไม่ได้ เมื่อเหล่า “ตัวสำรอง” ก็ลุกขึ้นมาวอร์มร่างกายรอกันเป็นแถว ทั้งกลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ในพรรคพลบังประชารัฐที่มีมากกว่า 10 เสียง ที่ไม่ต่างอะไรกับ “ลูกเมียน้อย” หรือแม้แต่ ส.ส.พรรคเล็ก นำโดยพรรคพลังท้องถิ่นไทของ “ชัช เตาปูน” ชัชวาลย์ คงอุดม งวดนี้มีลุ้นได้เป็นเสนาบดีกันบ้าง
กระทั่ง “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จาก จ.สิงห์บุรี ที่ทำหน้าที่เลขาฯ วิปรัฐบาลเข้าตาผู้ใหญ่ หรือคิวล่าสุดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่โดดขึ้นฟาดฟัดกับฝ่ายค้านยิบตา ยามที่โดนกระแทก “กล่องดวงใจ” ของรัฐบาล ก็มีลุ้นเช่นกัน
ทั้งที่ข้อเท็จจริง ถ้ากลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ หรือกลุ่มพรรคเล็กได้เก้าอี้ มันไม่ต่างอะไรกับ ร.อ.ธรรมนัส มีเก้าอี้ในมือตัวเองเพิ่ม เพราะที่ผ่านมาเข้าไปเป็นฤาษีแจกกล้วย เลี้ยงดูปูเสื่อมาพักใหญ่ๆ เป็นกุศโลบายที่ต้องใช้คำว่า มาเหนือเมฆ
ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐอ้าปากลำบากหน่อย เมื่อพรรคภูมิใจไทยอยากจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 1 ตัว หลังไปจับงูเห่ามาของฟาร์มได้เป็นสิบๆ ชีวิต แล้วตัวเองดันพลาดหละหลวมให้ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ แหกมติพรรค จากยี่ห้อเนวิน ชิดชอบ มีแต้มต่อ
อย่างไรก็ดี ใครจะฟาดงวงฟาดงากับเบอร์ไหน ก็มีซากของ “ก๊วนหวีดดับ” ให้ดูเป็นตัวอย่าง ขนาดเป็น “นั่งร้าน” ให้ ไม่เคยมีคิวงอแงให้เห็นยังไม่แยแส ดังนั้นใครเปรี้ยวมากๆ อาจมีรายการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เป็นตัวอย่าง
ใครที่เคยปรามาสว่า “ทหาร” ทำการเมืองไม่เป็น ต้องคืนคำเลยทีเดียว โดยเฉพาะแผนการอันแยบยล ที่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา วางกติกา วางเกม ให้ระบบ “การเมืองเสื่อม-สภาเน่าเฟะ-ผู้แทนคุณภาพต่ำ-นักการเมืองขายตัว”
พร้อมๆ กับการขายภาพตัวเองที่อยู่เหลือวงจรอุบาทว์ เพื่อต่อเวลาบนคานอำนาจ โดยที่ “คนการเมือง-นักเลือกตั้ง” อาจจะรู้ตัว แต่กระเหี้ยนกระหือรือหวังเกาะ “ทัวร์อำนาจ” ไปด้วย จนกลายเป็น “เบี้ยล่าง” ของ “ขุนทหาร” ไปเต็มตัว
จนนาทีนี้ “พี่น้อง 3 ป.” สยายปีก “กินรวบ” แสยะรอยยิ้ม “อำมหิต” แบบไม่มีใครต่อกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว