xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

INFERNAL AFFAIRS “มหาคดี” ที่ต้องพิสูจน์ความจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่า หูผึ่งและตื่นตะลึงพรึงเพริดกันทั้งประเทศทีเดียว เมื่อ  “บิ๊กต่อ-พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.)”  มอบหมายให้ พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ โตอดิเทพย์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ปทส. ในฐานะคณะทำงานป้องกันยุทธการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเฉพาะทาง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.พุฒินันท์ นาสุวรรณ สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป เพื่อดำเนินคดีต่อ  เพจข่าว “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ”  ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หลังเผยแพร่ข่าวและภาพพร้อมข้อความอันเป็นเท็

 การเกิด “ปรากฏการณ์” ดังกล่าวย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะสังคมย่อมรู้ว่า “บิ๊กต่อ” เป็นใคร ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามตามมาว่า อะไรคือมูลเหตุของเรื่องราวทั้งหมด 

ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูที่เพจข่าว “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” ก็ยิ่งต้อง “ตาตั้ง” เพราะมีการโพสต์ภาพและข้อความจำนวน 2 โพสต์ โดยโพสต์แรกได้มีการนำรูปภาพของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ และ  “ พ.ต.อ.เอกราษฏร์ อินต๊ะสืบ”  พร้อมข้อความระบุว่าสองตำรวจระดับสูงเกี่ยวข้องคดีขนไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ภูธรภาค 6 เสนอรายชื่อ กฎหมายและคดีความ (กมค.) เพื่อเสนอแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่สำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการไม่มีการสอบสวนใดๆ และอีกโพสต์ได้มีการนำหนังสือราชการมาเผยแพร่

แน่นอน ต้องบอกว่า เรื่องนี้มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มี “บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” เป็นหัวเรือใหญ่ ต้องทำให้กระจ่างเพื่อมิให้สังคมเกิดความสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับ  “ยาเสพติด”  อันเป็นภัยสำคัญของชาติ รวมทั้งลุกลามบานปลายไปเกี่ยวข้องกับ “บุคคลสำคัญ-องค์กรและสถาบันต่างๆ” อันเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ

ไม่เพียง “บิ๊กปั๊ด” เท่านั้น หากยังรวมไปถึง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะเข้าร่วมสะสาง “มหาคดี”นี้ด้วย

เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอดนึกถึง “ Infernal Affairs” ภาพยนตร์สัญชาติฮ่องกงแนวภาพยนตร์มาเฟียฮ่องกงที่ดีที่สุด มีชั้นเชิงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ซึ่งมี “หลิว เต๋อหัว” และ “เหลียง เฉาเหว่ย” เป็นตัวละครเอกไม่ได้กันเลยทีเดียว

 ไล่เรียงสาระสำคัญในหนังสือราชการ
ที่เป็น “ของจริง” และ “ลับ 
แน่นอน จุดเริ่มต้นที่ทำให้เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชนคนไทยอยู่ตรงที่  “หนังสือราชการ 

และมา “โป๊ะเช๊ะ” เมื่อ พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ โตอดิเทพย์ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก “บิ๊กต่อ” ให้มาแจ้งความยอมรับว่า หนังสือราชการเป็น  “ของจริง” แต่ที่มาแจ้งความก็เพราะเพื่อจะให้ตรวจสอบว่าหนังสือดังกล่าวมีที่มาอย่างไร และมีการนำมาเผยแพร่ได้อย่างไร เนื่องจากหนังสือราชการเป็น  “เอกสารลับ”   ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้

การยอมรับว่าเป็นหนังสือราชการ  “ของจริง” ยิ่งทำให้น่าสนใจหนักเข้าไปอีก ด้วยหนังสือฉบับนั้นเป็นคำสั่งให้รายงานชี้แจงกรณีการจับผู้ต้องหาคดียาเสพติด พร้อมไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ในพื้นที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 โดยมีการระบุว่าผู้ต้องหาให้การซัดทอดไปถึงทหารและนายตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดรายนี้ด้วย พร้อมระบุว่ากรณีดังกล่าวพนักงานสอบสวนไม่ขยายผล แต่เร่งสรุปสำนวนคดีให้อัยการสั่งฟ้อง ขณะที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เองก็ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อพนักงานสอบสวนรายนี้

ที่สำคัญคือ พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า เพจนี้ก็นำหนังสือคำสั่งดังกล่าวซึ่งเป็นความลับทางราชการมาเผยแพร่ อีกทั้งนำภาพของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ มาประกอบ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและเสื่อมเสียชื่อเสียง ที่นำภาพ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์มาเผยแพร่คู่กับข้อความและหนังสือราชการที่มีเนื้อหาไม่เป็นความจริง เนื่องจากกรณีนี้ทาง บช.ภ.6 มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปแล้วบางส่วน ซึ่ง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด จึงถือเป็นการกระทำเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง

และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นพร้อมขยายตัวโตๆ ก็คือ หนังสือราชการฉบับนั้น ลงนามโดย “บิ๊กใหม่-พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” 

 ดังนั้น ตัวละครสำคัญที่ปรากฏในชั้นนี้มี 3 คนคือ “บิ๊กต่อ-พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ และพ.ต.อ.เอกราษฏร์ อินต๊ะสืบ”

แน่นอน สังคมย่อมรับรู้ว่า “บิ๊กต่อ” เป็นใคร

ขณะที่ พ.ต.อ.เอกราษฎร์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง “คนสำคัญ” ของเรื่องนี้ไม่แพ้กัน เพราะเขาคือนายตำรวจผู้กว้างขวางที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 โดยดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธร

เป็น พ.ต.อ.เอกราษฎร์ ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่นให้ความยกย่องมาก ถึงกับเรียกว่า Boss หรือ เจ้านาย โดยมีเสียงร่ำลือว่า มีเงินมหาศาล ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีและมีธุรกิจขนาดใหญ่ อยู่ในฝั่งพม่า โดยเฉพาะที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์”

เป็น พ.ต.อ.เอกราษฎร์ที่มีบ้านเป็น “คฤหาสน์” อยู่ที่แม่สอด เป็นอาณาจักรส่วนตัวที่มีพื้นที่หลายไร่ ภายในบ้านมีสนามชิพ-พัตต์กอล์ฟส่วนตัวอีกต่างหาก

พ.ต.อ.เอกราษฎร์ เริ่มต้นเข้าสู่ยุทธจักรอำนาจ โดยมาเป็นตำรวจติดตาม นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.เชียงราย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากนั้นขยับขึ้นเป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่สอด คนที่ 36 อยู่เป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด ยาวนานถึง 4 ปีเต็ม จึงขึ้นเป็นรองผู้การฯ

เรียกว่า ไม่มีใครในภาค 6 ที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง คือ พิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, สุโขทัย และตาก ไม่รู้จักนายตำรวจรายนี้กันเลยทีเดียว

ส่วน “บิ๊กใหม่” ก็น่าจะมี “ข้อมูลสำคัญ” บางประการ จึงต้องการทำความจริงให้กระจ่าง และการที่ “บิ๊กใหม่” ลงมาเล่นเองเช่นนี้ ก็ย่อมต้องมั่นใจว่า มิใช่เรื่องโคมลอยที่ปราศจากหลักฐานและความน่าเชื่อถือ




หากยังจำกันได้ ก่อนที่ “บิ๊กต่อ” จะแจ้งความดำเนินคดีกับ “เพจข่าวสนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับ “หนังสือราชการฉบับดังกล่าว” ที่ถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน 

โฆษก สตช.ชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ มีหนังสือราชการ ตร. ให้ ผบช.ภ.6 ชี้แจงเกี่ยวกับคดียาเสพติด ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดตาก จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลางจำนวนมาก โดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. ได้ประชุมและสั่งการมอบนโยบายด้านการสืบสวน สอบสวนคดีดังกล่าว ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามนโยบายของ ตร. โดยกรณีดังกล่าว เป็นเรื่องปกติของการติดตามความคืบหน้าของงาน ตามระบบราชการ ซึ่งไม่มีนัยพิเศษแต่อย่างใด โดยทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. ได้สั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว

 แปลไทยเป็นไทยคือ โฆษก สตช.ซึ่งน่าจะได้รับมอบหมายจาก “บิ๊กปั๊ด” ให้มาชี้แจงรับประกันว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่” แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นเรื่องที่ “มีอะไรในกอไผ่” แถมมีเยอะเสียด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่ลุกลามบานปลายเป็นคดีความเช่นนี้ 


ตอนนั้นสังคมงงๆ ว่า ทำไม “บิ๊กปั๊ด” ถึงสั่งการให้ “โฆษก สตช.” มาแจกแจงในลักษณะนี้

ทั้งนี้ เมื่อกลับไปย้อนดู “หนังสือราชการฉบับดังกล่าว” ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็น “ของจริง” และมีการลงนามโดย “บิ๊กใหม่-พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.(สส.) ก็พบเงื่อนงำที่น่าสนใจ

“บิ๊กใหม่” มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ 0001 (สส) 150 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่องให้รายงานชี้แจง พล.ต.ท.รอย อิงคโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. (สส1), ผบช.ภ.6 เพื่อทราบ กรณีได้สั่งการให้ ผบช.ภ.6 ให้สอบสวนและเสนอชื่อข้าราชการตำรวจ 2 นาย เพื่อตั้งคณะกรรมการการสอบสวน หลังจากพยานในคดียาเสพติดไอซ์ 1,500 กก. ที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 62 ให้การว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ ผบช.ภ.6 ยังไม่ได้ดำเนินการ และในสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการไม่มีการสอบสวนในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งไม่มีการเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวถึงมาให้ถ้อยคำ หรือแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดตามที่พยานกล่าวอ้าง จึงให้ ผบช.ภ.6 ชี้แจงเรื่องดังกล่าวภายในวันที่ 12 ก.พ. 64 นี้

 บรรทัดนี้แปลไทยเป็นไทยได้ว่า “บิ๊กใหม่” แจ้งให้ทราบว่า ได้สั่งการให้มีการตั้งกรรมการสอบสวน “2 นายตำรวจ” แต่ “ผบช.ภ.6” ยังไม่ได้ดำเนินการ และให้ “ผบช.ภ.6” ชี้แจงเรื่องทั้งหมดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 

 บรรทัดนี้ ตัวละครที่น่าสนใจอีกคนหนึ่งก็คือ “ผบช.ภ.6” ที่ชื่อ “พล.ต.ท.อภิชาติ. ศิริสิทธิ์” 


นอกจากนั้น เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดของบันทึกข้อความของ “บิ๊กใหม่” ก็จะทำให้ให้ทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด

บันทึกข้อความของ “บิ๊กใหม่” มีใจความว่า 1. ด้วยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจห้วยยะอุ ต.ด่านแม่ระเมา อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันตรวจค้นรถยนต์บรรทุกพ่วง 18 ล้อและจับกุมนายสมโชค เนียมสกุล อายุ 38 ปี ผู้ขับขี่ และนายสกล การุณรักษ์ อายุ 37 ปี ผู้โดยสาร พร้อมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) จำนวน 1,500 ห่อ (น้ำหนักรวมประมาณ 1,500 กก.) นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด จว.ตากเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

2. เมื่อวันที่ 1 และ 18 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุม ภ.จว.ตาก ข้าฯ ได้ประชุมผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีตามข้อ 1 เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพตามนโยบาย ตร.โดยเฉพาะสั่งการให้ ภ.6 เสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจให้ ตร. (ผ่าน กมค.) เพื่อออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อให้มีอำนาจการสอบสวนทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมาย และมอบแนวทางการปฏิบัติในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว

3. เนื่องจากปรากฏว่า ภ.6 ยังไม่มีการดำเนินการสืบสวน หรือเสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจให้ ตร.เพื่อออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามนโยบายและข้อสั่งการของข้าฯ แต่อย่างใด

4. เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามนโยบายที่ข้าฯ ได้สั่งการไว้ จึงให้ ภ.6 รายงานชี้แจงดังนี้

4.1 เพราะเหตุใด ภ.6 จึงไม่เสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจให้ ตร. (ผ่าน กมค.) เพื่อออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามที่ข้าฯ ได้สั่งการไว้

4.2 กรณีปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การของ  นายเกิดชนะ มินา  พยานในคดี ได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสืบสวนสอบสวนว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดประกอบด้วย 1. นายยง หรือหวัง วงศ์สว่างกุล 2.นายทหารยศพันเอก 3. นางสาวเฟื่องฟ้า วงศ์สว่างกุล 4. นางสาวทักษินันท์ บัวคำ 5. นางสาวหลิน ซาล์ 6. นายฐาปนันท์ หรือหนู หรือเฉิน ธรรมรัฐธาดา 7. พ.ต.อ.รายหนึ่ง และ 8. พล.ต.ท.รายหนึ่ง เพราะเหตุใดพนักงานสอบสวนจึงได้สรุปสำนวนการสอบสวน มีความเห็นเสนอพนักงานอัยการโดยไม่ได้ดำเนินคดีการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว ไม่มีการเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวถึงมาให้ถ้อยคำ หรือแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดตามที่นายเกิดชนะกล่าวอ้าง เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด

5. รายงานผลตามข้อ 4 เสนอข้าฯ ภายใน 12 ก.พ.2564 ประสานการปฏิบัติ สง.รอง ผบ.ตร (สส)

6. ได้แนบเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วยแล้วจำนวน 10 แผ่น เพื่อทราบและดำเนินการ

จากรายละเอียดของบันทึก มีตัวละครปรากฏขึ้นอีกหลายคน

 สองคนแรกคือ นายสมโชค เนียมสกุล นายสกล การุณรักษ์ ที่ถูกจับพร้อมยาไอซ์ 


 แต่ที่สำคัญน่าจะอยู่ในบันทึกข้อ 4.2 ซึ่งมีตัวละครอีกหลายคน ได้แก่ นายเกิดชนะ มินา พยานในคดี ที่ซัดทอดว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดอีก 8 คน คือ 1. นายยง หรือหวัง วงศ์สว่างกุล 2. นายทหารยกพันเอก 3. นางสาวเฟื่องฟ้า วงศ์สว่างกุล 4. นางสาวทักษินันท์ บัวคำ 5. นางสาวหลิน ซาล์ 6. นายฐาปนันท์ หรือหนู หรือเฉิน ธรรมรัฐธาดา 7. พ.ต.อ.รายหนึ่ง และ 8. พล.ต.ท.รายหนึ่ง 


รายชื่อข้างต้นปรากฏ “คนมีสี 3 คน” คนแรกเป็นทหารยศ “พันเอก” ส่วนอีก 2 คนเป็นตำรวจ ซึ่งในชั้นนี้เมื่อความจริงยังไม่ปรากฏแน่ชัด ก็สมควรใช้คำว่า “พ.ต.อ.รายหนึ่ง และ พล.ต.ท.รายหนึ่ง”

ถ้าหากพิจารณาจากข้อมูล ณ ตรงนี้ ก็คงเป็นที่ประจักษ์ว่า ด้วยเหตุอันใด “เพจข่าวสนับสนุนปฏิรูปตำรวจ”จึงถูกแจ้งความดำเนินคดี

กระนั้นก็ดี การซัดทอดดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนสอบให้ “สิ้นกระแสความ” เพื่อความเป็นธรรมของทุกๆ ฝ่าย และจะได้เดินหน้า “พิทักษ์สันติราษฎร์” กันต่อไปด้วยความขะมักเขม้น

ส่วน “หนังสือราชการ” ที่ว่า “ลับ” นั้น หากใครมีโอกาสเห็นตัวจริงแล้ว ก็คงต้องรู้สึกงงๆ กันบ้างไม่มากก็น้อยว่า “ลับที่ตรงไหน” เพราะเป็นหนังสือราชการที่ลงนามโดย “บิ๊กใหม่” และน่าจะใช้คำว่าหนังสือ “ด่วนที่สุด” เสียมากกว่าและว่ากันตามจริงก็ “มาตามขั้นตอนถูกต้อง”

โดยปกติแล้วระดับชั้นความด่วนของทางราชการนั้นมีอยู่ 3 ระดับคือ “ด่วน ด่วนมาก และ ด่วนที่สุด” ในชั้นนี้ที่ผู้ที่ได้รับหนังสือต้องตอบสนองด่วนที่สุด มีความแตกต่างจากหนังสือราชการที่ลงตราประทับคำว่า “ลับ” หรือ “ลับมาก”


เพราะถ้าเป็นเอกสารราชการที่เป็น “เอกสารลับ” และมีการรั่วไหลออกมาสู่ภายนอก ผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงต่างหากที่ควรจะเป็นผู้แจ้งความ งานนี้จึงทำเอางงๆ กันไปเป็นแถบว่า ผู้มอบอำนาจคือ “บิ๊กต่อ” เข้าใจอะไรผิดหรือไม่ อย่างไร
ที่สำคัญคือคดีนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด หากเกิดมาตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.2562 ผ่านมา 1 ปี 4 เดือนคือวันที่ 10 ก.พ.2564 ถึงมีบันทึกข้อความจากสำนักงาน “บิ๊กใหม่” ถึง พล.ต.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.6ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงถึงคำซัดทอดจากพยาน ด้วยปรากฏชัดแจงว่า ภ.6ยังไม่มีการสืบสวนหรือออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แถมยังมีความเห็นเสนอพนักงานอัยการโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว ไม่มีการเรีกบุคคลที่ถูกกล่าวหามาให้ถ้อยคำ

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บันทึกของความ “ด่วนที่สุด” ของ “บิ๊กใหม่” เป็นขั้นตอนปกติที่ต้องดำเนินการ

 เปิดรายละเอียด “คดีพี่สั่งเปิดทาง 
พักเรื่องลับไม่ลับ ด่วนไม่ด่วนตรงนี้เอาไว้ก่อน และตัดกลับมาที่เรื่องการจับกุมการขนไอซ์ลอตใหญ่ดังกล่าวอีกครั้ง ก็จะพบว่า ตัวละคร 6 คนตามคำซัดทอดของนายเกิดชนะ มินา ที่ประกอบด้วย 1. นายยง หรือหวัง วงศ์สว่างกุล 2. นายทหารยกพันเอก 3. นางสาวเฟื่องฟ้า วงศ์สว่างกุล 4. นางสาวทักษินันท์ บัวคำ 5. นางสาวหลิน ซาล์ 6. นายฐาปนันท์ หรือหนู หรือเฉิน ธรรมรัฐธาดา นั้น ไม่ธรรมดา ด้วยบางคนนั้นมีร่องรอยในเส้นทางสายสีเทาอันน่าตื่นตระหนกไม่น้อย กระทั่งไม่แปลกใจว่า ทำไมถึงหาญกล้าขนยาเสพติดลอตใหญ่โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายเยี่ยงนี้

คดีนี้ เกิดเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2562 ที่ด่านตรวจความมั่นคงร่วมบ้านห้วยยะอุ ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก พล.ต.ต.ปริญญา วิศิษฐฎากุล ผบก.ภ.จ.ตาก พ.อ.เทอดศักดิ์ งามสนอง รองผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด พร้อมทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 กำลังฝ่ายปกครอง ตชด.346 ตำรวจ บก.ภ.จ.ตาก ตร.สภ.พะวอ ตร.บช.ปส.ภาค 6 และชุดตรวจร่วมตรวจสอบรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำเงิน ทะเบียน 72-2439 นครปฐม ลูกพ่วงทะเบียน 72-2440 นครปฐม ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ด่านตรวจร่วมบ้านห้วยยะอุจับกุมได้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด พร้อมผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายสมโชค เนียมสกุล อายุ 38 ปี เป็นคนขับ และ นายสกล การุณรักษ์ อายุ 34 ปี นั่งคู่มาข้างคนขับ เนื่องจากตรวจพบรถคันดังกล่าวซุกซ่อนไอซ์จำนวนมากไว้ใต้พื้นรถ

เมื่อได้ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกซอกมุมโดยใช้เวลานับชั่วโมงจึงสามารถนำออกมาได้ทั้งหมด พบไอซ์รวมทั้งหมดจำนวน 1,500 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยไอซ์ทั้งหมดถูกอำพรางมาในห่อใบชายี่ห้อหนึ่ง

จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 2 คนระบุว่าได้รับการว่าจ้างจาก “นายวรวิช หรือ นเรศ เพชรศรี” ให้ขนลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก ไปส่งพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือ ไอซ์) ซึ่งมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกิน 20 กรัมขึ้นไป ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

 การจับกุมครั้งนี้ในแวดวงตำรวจ ลือกันว่า “พี่สั่งเปิดทาง” เพราะเดิมที การขนยาไอซ์ล็อตมหึมาดังกล่าวได้มีการเตรียมเบิกทางไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยเม็ดเงินเคลียร์ทางจำนวนมหาศาลคือ 15 ล้านบาท โดยมีคำสั่งลับของผู้ใหญ่บางคนที่สั่งให้เปิดทาง 


ขบวนการนี้ เคยขนยาล็อตใหญ่สำเร็จมาแล้ว 2 ครั้งคือ ในเดือนสิงหาคม และ กันยายน 2562 โดยครั้งแรกเดือนสิงหาคม 2มีการลำเลียงยาไอซ์ 1,100 กิโลกรัม ด้วยรถพ่วง 22 ล้อ จาก อ. พบพระ จ.ตาก ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีคนชื่อ “เคน”มารับยาไปขายต่อ ครั้งที่สอง เดือนกันยายน ลำเลียงยาบ้า 3,000 มัด ไอซ์ 2 กระสอบไปพระนครศรีอยุธยา

แต่ครั้งที่ 3 กลับมีปัญหาเรื่องยานพาหนะ ทำให้เวลาคลาดเคลื่อน ทำให้ที่ด่านห้วยยะอุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งมีการเปลี่ยนกะเข้าเวร โดยชุดที่ “พี่” สั่งเคลียร์ดันออกเวร “ชุดหนูไม่รู้” ของด่านความมั่นคงห้วยยะอุเลยโป๊ะเชะ เจอยาล็อตใหญ่มูลค่านับพันล้านบาท พอนายเกิดชนะทราบข่าวก็หลบหนีไปเมียนมาผ่านด่านเจดีย์สามองค์

 ชำแหละองค์กรยา กับความลับแห่ง “เมียวดีคอมเพล็กซ์” 

จะเห็นได้ว่า “องค์กรอาชญากรรม ค้ายาเสพติด” องค์กรนี้ขับเคลื่อนกันอย่างเป็นระบบและใหญ่โตโอฬารเพียงใด

ที่สำคัญคือองค์กรนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับสถานที่ที่มีชื่อว่า “เมียวดีคอมเพล็กซ์” อันเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่

และแน่นอนว่าถ้าจะสืบสาวราวเรื่องให้เห็น “ป่าทั้งป่า” ก็คงต้องเริ่มที่ “นายเกิดชนะ”

กล่าวสำหรับนายเกิดชนะนั้น มีประวัติไม่บันเบา เพราะมิได้เป็นแค่ “จิ๊กซอว์สำคัญ” ของฝ่ายไทย หากแต่ยังมีตำแหน่งแห่งหนในเมียนมาด้วย โดยในระหว่างที่เขาหลบหนีคดีไปเมียนมา ด้วยความที่เคยเป็นอดีตทหารเก่า มีความชำนาญในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงทำให้ได้รับการแต่งตั้งให้มียศในระดับผู้กอง ในกลุ่มสภาสันติภาพแห่งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU/KNLA Peace Council)สั งกัด ยว.2 พัน 708

แถมยังมีชื่อเมียนมาว่า “ซอ ไอ ฟิด” อีกต่างหาก

ต่อมาหลังจากกองกำลัง KNU ได้ทำการจับกุมนายเกิดชนะและพวกรวม 4 คน ในเขตอำเภอ พญาตองซู จังหวัดกอกาเร็ก ประเทศพม่า พร้อมของกลางอาวุธสงครามจำนวนมาก ตามการประสานงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยซึ่งมีหมายจับ ศาลแม่สอด ที่ 124/2562 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) และได้มีการส่งมอบตัว นายเกิดชนะ มินา ให้กับทางการไทย โดยมี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะมารับมอบผู้ต้องหา





นายสมโชค เนียมสกุล และ นายสกล การุณรักษ์ ขณะถูกจับกุมพร้อมรถบรรทุกที่ซุกซ่อนไอซ์จำนวนมาก
และเมื่อพูดถึง “นายเกิดชนะ” ก็ต้องเชื่องโยมกับ “นายทหารยศพันเอก” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกซัดทอดในคดีจับยาไอซ์ ล็อต 1,500 กิโลกรัม

ปลายปี 2558 หลังปลดจากทหารเกณฑ์ นายทหารยศพันเอกคนดังกล่าวได้ชวนนายเกิดชนะ มาเป็นลูกจ้างอยู่หน่วยทหารซ่อมอาวุธ และทำให้ ได้มารู้จักกับ “เฮีย” คือ “นายฐาปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา” ชื่อเล่น “หนู” หรือ “เฉิน” ผู้เป็นหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ว่าจ้างนายเกิดชนะให้ขนส่งยาเสพติดมาหลายครั้ง

จากข้อมูลในการทลายแก๊งยาเสพติดหนูเฉิน ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2563 พบพื้นที่ปฏิบัติการของบุคคลในเครือข่ายนี้ครอบคลุมไป 4 จังหวัด คือ ตาก เชียงใหม่ นนทบุรี และกรุงเทพฯ รวมทั้งเชื่อมโยงไปถึง “นายตำรวจยศ พ.ต.ท.” อีกต่างหาก

นายเกิดชนะให้การว่า นายฐาปนันท์เป็นคนสั่งการให้ “จ่ายเงิน” เพื่อ “ซื้อ DNA ในก้นบุหรี่” ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นเงิน 3 ล้าน 4 แสนบาท และ “จ่ายเงิน” เพื่อซื้อ “ภาพกล้องวงจรปิดที่” บันทึกภาพรถวิ่งมาก่อนถูกจับกุม อีก 1 ล้านบาท โดยให้ทนายความเอาไปจ่ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 6 ซึ่งคนที่รับเงินไปจากทนายความคือตำรวจหัวหน้าชุดตรวจค้นตรวจยึดและควบคุมการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในคดีนี้

ทั้งนี้ นายฐาปนันท์เคยถูกจับคดีค้ายาเสพติดจำนวน 20,000 เม็ด แต่ได้รับการประกันตัว จึงหลบหนีข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมา โดย “นายทหารยศพันเอก” สั่งการให้นายเกิดชนะพร้อมพวก ใช้รถตู้ไปรับนายฐาปนันท์ที่เรือนจำแล้วพาข้ามฝั่งทางช่องทางธรรมชาติ ขึ้นเรือข้ามแม่น้ำแม่สายไปส่งที่เมียนมา โดยฝั่งเมียนมามี “นายอายี่” ชาวพม่ามารับไปที่บ้านนายอายี่ ซึ่งอยู่ท่าขี้เหล็ก และห่างจากชายแดนไทยประมาณ 100-200 เมตร

บ้านนายอายี่ หลังใหญ่โต มีชั้นใต้ดิน มี รปภ. มีคนแต่งชุดลายพรางทหารราว 20 คนพร้อมอาวุธสงครามทั้งอาก้า M16 ระเบิด M79 เฝ้าห้องใต้ดิน เพราะมีทองคำแท่ง 5-6 ตัน

มีเรื่องเล่าระหว่างบรรทัดตรงนี้ว่า นายฐาปนันท์สั่งให้นายเกิดชนะนำ เงิน 340 ล้านบาท ใส่รถพ่วงไปแลกเงินหยวนแล้วส่งมอบให้เจ้าของยาไอซ์ จากนั้นให้นายเกิดชนะกลับไปที่บ้านนายอายี่ ลงชั้นใต้ดินไปขนทองคำแท่ง 1 ตัน (ใส่ลังกระดาษ 250 ลัง ลังละ 4 กิโลกรัม) ใส่รถพ่วงกลับมาให้นาย ฐาปนันท์ที่ย่างกุ้ง

 ทีนี้ ก็มาถึงประเด็นสำคัญว่า แล้วนายฐาปนันท์ไปพบกับ “นายตำรวจยศ พ.ต.ท.คนหนึ่ง” ที่ไหน เพื่อเจรจาเรื่องการส่งยาและจ่ายเงิน 

นายฐาปนันท์ มีตัวแทนถือบัญชีแทน และมีคนเคลียร์เส้นทางส่งยา ชื่อว่า “เจ๊หลิน” หรือ “หลิน ชาล์” อายุ 34 ปี เป็นคนไทยที่ค้าขายอยู่ชายแดนแม่สอด-พม่า โดยเก็บเป็นรายเดือน เดือนละ 15 ล้านบาท ถ้ารายใหญ่คิดเที่ยวละ 15 ล้านบาท โดยจะมีสติ๊กเกอร์ให้แปะและแจ้งทะเบียนให้เจ๊หลิน ก่อนวิ่งรถ

เจ๊หลิน-พ.ต.ท.คนหนึ่ง และ นายฐาปนันท์ จะคุยงานกันที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” เป็นประจำ เพื่อนัดหมายเส้นทางและการจ่ายเงิน แล้วจะมีคนที่อ้างว่ามาจาก บช.ก.(กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) มารับเงินสดทุกเดือนโดยรับไปจำนวน 5 -10 ล้านบาทต่อเดือน

ที่น่าสนใจก็คือ มีข้อมูลว่า “นายฐาปนันท์” กับ “เจ๊หลิน” มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกัน

ขีดเส้นใต้ที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” กันอีกครั้ง เพราะที่นี่เป็นแหล่งที่ “เสี่ยโป้ กับ หลงจู๊สมชาย” ใช้เป็นที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์บ่อนออนไลน์ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะ เป็นคนเดียวกับ “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” ที่เป็นคนเคลียร์เส้นทางขนย้ายตู้ม้าตู้สลอตของ “หลงจู๊สมชาย” ออกจากระยองไปขอนแก่น

มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจว่า เครือข่ายเมียวดีคอมเพล็กซ์เกิดขึ้นหลังจากการปะทะกันระหว่างทหารของ “นายพลหม่องชิดตู่” เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF กับกองกำลังกระเหรี่ยงคริสต์ หรือ KNU ในพื้นที่ชายแดนแถบนี้

หลังการกวาดล้าง ได้เริ่มพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวโดยมี “บ่อนกาสิโน” เป็นแม่เหล็ก ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จแต่ไม่เป็นที่เปิดเผยวงกว้างก็คือ นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งผันตัวมาเป็นนักธุรกิจใช้ความใจถึงพึ่งได้ กับมือประสาน 10 ทิศนำโปรเจ็กต์ยักษ์เปิด “เมียวดีคอมเพล็กซ์” มีทั้งบ่อนพนันทุกชนิดกับสินค้าปลอดภาษีเสนอต่อนายพลหม่องชิดตู่ ผ่านไปยังรัฐบาลพม่า

ปัจจุบันนายตำรวจหนุ่มผู้นี้ยังคงรับราชการวนเวียนอยู่ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 แต่ตอกหมุดอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก มาเป็นเวลาช้านาน กระทั่งมีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินสดฝากทั้งในและต่างประเทศ

มีแหล่งข่าวระดับสูงเล่าให้ฟังว่า เคยมี นายทุนจีนจากกวางเจามาเจรจาขอซื้อบ่อน Myawaddy Complex กับ นายตำรวจเจ้าของบ่อนว่าขายเท่าไหร่ ... เขาตอบว่า 500 ล้าน ... แต่ไม่ใช่ 500 ล้านบาท แต่เป็น 500 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 15,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายเกิดชนะยังให้การถึง “เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง” ลูกน้องคนสนิท “พ.ต.ท.คนหนึ่ง” ว่าเป็นคนรับเคลียร์เส้นทาง โดยวันที่รถขนยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม โดนจับเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 “ตำรวจหญิง” คนนี้โทรไปแจ้งข่าวให้ “เจ๊หลิน” ทราบ

รวมทั้งก่อนหน้านั้น นายเกิดชนะยังเคยถือเงินของ “นายฐาปนันท์” ไปให้ตำรวจหญิงคนนี้ที่ ห้างโรบินสันแม่สอด เพื่อเคลียร์เส้นทางขนยาเสพติด โดยจ่ายเป็นเงินสดจำนวน 10-15 ล้านบาท

ในการสอบปากคำเดือนตุลาคม 2563 นายเกิดชนะยังได้ชี้ตัวการสำคัญผู้เกี่ยวข้องกับคดีขนยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัมครั้งนี้โดยระบุว่าคือ นายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” และ นายตำรวจยศใหญ่ จากกรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า ความจริงเป็นเช่นไร

แต่สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งก็คือ ด้วยเหตุอันใด ตำรวจภูธรภาค 6 ถึงนิ่งเฉยกับการที่ “อัยการภาค 6” ขอให้สอบข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่นายเกิดชนะซัดทอดไปถึง “พ.ต.ท.และนายตำรวจยศใหญ่จากกรุงเทพฯ” เพื่อให้สิ้นกระบวนความ

ขณะที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือถูกซัดทอดก็ไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องออกมาโวยวาย เพราะนี่คือกระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนปกติเท่านั้น

...ถึงตรงนี้ คงต้องกล่าวว่า นี่คือ “มหาคดี” ที่น่าสนใจยิ่ง

และย้ำกันอีกครั้งว่า ยัง “ไม่มีใครผิด” จนกว่าจะ “ทำความจริงให้กระจ่าง” และมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดแล้ว

 ปิดลับ แม่สอดด่านแตก ยาเสพติดทะลัก!

ปัจจุบันมีการไหลทะลักของยาเสพติดเข้ามาเป็นอย่างมากอย่างน่าแปลกใจ โดยเฉพาะในรอบผ่านมา 2-3 ปี ยาเสพติดเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไม่ว่าจะเป็นเฮโรอีน ยาบ้า หรือยาไอซ์ ผ่านเข้ามาทางชายแดนตะวันตกโดยเฉพาะในด้านแม่สอดจังหวัดตาก แต่เดิมเส้นทางชายแดนแม่สอด เส้นทางในภาคตะวันตกไม่ค่อยจะมีการขนถ่ายลำเลียงยาเสพติดในบริเวณนี้

ที่ผ่านมาเส้นทางแม่สอดจะเป็นที่ขนถ่ายสินค้าเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธสงคราม เนื่องจาก จากบริเวณนั้นเป็นเขตอิทธิพลเป็นรัฐของกะเหรี่ยงอิสระซึ่งไม่ยอมขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางของเมียนมา มีการจัดตั้งกองกำลังกองทัพของคนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กลุ่มนี้ต้องการอาวุธสงครามเพื่อที่จะเอาไปต่อสู้เอาไปสู้รบกับรัฐบาลทหารของเมียนมา เป็นพื้นที่ขบวนการขนอาวุธสงครามที่คนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้อง กระทั่ง ต่อมามีขบวนการขนยาเสพติดเข้ามาทางชาวแดนแม่สอด

อย่างไรก็ตาม บริเวณชายแดนแม่สอดจังหวัดตากมีอยู่ถึง 3 ด่าน ด่านแรกคือ ด่านห้วยยะอุ ด่านที่ 2 คือ ด่านห้วยหินฝน ตั้งขึ้นมาตามมติของครม.ถือว่าเป็นด่านใหญ่ มีการตรวจร่วมกันของหน่วยความมั่นคงตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และศุลกากร เป็นด่านที่อยู่ร่วมกันของเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายหลายกระทรวง และด่านที่ 3 คือ ด่านแม่ท้อ อยู่ในพื้นที่ สภ.แม่ท้อ

ทั้ง 3 ด่านตั้งขึ้นมาภายหลังจากที่แม่สอดมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจการค้ามากขึ้น ซึ่งตามรายงานปีนึงมูลค่าการส่งออกนับเสนแสนล้านมูลค่าส่งออก ยังไม่นับรวมมูลค่าของสิ่งผิดกฎหมายมหาศาลแค่ไหน อีก

สิ่งที่ผิดกฎหมายที่ผ่านเข้ามาทางจังหวัดตาก บริเวณชายแดนแม่สอด นอกจากยาเสพติดแล้วมีเป็นแรงงานต่างด้าว ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ว่าจับได้กี่กลุ่มกี่คนต่างบอกตรงกันว่าเข้ามาทางชายแดนแม่สอดทางด่านแม่สอด แม้แต่โรฮิงญาเดิมเข้ามาทางภาคใต้จังหวัดระนอง แต่ปัจจุบันพบว่าลอบเข้ามาทางแม่สอดจังหวัดตาก

สถานการณ์ดังกล่าวปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากว่าทางฝั่งพม่าปรับเปลี่ยนนโยบายในการปกครองในการดูแลด้วยเปลี่ยนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเปลี่ยนเมืองเมียวดีเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หลังจากมีข้อตกลงกันของรัฐบาลเต็งเส่งกับกะเหรี่ยงเคเอ็นยูเมื่อปี 2555 จากนั้นมาก็มีการพัฒนาเมืองเมียวดีเจริญขึ้นเรื่อยๆ

โดยระยะหลังมาไม่กี่ปี หลังมีการเปิดเมืองของพม่าคือเมียวดีอย่างเสรี พบว่าผลการจับกุมสถิติการจับกุมต่างๆ เข้ามาทางชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดหรือแรงงานเถื่อน โดยเฉพาะยาเสพติดที่ทะลักเข้ามาจำนวนมาก

เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักพนันและสวรรค์ของนักค้ายาเสพติดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น