ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความจริงก็รู้กันอยู่ว่า “มาดามอีฟ-ทยา ทีปสุวรรณ” ศรีภรรยาของ “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ปรารถนาที่จะเป็น “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)” เพียงแต่ไม่คิดว่า จะดันทุรังอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้เยี่ยงนี้
และผู้ที่ยืนยันความปรารถนาอันยิ่งยวดของ “มาดามอีฟ” ก็คือเสี่ยตั้นผู้เป็นสามีที่ออกมายอมรับเองว่า “ข่าวที่ออกมาเป็นความจริงที่นางทยาตัดสินใจเสนอตัวลงเล่นการเมือง โดยจะลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และมั่นใจว่ามีโอกาสที่จะชนะ จึงเสนอตัวทำงาน”
อยากเป็นถึงขนาดที่ “เสี่ยตั้น” ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ลงทุนไปดักพบ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อพูดคุยในเรื่องดังกล่าวทีเดียว
แต่คำถามมีอยู่ว่า ชื่อชั้นของ “มาดามอีฟ” นั้น เหมาะสมกับเก้าอี้ตัวนี้จริงหรือ แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยรั้งเก้าอี้รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในยุค “คุณชายหมู-ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” มาก่อนก็ตาม
ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเป็น “เมีย” คำถามมีอยู่ว่า ทำไม “เสี่ยตั้น” จึงมั่นใจว่าทยามีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้ง
และคำถามมีอยู่ว่า ทำไม “เสี่ยตั้น” จึงต้องออกตัวแรงโดยไม่หวั่นว่าจะเกิดรอยร้าวภายในพรรค หรือว่า รองหัวหน้าพรรครายนี้ มีตื้นลึกหน้าบางอะไรมากกว่าที่สังคมรับทราบ
ที่สำคัญคือการประกาศตัวดังกล่าวได้ส่งผลสะเทือนภายในพรรคพลังประชารัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยรู้ๆ กันอยู่ว่า มี 2 คนที่ Deep State ของพรรคให้การสนับสนุนอยู่ในที นั่นก็คือ “บิ๊กวิน-พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน และ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า พรรคพลังประชารัฐจะส่งผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้ว่าเมืองหลวงในนามพรรคหรืออิสระ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ ก่อนหน้าที่ “เสี่ยตั้น” จะเปิดหน้าชน มี “ข่าวปล่อย” ออกมาว่า “ลุงป้อม” ได้เรียก ส.ส.กลุ่มหนึ่งขึ้นไปพบที่ห้องทำงาน ขอให้สนับสนุน “บิ๊กแป๊ะ” ในศึกผู้ว่าฯ กทม.
ย้ำอีกครั้งว่าเป็น “ข่าวปล่อย” และเวลานี้ก็เป็นที่รับรู้กันแล้วว่า “ใคร” เป็นคนปล่อย และที่ปล่อยออกมาก็เพื่อหวัง “เตะตัดขา” คู่แข่งตามประสานักการเมืองเขี้ยวลากดินที่มักทำกัน เพราะคนที่ถูกโยนชื่อออกมาก่อนย่อมตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปาก
ส่วนเรื่องการผลักดัน “มาดามอีฟ” นั้น ก็อาจมองได้ว่า งานนี้ “เสี่ยตั้น” คิดการณ์ใหญ่ เพราะจะว่าไปนับตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็มิได้มีผลงานอะไรให้เป็นที่โดดเด่น แถมจะ “ติดลบ” เสียด้วยซ้ำ ด้วยเจ้าตัวไม่ได้อยากนั่งว่าการกระทรวงนี้ และมีประสงค์ไปอยู่ที่ “กระทรวงพลังงาน” เสียมากกว่า
แล้วว่าก็ว่าเถอะ ไอ้ที่เคยคุยโวโอ้อวดในเรื่องผลงาน ส.ส.ในพื้นที่ กทม.ที่ได้จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็มิใช่ฝีมือของ “เสี่ยตั้น” หากแต่เป็นเพราะสถานการณ์การเมืองในห้วงเวลานั้นเสียมากกว่า แถมอยู่ไปอยู่มา ส.ส.ที่เคยเคลมว่าอยู่ในก๊วนก็ลดน้อยถอยลงไปเป็นลำดับ จนสามารถใช้คำว่า “เหลือไม่กี่คน” ก็คงจะว่าได้
ด้วยเหตุนี้กระมัง “เสี่ยตั้น” ในฐานะหัวหน้าทีม กทม.จึงจำต้องสู้ยิบตาเพื่อรักษาฐานการเมืองของกลุ่มก๊วนตัวเองเอาไว้ให้ได้ในยามที่บารมีลดน้อยลงไปทุกที
แต่ความซวยดันมาตกที่ “ลุงป้อม” ที่งานนี้ต้องกลุ้มใจหลังปฏิบัติการเปิดหน้าชกของ “เสี่ยตั้น” และจำเป็นต้องออกโรงสยบเรื่องวุ่นๆ โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการ เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกำหนดท่าทีส่งผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19
ส่วนกระแสข่าวที่จะส่ง “มาดามอีฟ” ลงผู้สมัครผู้ว่ากทม.นั้น “ลุงป้อม” ก็ยืนยันว่าไม่มี เป็นเรื่องที่คิดกันไปเอง และทางพรรคยังไม่มีการกำหนดผู้สมัครชิงผู้ว่ากทม.แต่อย่างใด ซึ่งตามมาตรา 34 ที่กำหนดให้พรรคการเมืองจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้
ที่ทีเด็ดคือ “ลุงป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรค ถึงกับต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพรรคพลังประชารัฐยังคงมีเอกภาพ ในพรรคไม่มีเรื่องแตกหัก ขออย่าคิดไปเอง พร้อมระบุ “ตนยังอยู่ไม่มีแตก”
เอาเป็นว่า แม้งานนี้ “ลุงป้อม” จะยืนยันว่า พรรคไม่มีแตก แต่ที่แน่ๆ คือ “ร้าวหนัก” เพราะเสียงสนับสนุนคนที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ นั้น ไปคนละทางสองทาง และแต่ละฝ่ายต่างก็เดินเกมกันอย่างสนุกสนานทีเดียว