xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ตลาด “กัญชา – กัญชง” ปังปุริเย ดรามาพอเป็นกระษัย ยังไงก็ “เนื้อหอม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากสปอร์ตไลท์สาดแสงไปยัง  “อภัยภูเบศร เดย์สปา” หน่วยงานในเครือ “โรงพยาบาลอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี” ซึ่งรับลูกนโยบายหน่วยงานต้นสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สร้างต้นแบบการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ ต่อยอดด้วยการนำร่องด้านการบริโภค เปิดเมนูกัญชาให้ทดลองลิ้มชิมรส คิดค้นเมนูกัญชาเพื่อสุขภาพ เปิดร้านปรุงอาหารจากใบกัญชาแห่งแรกในเมืองไทย หลากเมนูไม่ว่าจะเป็น รื่นเริงบันเทิงยำ, ข้าวกะเพราสุขใจ, ขนมปังคิกคัก ฯลฯ จนเกิดปรากฎการณ์  “เมนูกัญชาฟีเวอร์” ผู้คนทั่วสารทิศมาชิมเมนูกัญชากันอย่างคึกคัก

ตลอดระยะที่เปิดให้บริการประมาณ 1 เดือน ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกประกาศของดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มจากกัญชาชั่วคราว ให้เหตุผลว่า เพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรการอบรม ต่อยอดการใช้ประโยชน์จากกัญชา สามารถดำเนินการได้โดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องของดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มจากกัญชาชั่วคราว

ในประเด็นนี้  พญ.โศรยา ธรรมรักษ์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร บอกเล่ารายละเอียดอย่างชัดเจน ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นเจ้าภาพจัดทำ โครงการกัญชาอภัยภูเบศรโมเดล ดำเนินการกัญชาทางการแพทย์อย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูกร่วมกับวิสาหกิจชุมชน ผลิตทั้งยาแผนปัจจุบันและแผนไทย การใช้ในผู้ป่วย และศึกษาวิจัยเพื่อเสนอให้เกิดการพัฒนาเชิงนโยบาย

ต่อมา 14 ธันวาคม 2563 ได้มีประกาศของกระทรวงสาธารณสุขให้ส่วนใบที่ไม่ติดกับช่อดอก กิ่ง ก้าน ลำต้น เปลือก ราก และ เส้นใย ที่ได้รับการยกเว้นไม่เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ทำให้มีแนวคิดทำงานวิชาการต่อยอดความรู้แก่ประชาชน ชูประเด็นความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เกิดคอนเซ็ปต์  “มาชิมกัญ” การสร้างสรรค์เมนูกัญชา มองว่าประสบการณ์ของคนไทยใช้กัญชาเป็นเครื่องชูรสในอาหารในปริมาณไม่มากนัก 

ต่อมา “อภัยภูเบศร เดย์สปา” หน่วยงานในเครือโรงพยาบาลอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ได้เปิดตำรับเมนูอาหารจากใบกัญชา โดยจำหน่ายให้เฉพาะบุคลากรของโรงพยาบาลฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค 2564 พร้อมจัดทำแผ่นป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคใบกัญชาปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละเมนู ก่อนมีการเผยแพร่และส่งต่อแผ่นป้ายดังกล่าวออกไปตามสื่อต่าง ทำให้มีผู้สนใจสอบถามข้อมูลมาเป็นจำนวนมาก

สำหรับข้อกังวลความปลอดภัยในการนำใบกัญชามาประกอบอาหาร องค์ความรู้ปัจจุบันที่มีการศึกษาวิจัยก็พบว่า ในกัญชามีสาร THC หรือ Tetrahydrocannabinol ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เรียกง่ายๆ ว่า สารเมา ซึ่งหากบริโภคติดต่อกันในขนาดสูงๆ เป็นเวลานานก็อาจทำให้เสพติดได้ และต้องระวังในเด็กและเยาวชน หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยในบางกลุ่มโรค ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับทราบ

อย่างไรก็ตาม ใบกัญชามี THC ต่ำกว่าช่อดอกมาก แต่ยอมว่าการนำไปบริโภคอย่างไม่เหมาะสมอาจเกิดปัญหาต่อสุขภาพและสังคมได้ นอกจากนี้ ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการดูดซึมและสะสมสารนี้ในร่างกาย ได้แก่ อายุของใบ (ใบแก่มีสารเมามากกว่าใบอ่อน) การปรุง (ระยะเวลาการปรุง การปรุงอาหารในระยะเวลานาน การปรุงด้วยไขมัน จะทำให้สามารถดึงสาร THC มาอยู่ในอาหารได้ดีขึ้น) น้ำหนักตัว และปริมาณไขมันในร่างกายของผู้บริโภค (สารเมามีแนวโน้มสะสมในชั้นไขมันได้นานขึ้น) ซึ่งข้อมูลต่างๆ ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอยู่ระหว่างวิจัยเพิ่มเติม

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายเพิ่มเติมว่าการนำใบกัญชามาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบอาหารว่า เนื่องจากใบกัญชา ถือเป็นวัฒนธรรมคนไทยในการใช้เป็นเครื่องชูรสในอาหาร ไม่ได้กินแบบผักบุ้ง ผักคะน้า แต่จะใช้เพียง 2-3 ยอด เพื่อให้กินอาหารอร่อย กินข้าวได้ โดยอภัยภูเบศรได้สืบทอดวัฒนธรรมและนำมาเพิ่มมูลค่าให้กับอาหาร

ที่ผ่านมา มีงานวิจัยระบุว่าการกินอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา หากจะมีผลในเรื่องของสารทีเอชซี ที่ทำให้เกิดความเมานั้น ต้องกินระยะยาว แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ เช่น เวลาการปรุงอาหารด้วยน้ำมัน หรืออาหารทอด สารเหล่านี้จะออกมาก หรือการปรุงนาน แต่สารทีเอชซีไม่มาก โดยมีต่ำกว่าร้อยละ 1 แต่ก็ขึ้นอยู่กับการปลูกเช่นกัน

การนำใบกัญชาไปประกอบอาหารต้องสร้างองค์ความรู้ใน สิ่งแรกต้องคุมปริมาณการบริโภคโดยใน 1 จานอาหาร ใช้ใบกัญชาปรุงอาหารมากที่สุดไม่เกิน 5 ใบ โดยอภัยภูเบศรจะให้ความรู้ด้วยว่า จะมีการปรุงตั้งแต่ผสมใบกัญชาครึ่งใบ ไปจนถึง 5 ใบ แต่ 1 วัน ไม่ควรกินเกิน 5 ใบ และเงื่อนไขนี้จะอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนปรุงอาหารกัญชาของอภัยภูเบศร ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำร่างเปิดอบรมหลักสูตรการสอนปรุงอาหารกัญชาเบื้องต้น

นอกจากนี้ เกิดประเด็นดรามา รัฐเลือกปฎิบัติเอื้อประโยชน์เฉพาะบางหน่วยงานให้ปรุงเมนูกัญชาทดลองจำหน่ายได้ เช่น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ชี้แจงว่ากรณีโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สามารถประกอบอาหารจากใบกัญชาได้ เพราะเป็นผู้ได้รับอนุญาตปลูกกัญชา และขอแก้ไขโครงการเพื่อนำใบกัญชาไปใช้ประโยชน์แล้ว

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่า6ว่าหากผู้ได้รับอนุญาตปลูกกัญชารายอื่น ต้องการนำใบ หรือส่วนต่างๆ ที่ไม่เป็นยาเสพติดไปใช้ประโยชน์ หรือจำหน่าย ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยยื่นขอแก้ไขแผนการนำไปใช้ประโยชน์ที่ อย. และยืนยันว่าประชาชนทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากส่วนของกัญชา กัญชง ที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดได้ แต่ต้องมาจากผู้ได้รับอนุญาตปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

หากแต่นำส่วนของกัญชาและกัญชง ที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อจำหน่าย จะต้องขออนุญาตภายใต้กฎหมายผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้นๆ ด้วย ส่วนการขยายการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

หลังจากราชกิจจานุเบกษาออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 โดยใจความระบุถึงชิ้นส่วนของกัญชาและกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ และสามารถนำมาประกอบหรือปรุงอาหารได้ในเงื่อนไขที่กำหนด

ด้าน  นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรีวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีการอนุมัติให้ใช้กัญชงอย่างเต็มที่ ขณะที่กัญชานั้น ราก ต้น และใบ ยกเว้นดอก สามารถนำไปใช้ได้ มีการแก้ไขประกาศของกระทรวงฯ ให้นำมาใช้ปรุงอาหาร หรือวัตถุดิบในการทำอาหารต่างๆ ได้ ภายใต้อัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด

โดยข้อสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้คือ  “ประชาชนทั่วไปก็สามารถนำไปใช้ได้ แต่ต้องไปขออนุญาตกับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)”  โดย สธ. ให้นโยบายกับ อย. ว่าพืชกัญชาและกัญชงเหล่านี้เป็นพืชเศรษฐกิจ ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถเสริมสร้างรายได้ โดยมีคนที่สนใจเข้ามาขอใบอนุญาตเป็นจำนวนมาก โดยเจ้ากระทรวง สธ. มุ่งหวังขับเคลื่อนประเด็นนี้เพื่อให้ประชาชนลืมตาอ้าปากและกลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น “หมอหนู” ยังฝันใหญ่ไปถึงขั้นที่ว่าเมื่อเปิดประเทศจะเป็นอาหารเมนูกัญชาจะเป็นใหม่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนอยากลิ้มลอง เป็นหนึ่งในแนวทางส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของพืชกัญชาและกัญชง ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

ส่วน “กัญชง” ก็ “ฟีเวอร์” ไม่น้อยไปกว่ากัญชา หลังจากกระทรวงสาธารณสุขทำคลอด กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. 2563 เปิดให้ผู้สนใจยื่นขออนุญาตปลูกและผลิตกัญชง ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

โดยเนื้อหากฎกระทรวงฉบับนี้ เปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนทั้ง เกษตรกร ภาครัฐและเอกชน ประชาชนทั่วไปสามารถขออนุญาต และนำกัญชงไปใช้ในทุกวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การแพทย์ การศึกษา วิจัย การใช้ตามวิถีชีวิต ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ และการค้า เพื่อนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชงไปแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ ทั้งยา อาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น ทั้งนี้ การผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อจำหน่ายจะต้องขออนุญาตตามกฎหมายของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย

 ทันทีเปิดให้ผู้สนใจยื่นขออนุญาตปลูกและผลิตกัญชง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า ภาคธุรกิจต่างมุ่งตรงถนนสายเขียว เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่สร้างสีสันแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหาร และเครื่องสำอาง ออกผลิตภัณฑที่มีส่วนผสมใหม่ “กัญชง” ไม่ว่าจะเป็น คาราบาว กรุ๊ป และโอสถสภา เตรียมออกเครื่องดื่มชนิดใหม่, อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ชัพพลาย เตรียมผลิตน้ำมันสกัดจากกัญชง, ดีไอดี ไอโอเทค ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ ผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มบำรุงสุขภาพ, ไลฟ์สตาร์ ในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป เตรียมออกผลิตหมวดสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม 

 หรือ สยามเฮลท์ กรุ๊ป ผู้ผลิตสินค้าสุขภาพและความงามทั้งแบรนด์เดนทิสเต้ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากทั้งสเปรย์ดับกลิ่นปาก ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก สูตรผสมกัญชง ทั้งหมดอยู่ระหว่างรอขั้นตอนผลิต - ขึ้นทะเบียน เตรียมวางจำหน่ายลุ้นปลายปี 2564 และแบรนด์สมูทอีซึ่งเตรียมออกผลิตภัณ์เสริมอาหารส่วนผสมกัญชง 

การปลดล็อกกัญชงยังส่งผลบวกกับราคาหุ้นในกลุ่มเครื่องดื่ม ที่มีแนวโน้มนำกัญชงมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ในประเด็นนี้ หมิ่นหลิง หวัง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าการปลดล็อกกัญชงเป็นกิมมิกใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เพราะอย่างที่ทราบกันว่า ในกัญชงนั้นมีสารที่เรียกว่า CBD ให้คุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงสารอื่นๆ ที่มีสรรพคุณบางอย่างต่อร่างกาย หรือช่วยในเรื่องผ่อนคลาย การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยนำสารเหล่านี้ไปผสมในเครื่องดื่มจะมีลักษณะคล้ายกับเครื่องดื่มวิตามิน และทำให้สินค้ามีความแตกต่าง ตลอดจนดันตลาดเครื่องดื่มขยายตัวขึ้นด้วย

ทั้งหมดนี้สายเขียวอดใจรออีกไม่นาน.


กำลังโหลดความคิดเห็น