ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วันนี้ “หลงจู๊สมชาย” หรือ “นายสมชาย จุติกิติ์เดชา” เจ้าพ่อบ่อนระยองและอีกหลายจังหวัด คงนอนยิ้มอย่างสบายใจเฉิบหลังได้รับการประกันตัวมาแบบ “ง่ายๆ” ก็จะไม่ให้ประกันได้อย่างไรเพราะข้อหาที่ “ตำรวจ” ตั้งนั้น “อ่อนปวกเปียกเหลือประมาณ”
นั่นคือ ข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีโทษ “จิ๊บๆ” และได้รับประกันตัวด้วยวงเงินเพียงแค่ 200,000 บาท
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง ข้อหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควรแจ้งกับ “หลงจู๊สมชาย” เพิ่มเติมแบบเห็นชัด ๆ เลยคือ
1.ข้อหาผิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะบ่อนเป็นต้นตอในการแพร่กระจายของโควิด-19
2.ข้อหาฟอกเงินในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพราะหากใช้มาตรฐานการจับกุม “เสี่ยโป้” เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ที่โดนข้อหาเรื่องการพนันออนไลน์ ซึ่งเสี่ยโป้ก็โดนข้อหาฟอกเงิน มีการอายัด และตรวจสอบเส้นทางบัญชี “หลงจู๊สมชาย” ก็ต้องโดนด้วย
ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสงสัยว่างานนี้จะเป็น “ปาหี่” เพื่อ “จัดฉาก” จับ “หลงจู๊สมชาย” เพื่อตัดตอนไม่ให้มีการโยงใยไปถึง “เครือข่ายใหญ่” ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ที่สำคัญคือ ตำรวจยอมรับเองว่า มี “หนอนบ่อนไส้” ทำให้ “หลงจู๊สมชาย” รู้ตัวล่วงหน้า ทำให้มีการถ่ายเททรัพย์สิน เรียกได้ว่าเข้าค้นบ้านเปิดตู้เซฟก็เจอ เงิน 100 บาท กับพระอีก 1 องค์เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก
“พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น” ผกก.2 บก.ป. ซึ่งเป็นชุดจับกุมให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่า น่าจะรู้ตัวล่วงหน้าและมีการขนย้ายออกไปก่อนที่ตำรวจกองปราบปรามจะเข้าค้น นอกจากนี้ พบว่าเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดก็ถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปสำรวจตรวจสอบก็จะพบว่า ตำรวจดำเนินคดี “หลงจู๊สมชาย” ล่าช้ามาก โดยเหตุที่บ่อนระยองที่ “หลงจู๊สมชาย” แพร่เชื้อโควิด เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 แต่เพิ่งจะมีการบุกเข้าตรวจค้นบ้าน หลังเวลาผ่านไปนายถึง 1 เดือนครึ่ง นอกจากนี้ “ตัวบ่อน” ที่เป็นหลักฐานสำคัญล่าสุด กลับถูกทำลายหลักฐานจนไม่เหลือซากแล้ว ก่อนตำรวจเข้าจับกุม “หลงจู๊”
คำถามสำคัญก็คือ แล้วทำไมดูเหมือนตำรวจ(บางคน) และกระบวนการยุติธรรม(บางส่วน) จะ “เอื้ออาทร” ต่อ “หลงจู๊สมชาย” เช่นนี้
แน่นอน เรื่องนี้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นอย่างมาก
ความจริง นอกจากเป็นเจ้าของบ่อนแล้ว “หลงจู๊สมชาย” ยังเป็นคนที่ทำธุรกิจตู้ม้า ตู้สล็อต รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยตั้งแต่เคยมีมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถือว่าประวัติศาสตร์ของนักธุรกิจสีเทา ทำตู้ม้า ตู้เกม สมชาย ใหญ่ที่สุด แต่ก่อนนี้เคยมีหลายรายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และฝั่งธนฯ ทว่า ไม่มีรายไหนที่ใหญ่เท่ากับ “ชาย ระยอง” มาก่อน เนื่องจากว่าหลงจู๊สมชายกินในพื้นที่กว้างขวางของจังหวัดภาคตะวันออก 4-5 จังหวัด ไล่เรื่อยตั้งแต่ระยอง แล้วก็ขยายออกไปในบริเวณพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี จันทบุรี ตราด หรือสระแก้ว ปราจีนฯ แปดริ้ว จนกระทั่งถึงภาคอีสาน รวมไปถึง จ.เชียงใหม่ ด้วย
จากข้อมูล หลงจู๊สมชายมี “ตู้ม้า-ตู้สล็อต” มากถึง 5,000 ตู้ จนจนต้องใช้เครือข่ายรถขนส่งถึง 500 คันเลยทีเดียว
ใครที่เคยเล่น “ตู้ม้า-ตู้สล็อต” อาจไม่รู้ว่าการหยอดครั้งละ 10 บาท 20 บาท นั้น พอรวมๆ แล้วต่อวันเจ้าของตู้จะได้เงินเท่าไหร่?
ข้อมูลจากคนในแวดวงเหล่านี้ระบุชัดเจนว่า รายได้ต่อตู้ ต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 30,000-70,000 บาท แล้วแต่ประเภทตู้ และที่ตั้ง ที่สำคัญคือได้เงินสดทุกวัน!
ตีกลมๆ ก็คือ ธุรกิจ “ตู้ม้า-ตู้เกม-ตู้สล็อต” นั้นมีผลประโยชน์หลักแสนล้านบาทต่อปีล่อตาล่อใจอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีอำนาจ คนมีสีบางคนจึงจ้องเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ รวมถึงสร้างเครือข่ายการพนันขึ้นมาบังหน้า เพื่อตนเองกับพรรคพวกจะได้บริหารจัดการ ผลประโยชน์ของธุรกิจใต้ดินที่มีมูลค่ามหาศาลนี้ได้อย่างสะดวกโยธิน
งานนี้ เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะว่า ขบวนการนี้ไม่ได้มี “หลงจู๊สมชาย” เป็นหัวเรือใหญ่
ทั้งนี้ ภายหลังการทลายเครือข่ายบ่อนระยอง และภาคตะวันออก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในบ่อน ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด ซึ่งรวมถึง “ตู้ม้า-ตู้เกม-ตู้สล็อต” ของเครือข่ายหลงจู๊สมชายดังที่ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้
ดังเห็นได้จากในช่วงเดือนมกราคม 2564 มีการขนตู้เกมไฟฟ้าเก่าออกมาทิ้งข้างทางจำนวนมากในภาคตะวันออก ส่วนตู้ที่ยังดีอยู่นั้นเครือข่ายหลงจู๊รีบดำเนินการเคลื่อนย้ายออกจากภาคตะวันออก เอาไปเก็บไว้ในโกดังลับตามจังหวัดต่าง ๆ
การขนย้าย “ตู้เกมไฟฟ้า” ล็อตใหญ่ ครั้งนี้จำนวน 500 กว่าตู้ ถูกบงการโดย “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” เป็นผู้บัญชาการประสานกับ “พี่หลามตาฟาง” เพื่อให้ลูกน้อง “หลงจู๊สมชาย” ใช้รถขนส่งของตัวเอง นำตู้ม้าจากภาค 2 ไปพักไว้ที่โกดังในจังหวัดขอนแก่น
“ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” ได้โทรศัพท์เคลียร์ไปถึง ผู้กำกับ สภ.โชคชัย ทาง สภ.โชคชัยจึงพยายามเอาใจนายด้วยการใช้รถตำรวจของ สภ.โชคชัย นำขบวนไปส่งถึงโกดังเก็บตู้สล็อตที่บ้านโนนสวรรค์ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น จนในเวลาต่อมา พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะได้นำกำลังเข้าจับกุมตู้สล็อตดังกล่าวที่ จ.ขอนแก่นในอีก 5 วันต่อมา
คำถามมีอยู่ว่า “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” เจ้าของตู้ม้าตัวจริง ซึ่งเป็นผู้บงการเครือข่าย “หลงจู๊สมชาย” นั้นคือใคร?
ใช่เป็น “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” ที่มักเทียวเข้าเทียวออก “เมียวดีคอมเพล็กซ์” รวมทั้งโยงใยขบวนการผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า “หลงจู๊สมชายและเสี่ยโป้” นั้น ใช้เมียวดีฯ เป็นฐานใหญ่ในการธุรกิจพนันออนไลน์
ส่วนเรื่องสายสัมพันธ์กับ “เสี่ยโป้” ก็มีหลักฐานที่แก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น โดยเฉพาะ “โครงการบ้านจัดสรร” ที่มีชื่อว่ “เดอะ แคปปิทอล (The Capital)” ซึ่งเป็นโครงการที่ “หลงจู๊สมชาย” ฟอกเงิน โดยทำกับ “เสี่ยโป้” โดยให้ “เสี่ยโป้” ออกหน้า ขณะที่ “หลงจู๊สมชาย” กับ ลูกชายที่มีข่าวว่าเข้ามา ติดโควิด-19 และเข้ามาร่วมประชุมกรรมาธิการพนันออนไลน์ ตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นกรรมการบริษัท
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้นายเสี่ยโป้เคยได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการแฉ ที่มีนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ, นายวรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ หรือน็อต และนายชวลิต ศรีมั่นคงธรรม หรือดีเจเชาเชา เป็นพิธีกร ถึงความร่ำรวยการได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง โดยเนื้อหาในรายการเป็นการสัมภาษณ์นายเสี่ยโป้ในวันที่ 7 ต.ค. 62 หัวข้อ “เปิดความร่ำรวย เสี่ยโป้ อานนท์ อายุ 27 ทำธุรกิจรอบด้าน ทั้งธุรกิจสีขาวและสีเทา”
บางช่วงบางตอนของการสัมภาษณ์ นายเสี่ยโป้ได้เปิดเผยว่า มีการลงทุนทำอสังหาริมทรัพย์กับหุ้นส่วนใน จ.ระยอง มีหุ้นส่วนกันหลายคนในการลงทุนทำอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ พร้อมระบุว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีเสี่ยสมชาย ระยอง หรือนายสมชาย จุติกิติ์เดชา เป็นประธานบริษัท
นอกจากนี้ นายเสี่ยโป้ได้เปิดเผยอีกว่า โครงการดังกล่าวลงทุนเป็นร้อยล้าน ส่วนของเสี่ยโป้เองได้ลงทุนไปส่วนหนึ่ง นอกจากการสัมภาษณ์โปรโมตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว นายเสี่ยโป้ยังระบุว่า ได้ทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมความงามเป็นครีมบำรุงผิวจากประเทศเกาหลี ซึ่งธุรกิจนี้ทางภรรยาเสี่ยโป้เป็นผู้นำเข้า
หลักฐานชัด ๆ อย่างนี้ “หลงจู๊สมชาย” หรือใครหน้าไหนก็ตามกล้าปฏิเสธอีกไหมว่า “หลงจู๊สมชาย” ไม่รู้จัก ไม่เกี่ยวข้องกันกับ “เสี่ยโป้”?
แน่นอน งานนี้ “หลงจู๊สมชาย-เสี่ยโป้” ไม่มีทางที่จะเดินได้ตามลำพังด้วยเอง หากแต่ต้องมีผู้ใหญ่คอยแบกอัพอยู่เบื้องหลัง คนหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือ “พี่หลามตาฟาง” แต่ว่ากันว่ามี “ไอ้โม่งนายตำรวจใหญ่” แห่ง “เครือข่ายเมียวดี” ยืนทะมึนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้
แต่ถ้าจะให้ทางที่ดีคือ เพื่อให้พ้นจากข้อครหาว่า ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ อัยการ คนในกระบวนการยุติธรรมใน จ.ระยอง ในภาค 2 เกี้ยเซียะจัดปาหี่ จับ “หลงจู๊สมชาย” ตั้งข้อหาเบาๆ แล้วให้ประกันตัว ต้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม เข้ามารับเรื่องสอบสวน และส่งเรื่องให้กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินของ “หลงจู๊สมชาย” ครอบครัว รวมถึงเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องด้วย