xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ม็อบเนียนมา” ลืมเรียนมารยาท โอเวอร์แอ็กฯ โหนรัฐประหาร แต่เรื่องตัวเอง “พี่ทอน” เอาไม่รอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทำเป็น “เนียน” แต่ไม่เรียนรู้ที่จะศึกษา “มารยาท”

ตามคิวที่ “ม็อบเนียนมา” นำโดยขบวนการ “แก๊งส้ม” ทั้งภาคพื้นที่ถนน และภาคพื้นที่สภา เรียงหน้ากันมาผสมโรงกับ “ม็อบเมียนมา” หน้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ถนนสาทรเหนือ เขตบางรัก เมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 ที่ผ่านมา

บรรยากาศคึกคัก “ม็อบเนียนมา” เต็มพรืด นึกว่าชาวเมียนมา หรือพม่า เพื่อนบ้านเราออกมาประท้วงเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศบ้านเกิดช่วงเช้าวันเดียวกัน

ที่ไหนได้ พอขยี้ตาก็ปะหน้า “ตี๋เอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า “น้องช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า นอกจากนี้ ยังมี ส.ส.ก้าวไกล อย่าง “เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขณะที่ “ม็อบราษฎร” มากันครบเซ็ต ทั้ง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชีวารักษ์ และ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้าการ์ดวีโว่

ทั้งหมดเกาะขบวนม็อบเมียนมา ที่ถือธงสัญลักษณ์พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเมียนมา หรือเอ็นแอลดี เรียกร้องให้ปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา ในฐานะผู้นำพรรคเอ็นแอลดี พร้อมประณามกองทัพเมียนมาที่ก่อการรัฐประหาร
“แก็งเฮียทอน” ก็คงหวังห้อยโหนชูธงประชาธิปไตยไปกับเขาด้วย เกาะทุกกระแสที่พอจะแดกดันรัฐบาลไทยได้
งงหนักไปกว่านั้นก็เรื่องแบบ “ธุระไม่ใช่” แท้ๆ แต่ก็บิ๊วสถานการณ์ “โอเวอร์แอดติ้ง” จนมีการปะทะ บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบาดเจ็บร่วม 10 นาย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยจะต้องมาเจ็บตัว หรือเสียเลือดเสียเนื้อกันเองเลย

เป็นฝ่ายม็อบโชว์ความห้าวเป้ง ขว้างปาสิ่งของ ตลอดจนระเบิดควันก่อกวนเจ้าหน้าที่จนเกิดความรุนแรง แล้วออกมาร้องแรกแหกกระเฌอว่า โดนสลายการชุมนุม ทั้งที่ตำรวจก็มาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับทางสถานทูต ที่ตามกติกาสากลถือเป็นพื้นที่อธิปไตยของประเทศนั้นๆ ขืนปล่อยพวกไม่รู้กติกามารยาทไปจุ้นจ้าน อาจกระทบไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

งานนี้แทนที่จะเป็นบวก กลับเป็นลบ “ม็อบเนียนมา” โดนบูมเมอแรงสังคมเหวี่ยงกลับ เรื่องของเรื่องเพราะ “โอเวอร์แอ็กติ้ง” เกินเหตุ เอาแค่แถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ก็น่าจะพอหอมปากหอมคอ แต่นี่แกว่งเท้าหาเสี้ยน ชักศึกเข้าบ้าน
ส่วนหนึ่งเพราะขณะนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ จ.สมุทรสาคร มากกว่าครึ่งเป็นชาวเมียนมา ประชาชนกำลังอยู่ในสภาวะหลอน “แรงงานต่างด้าว” เพราะไม่มั่นใจเรื่องสุขลักษณะส่วนตัว แต่ “ม็อบเนียนมา” พามารวมตัวก่อม็อบกันในประเทศ

นอกจากแต้มประชาธิปไตยไม่เพิ่ม ยังติดลบเรื่องวุฒิภาวะอีก

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ยังทำให้ “คณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล-ม็อบราษฎร” สำทับคำว่า “บิดาแห่งความย้อนแย้ง” ขึ้นไปอีก

เพราะหากจำกันได้คนเหล่านี้คือ คนที่ออกมาตีฆ้องร้องป่าว ซัดรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ปล่อยปละละเลยให้มีแรงงานเมียนมาลักลอบเข้าเมืองจนโควิด-19 ระบาด ถึงขั้นหยิบจะเอาไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แต่พอได้ยินคำว่า รัฐประหาร เลือดประชาธิปไตยในร่างกายพุ่งพล่าน เกิดรักประชาชนเมียนมาในประเทศไทยขึ้นมาทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แวว

ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนักใน จ.สมุทรสาคร “แก็งก้าว” ทั้งคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกลที่มี ส.ส.ในพื้นที่ แทบไม่ได้เข้ามาช่วยอะไรเลย ทั้งที่หลายหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ต่างระดมทุกสรรพกำลังเข้าไปช่วยเหลือกันอยู่ในขณะนี้

จนถูกค่อนแคะว่า ทีตอนหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้ง ส.ส. หรือการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ผ่านมา “ธนาธร” นี่แทบจะลงไปพื้นที่คนแรกๆ แต่พอแพ้ก็หายจ้อย ไม่เห็นแม้เงา

มาครั้งนี้ พอมีช่องให้ตัวเองรับประทานคำว่าประชาธิปไตยได้ ก็เลยกระโดดงับ กลับมารักชาวเมียนมาเหมือนเดิม

ว่าไปแล้วก็นึกขำ “ธนาธร” ในจุดยืนของ “ธนาธร” อยู่เหมือนกันที่มักเป็น “ไม้หลักปักขี้เลน” บ่อยๆ วันนี้มาร่วมกับชาวเมียนมา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” คนๆ เดียวกับที่ต้องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พื่อต่อสู้คดีที่เมียนมาถูกกล่าวหาว่า ก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮีนจา

ตั้งตาจะโหนประชาธิปไตย หลงลืมมุมหล่อๆ ประเด็นสิทธิมนุษยชน ไปหรือเปล่า

ครั้งหนึ่งในช่วงที่ชาวโรฮีนจาหลบหนีเข้าประเทศไทย “ธนาธร” เคยออกมาคัดค้านมาตรการของประเทศไทยที่ผลักดันคนเหล่านี้ แต่วันนี้มาแหกปากปาวๆ ให้ปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ที่ไปขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา

คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล ม็อบราษฎร ต้องการแทงใจดำอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารอย่าง “บิ๊กตู่”’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วยการเรียกร้องให้แสดงจุดยืนว่า ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารในเมียนมา เพราะรู้เต็มอกว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่กล้า เพราะทำรัฐประหารมาก่อน

แต่กลับไม่ได้ศึกษากติกาของชาติอาเซียน โดยเฉพาะในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือที่ลงนามกันในปี พ.ศ.2519 ได้ระบุถึงหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน การไม่ใช้กำลังต่อกัน

ขนาดสำนักเลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังออกแถลงการณ์แบบกลางๆ ไม่ล้ำเส้น จนเลยเถิดไปถึงจุดที่เรียกว่า “เสียมารยาท”

ถ้อยแถลงประธานอาเซียน ซึ่งในปีนี้ประเทศบรูไนทำหน้าที่เป็นประธาน ยังระบุแค่ว่า “ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ติดตามพัฒนาการณ์ของเมียนมาในปัจจุบันอย่างใกล้ชิด อาเซียนคำนึงถึงวัตถุประสงค์และหลักการที่ปรากฏในกฎบัตรอาเซียน รวมถึงการยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล การเคารพ และปกป้องสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน”

แม้แต่ “สมเด็จฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คนที่เสื้อแดงยกย่องสรรเสริญ ยังไม่ออกความเห็นอะไร ถึงสถานการณ์รัฐประหารในเมียนมา เพียงแค่ระบุสั้นๆ ว่า “เป็นเรื่องภายใน รัฐบาลพนมเปญไม่อยู่ในสถานะเหมาะสม ที่จะให้ความเห็นต่อกิจการของประเทศใดก็ตามบนโลก”

เรียกว่า ผู้นำชาติต่างๆ ในอาเซียนรับรู้กติกากันหมด จะมีเพียง “แดนลอดช่อง” ประเทศสิงคโปร์ ที่ต้อง “ละไว้ในฐานที่เข้าใจ” หลังกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ ออกมาแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในเมียนมา

ทุกคนรับรู้กันดีว่า สิงคโปร์ คือ ข้อยกเว้น เพราะต้องเดินในครรลองเดียวกับ “พี่ใหญ่” สหรัฐอเมริกา

สุดท้ายกลายเป็น “ม็อบเนียนมา” นั่นแหละที่ทำการบ้านมาไม่พอ

ไม่ดูตัวอย่าง อย่างนักการเมืองรุ่นพี่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายหญิง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขนาดตัวเองถูกทำรัฐประหาร แต่ครั้งนี้ “เงียบเป็นเป่าสาก” จนแทบจะประกาศตามหาคนหาย

นั่นเพราะสองศรีพี่น้องน้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะผู้ที่กระทำรัฐประหารอย่าง “มิน อ่อง หล่าย” ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “คนกันเอง”ของตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะ “ทักษิณ” นี่รักกันดี

อย่างไรก็ตาม จริงๆ คณะราษฎร ไม่ต้องดูไหนไกล ขนาดการ์ดม็อบตัวพ่อ อย่าง “เฮียหนุ่ม” สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูก “ม็อบเด็ก” ถีบออกมานอกวง ยังรู้กติกามารยาท แถบถลกไส้ทุกขดของพวก “ม็อบเนียนมา” ซะเสียเห็นภาพ ว่า แค่พวกเกาะกระแส

“คนพม่าเกลียดรัฐประหาร คนไทยก็เกลียดรัฐประหาร เพราะมีความรู้สึกเดียวกัน ทั้งคนพม่าและคนไทย มีสิทธิ์ที่จะแสดงออกตามสิทธิ์ที่พึงมี แต่ที่สถานทูตวันนี้ เมื่อ คฝ. (ตำรวจควบคุมฝูงชน) เข้าพื้นที่ คนพม่ากลับหมดแล้ว เหตุไฉนคนไทยไม่กลับ อยู่สร้างความวุ่นวายกันต่ออีกทำไม ถามกลับแค่นี้แหละว่าสิ่งที่ทำถูกหรือไม่ เราทำถูกที่ออกไปเรียกร้องและแสดงออกในสิ่งที่รัฐบาลพม่าทำกับชาวพม่าเหมือนอย่างที่รัฐบาลไทยเคยทำกับคนไทย เหตุไฉนคนพม่ากลับหมดแล้ว เราจึงไม่กลับ ถามแค่นี้แหละทำไมไม่กลับ”

เจอ “สมบัติ” กระแทกใจดำ ทำ “ม็อบเนียนมา” เขินไปเลย แล้วยังตบหน้าไปถึงระดับ “ตัวการ” ที่ไปจุ้นวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเอง

ในขณะที่เรื่องตัวเองท่าจะเอาไม่รอด ทั้งกรณีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เตรียมออกหมายเรียก “ตี๋ตะ” สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด น้องชาย “เฮียเอก” เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 ฐาน ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน ภายหลังชุดคลี่คลายคดีตรวจสอบพยานหลักฐานจนแน่ชัดแล้วว่า มีพฤติกรรมการกระทำผิดจริง จากการสั่งจ่ายเช็กเงินสดให้กับเจ้าหน้าที่ 2 ราย จากคดีทุจริตในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านการการประมูลตามกระบวนการ

หรือกรณี เรือยอร์ชหรู ของ “เฮียเอก-น้องตะ” ถูกไฟไหม้ที่ จ.ภูเก็ต แล้วถูกขุดประจานว่า งุบงิบ “เลี่ยงภาษี” จดทะเบียนเรือที่หมู่เกาะคุก แดนสวรรค์แห่งการฟอกเงิน ที่ “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” แบะๆ ไม่ขอชี้แจง บุ้ยโบ้ยไปอีกว่ามีไอ้โม่งมาเผาเรือให้เป็นเรื่อง หมายดิสเครดิตทางการเมือง ไม่แจ้งความดำเนินคดีก็บุญโขแล้ว

เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 112 เดี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเเชานุภาพ ที่ทำเอาพรรคก้าวไกลถึงกับรวน เมื่อ 2 ส.ส.โดนหนีไม่ขอร่วมสังฆกรรมเรื่องมิบังควรด้วย

ล่าสุดเจอ “มือปราบอนาคตใหม่” ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรคก้าวไกล ฐานมีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองบ้านเมือง และให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา

ตอนแรกเห็น “หัวหน้าทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาตอกทันที “เลอะเทอะ-ไร้สาระ” นึกว่าจะไม่ให้ราคา ปรากฏ “เสี่ยต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ซ้ำปึ้ก “ประธานเอก” ต้องออกมาร่ายยาวชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

สะท้อนลึกๆว่า “แก๊งก้าว” หวั่นไหวไม่น้อยกับคำร้องดังกล่าว

หรืออย่างคิวศึกซักฟอก อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล แมตซ์ใหญ่ประจำปี ในการปูพรมถล่มรัฐบาล ก็ดันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของ “ความหวาดระแวง” ตั้งท่าแซะกันเองในฝั่งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำเอา 10 รัฐมนตรีฝั่งรัฐบาลที่มีชื่อขึ้นเขียง ถึงกับผิวปากด้วยอารมณ์แสนชิลล์ แล้วค่อยติดตามรายการฟาดกันเองของฝ่ายค้านหลังจบศึก ท่าจะมันกว่าแยะ

งานหลังบ้านพรุนขนาดนี้ “แก๊งก้าว” ที่ไปเต๊ะท่า เย้วๆ ม็อบหน้าสถานทูตฯ โหนกระแสรัฐประหารก็เลยดับสนิท

ตามประสาคนเก่งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัวเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น