xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เม่าน้อย” ใจสั่นบิตคอยน์ผันผวนหนัก “อีลอน มัสก์” พินาศแสนล้าน-ก.ล.ต.คุมเข้มเทรด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง “เม่าน้อยติดดอย” ใจสั่น กระแสปั่นบิตคอยน์ทำราคาผันผวนขนาดหนักและยังไหลรูดต่อเนื่อง ขณะที่เจ้าพ่อเทสล่า “อีลอน มัสก์” สูญเสียความมั่งคั่งชั่วข้ามคืนกว่า 4.5 แสนล้านบาท เพราะปากพาจนหลังทวีตบิตคอยน์ราคาสูงเกินไปแล้วกดหุ้น Tesla ดิ่ง ผสมโรงกับการที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาเตือนถึงอันตรายของการลงทุนในบิตคอยน์ทั้งความผันผวนของราคาและความน่าวิตกที่ถูกใช้ไปในทางที่ผิดกฎหมาย  

กระแสร้อนแรงของคริปโตเคอเรนซี ทำให้ ก.ล.ต.ไทย ตื่นออกกฎคุมเข้มหลังพบนักลงทุนวัยละอ่อนแห่เทรดเพิ่มขึ้น เพียงแค่เดือนมกราคม ยอดผู้เล่นใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ใกล้ทะลุ 5 แสนบัญชี

อย่างที่บรรดาแมงเม่าทั้งหลายรู้กันดีว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ยิ่งต้องการผลตอบแทนสูงยิ่งเสี่ยงสูงและอาจสูญเงินลงทุนทั้งก้อนเลยก็เป็นได้ แต่ความเย้ายวนอยากรวยเร็วหรือความโลภมักเอาชนะความกลัวอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงได้เห็นเหล่า “เม่าน้อย” กระโจนลงสู่สนามเทรดคริปโตเคอเรนซี กันสุดคึกคักหลังจาก  นายอีลอน มัสก์ เจ้าพ่อยานยนต์พลังไฟฟ้า Tesla และผู้ก่อตั้ง SpaceX  ทุ่มเงินลงทุนซื้อบิตคอยน์ มูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านบาท ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำเอาสั่นสะเทือนวงการ ดันราคาบิตคอยน์พุ่งกระฉูด ก่อนจะหล่นลงฮวบๆ เพราะปากของนายอีลอน มัสก์ อีกเช่นกัน


กราฟราคาบิตคอยน์ที่พุ่งพรวดๆ จากวันที่นายอีลอน มัสก์ ซื้อบิตคอยน์ ลอตใหญ่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในราคาประมาณ 43,200 ดอลลาร์ ได้ไต่ทะยานทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 58,354 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.75 ล้านบาท และมีมูลค่าตลาดทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่วันถัดจากนั้น กำลังเผชิญสภาวะขาลงโดยปรับตัวร่วงลงถึง 17.25% มาอยู่ที่ 47,023 ดอลลาร์สหรัฐ ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับเป็นการดิ่งแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว 

 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า อีลอน มัสก์ ไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกแล้ว หลังจากที่ราคาหุ้น Tesla ร่วงแรง 8.6% เมื่อคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ อีลอน มัสก์ สูญเงินไปกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.5 แสนล้านบาท โดยราคาหุ้น Tesla แม้จะปรับตัวลดลงตามตลาด แต่การปรับลงในครั้งนี้ก็เป็นผลมาจากราคาบิตคอยน์ที่ปรับลดลงด้วย สาเหตุมาจากการที่ อีลอน มัสก์ ได้โพสต์ทวีตเตอร์ข้อความว่า ราคาบิตคอยน์ถีบตัวสูงเกินไปแล้ว 

ข้อความทวีตเชิงท้วงติงถือเป็นทวีตแห่งหายนะก็ว่าได้ เพราะได้สร้างความเสียหายแก่เจ้าพ่อเทสล่าเป็นอย่างมาก ด้วยว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ตหุ้น TESLA ลดลง ทำให้ อีลอน ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก หลุดจากตำแหน่งกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 183 พันล้านดอลลาร์ หรือ 5.49 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากนับจากช่วงเวลาที่ช้อนซื้อบิตคอยน์ลอตใหญ่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะร่วงลงในปลายเดือนเดียวกันนั้น ราคาส่วนต่างที่พุ่งขึ้นกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเหรียญ สร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าพ่อเทสลา กว่า 3 หมื่นล้านบาท ภายในเดือนเดียว

การปรับตัวขึ้นลงผันผวนอย่างรุนแรงของบิตคอยน์ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า ราคาบิตคอยน์ที่ปรับตัวลดลงเป็นผลจากความกังวลของนักลงทุนต่อราคาบิตคอยน์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนทำสถิตินิวไฮหลายระลอกในเวลาอันสั้น กล่าวจำเพาะเดือนกุมภาพันธ์เพียงเดือนเดียวราคาบิตคอยน์ปรับสูงขึ้นมากกว่า 60%

ความร้อนแรงของบิตคอนน์ ทำให้ทางการสหรัฐฯ ออกมาส่งเสียงเตือนนักลงทุนทั่วโลกให้ระวังความเสี่ยง ล่าสุด  นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวในระหว่างการประชุม The New York Times DealBook เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับอันตรายของบิตคอยน์ต่อนักลงทุนและสาธารณชนทั่วไปในประเด็นเรื่องการใช้ถูกใช้ไปในทางที่ผิดกฎหมาย ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา โดยที่ผ่านมาราคาบิตคอยน์จะทำนิวไฮขึ้นไปแตะที่ 58,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนหล่นฮวบลงมา บิตคอยน์จึงนับเป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูง นักลงทุนควรตระหนักถึงความผันผวนสูงที่อาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนมหาศาล

 ในความเห็นส่วนตัวของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังไม่คิดว่าบิตคอยน์จะกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลในการทำธุรกรรมในวงกว้างได้ และเป็นเรื่องน่าวิตกที่บิตคอยน์มักถูกใช้ไปในทางที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งกระบวนการขุดบิตคอยน์ยังทำให้เกิดการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก ขณะที่ก่อนหน้า เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา แอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับการใช้เงินบิตคอยน์ ว่าเป็นวิธีการชำระเงินที่ไม่มี “มูลค่าที่แท้จริง” ซึ่งแตกต่างจากเงินสดหรือทองคำ 


สำหรับความปริวิตกของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้สกุลเงินดิจิทัลในโลกอาชญากรรมและก่อการร้าย มีรายงานข่าวของ Siam Blockchain เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่าคริปโตเคอเรนซี อาจถูกใช้เพื่อสนับสนุนการก่อการร้ายในประเทศที่มีจลาจล โดยคณะอนุกรรมการด้านความมั่นคงแห่งชาติการพัฒนาระหว่างประเทศและนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะจัดให้มีการพิจารณาคดีในหัวข้อ “การจัดหาแหล่งเงินทุนของผู้ก่อการร้ายสำหรับประเทศที่ได้รับผลพ่วงจากการก่อจลาจล”

 ในบันทึกของคณะกรรมการฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ จะหยิบยกขึ้นมาในระหว่างการพิจารณาคดี มีการรายงานว่าเมื่อมีการตรวจสอบบัญชีผ่านธนาคารและแพลตฟอร์มการชำระเงินดูเหมือนว่ากลุ่มหัวรุนแรงจะเริ่มหันมาใช้สกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้น และสกุลเงินดิจิทัลยังมีช่องทางที่เอื้ออำนวยสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย บันทึกดังกล่าวยังได้ยกกรณีที่บ่งชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจมีส่วนช่วยสนับสนุนการก่อจลาจลที่เกิดขึ้นในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา และอีกกรณี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2020 กลุ่มหัวรุนแรงชาวฝรั่งเศสที่ฆ่าตัวตายได้โอน 28.15 BTC (มูลค่า 522,000 ดอลลาร์ในช่วงเวลานั้น) ไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล 22 ใบ โดยมีหลายใบที่เป็นของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและบุคคลที่มีอิทธิพลบนโลกอินเทอร์เน็ต  


ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ เชื่อว่า ผู้ก่อการจลาจลในอนาคตมีแนวโน้มที่จะหันไปใช้วิธีการที่ไม่ใช่การทำธุรกรรมแบบดั้งเดิมเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขา ทว่า  นาย Pierre Rochard ผู้มีอิทธิพลในวงการคริปโตฯ โต้แย้งในทวิตเตอร์ของเขาว่า  “การก่อการร้ายในประเทศเกือบทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นก่อนที่ Bitcoin จะถูกคิดค้นขึ้น และการก่อการร้ายในประเทศส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ”  

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การหันมาสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสกุลเงินบิตคอยน์ของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกยังคงมีอย่างต่อเนื่อง นอกจากเทสลา และแอปเปิล แล้ว “แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน คอร์ป” ซึ่งเป็นธนาคารเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ มีแผนที่ทำธุรกรรมในสกุลเงินบิตคอยน์และสกุลเงินคริปโตฯ อื่นๆ ในปีนี้ เช่นเดียวกันกับมาสเตอร์การ์ด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ระดับโลก ก็มีแผนเสนอการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินคริปโตบางสกุลบนแพลตฟอร์มของบริษัทเพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกรรมการชำระเงินในรูปแบบใหม่

วกกลับมาดูกระแสแห่เทรดบิตคอยน์ของ “เม่าน้อย”  ชาวไทย ซึ่งมีความร้อนแรงไม่แพ้ชาติใดในโลก ทำให้หน่วยคุมกฎไม่อาจนิ่งเฉย โดย  นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังจากราคาบิตคอยน์สูงขึ้นเกิน 1 ล้านบาทต่อ 1 บิตคอยน์ กระตุ้นให้นักลงทุนหน้าใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวนมากเข้ามาลงทุนแสวงหาผลตอบแทนมากขึ้น จนสถิติการเปิดบัญชีเพื่อซื้อขาย Cryptocurrency ของคนไทยในช่วงต้นปี 2564 เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว หรือเพิ่มจาก 1.5 แสนบัญชี เมื่อปลายปีก่อนเป็นมากกว่า 4.69 แสนบัญชีในเดือนมกราคา 2564

ขณะที่ธุรกรรมการซื้อขายเงินดิจิทัลในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตในไทยมีความคึกคักพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 3 เท่าในเดือนมกราคมปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับในเดือนธันวาคม 2563 โดยมีมูลค่าพุ่งขึ้นถึง 65,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่า มากกว่า 90% ของการซื้อขาย เป็นนักลงทุนคนไทย

ด้วยความห่วงใยเม่าน้อยวัยละอ่อน กลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีความเสี่ยงและผันผวนสูง ทาง ก.ล.ต. จึงเตรียมเข้ามาคุมเข้ม โดยเลขาฯ ก.ล.ต. ระบุว่า กำลังพิจารณาแนวทางกำกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้เหมาะสมและเท่าทันต่อพัฒนาการของธุรกิจให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล คุ้มครองประโยชน์ของผู้ลงทุน โดยกฎที่ออกมากำหนดคุณสมบัติ

เช่น มีรายได้ต่อปีไม่นับรวมคู่สมรส ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 10 ล้านบาท ไม่นับรวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่พักอาศัยประจำ หรือมีมูลค่าการลงทุนในหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสินทรัพย์ดิจิทัล (port size) ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ลงทุนในคริปโตฯ หรือมีประสบการณ์ในหลักทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 2 ปี หากไม่เข้าข่ายข้อกำหนดข้างต้น จะไม่สามารถลงทุนในคริปโตฯ โดยตรง โดยต้องลงทุนผ่านผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น และการเปิดบัญชีผู้ใช้บริการใหม่ขั้นต่ำ 1,000 บาท

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้ที่ https://bit.ly/3knvOOk ผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง e-mail: ekarit@sec.or.th และ chawin@sec.or.th จนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2564 นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังจัดการเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์ เพจ “สำนักงาน กลต.” ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 – 16.00 น.

 ก.ล.ต. ยังแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจ “ที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล” และ “ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” ที่ประกอบธุรกิจอยู่ก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 และต้องการประกอบธุรกิจต่อไปต้องมายื่นคำขอรับใบอนุญาตกับสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรการ 66 กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ 


กำลังโหลดความคิดเห็น