ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ต่อให้ 100 นายกฯ ก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน...”
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากผู้นำประเทศชายชาติทหารอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากว่า 7 ปี ต่อปัญหา “บ่อนพนัน” แพร่ระบาดในทุกหัวระแหงทั่วประเทศ
ฟังแล้วก็ “หดหู่ใจ” ที่ “ผู้มีอำนาจล้นมือ” เอ่ยเอื้อนถ้อยที่เสมือนเป็นการยอมศิโรราบให้ “บ่อนพนัน” อย่างราบคาบอย่างไรอย่างนั้น
และยังถือเป็นคำพูดที่ทำให้ถูกตั้งคำถามในเรื่อง “ความรับผิดชอบ” และ “ภาวะผู้นำ” ในการจัดการปัญหาธุรกิจผิดกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความหดหู่ใจที่ว่า สะท้อนผ่านผล “ซูเปอร์โพล” ที่สำรวจภาคสนาม เรื่อง “โควิดกับการปฏิรูป” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 8 ม.ค.64 ที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่มากถึง 96.3% ระบุว่า สิ่งที่เห็นคือ ความจอมปลอมของนักการเมือง ผู้มีอำนาจรัฐท่าทีขึงขังจัดการบ่อนพนัน แต่หลังลงพื้นที่เจอผลประโยชน์เอื้อ เรื่องเงียบ
ขณะที่ส่วนใหญ่ 91.9% มองว่า นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไป ไม่เด็ดขาด ไม่เหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ
สะท้อนว่า ประชาชนผิดหวังกับจุดขาย “ความเด็ดขาด” ที่นายกฯไม่สามารถทำอะไรกับบ่อนพนันที่เปิดกันอย่างโจ๋งครึ่มได้เลย
โชคดีที่ผลโพลข้างต้นเป็นการสำรวจก่อนหน้าที่ “บิ๊กตู่” ยังออกมายอมรับว่า ไม่สามารถปราบบ่อนได้ หากทุกคนไม่ร่วมมือ เพราะน่าเชื่อว่าหากมีการสำรวจหลังความเห็นดังกล่าว ผลโพลอาจพุ่งพรวดไปถึง 100% เต็มก็เป็นได้
หรือย้อนไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.64 “บิ๊กตู่” ก็ได้สื่อสารกับประชาชนผ่านวิทยุออนไลน์ (PODCAST) ถึงปัญหาบ่อนการพนันและแรงงานผิดกฎหมาย ว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว มากบ้างน้อยบ้างอะไรเหล่านี้ และในวันนี้ในเมื่อสถานการณ์มันบานปลายมาสู่เรื่องนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด และรัฐบาลเองก็ไม่ต้องการให้เกิดอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ไม่ต้องการให้เกิด แต่อาจจะมีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีและอาจจะมีคนเสนอผลประโยชน์ให้นั่นแหละมันสองทางเสมอ ฉะนั้น เราต้องช่วยกันขจัดคนไม่ดี เจ้าหน้าที่ไม่ดีออกไป วันนี้รัฐบาลเต็มที่”
ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
เท่ากับสารภาพว่า ในช่วงที่บนส่วนยอดของอำนาจมากว่า 7 ปี ก็รับรู้ถึงปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายมาตลอด ทว่า “มีแต่ขนมจีน” เพราะไม่ได้สามารถทำอะไรได้ ซึ่งก็ชวนให้ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยถึงกับตั้งคำถามเอาแรงๆ ว่า “แก้ไม่ได้หรือไม่คิดจะแก้” กันแน่
สอดคล้องกับข้อมูลที่ระบุว่า เครือข่ายบ่อนพนันทั้ง “ออนไลน์ - ออฟไลน์” ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะรายของ “หลงจู๊สมชาย” เจ้าของบ่อนระยอง ที่ใหญ่โตพรวดพราดขึ้นมาในยุค คสช. ท่ามกลางเสียงลือว่ามี “แบ็คใหญ่” จนไม่มีใครกล้าแตะต้อง
หาก “กูเกิลแมป” ยังรู้พิกัด “บ่อน” หรือรู้ไปถึง “บ้านนายบ่อน” ผู้มีอำนาจล้นมืออย่าง “บิ๊กตู่” จะไม่รู้เชียวหรือ
กลายเป็นว่าต้องขอบคุณวายร้าย “โควิด-19” ที่อาละวาดเข้าไปในที่อโคจร แพร่เชื้อไปสู้ “นักเล่น” ทำให้บ่อนพนันเป็นที่เพาะเชื้อ ฟ้องโลกว่าบ่อนพนันกลาดเกลื่อนเมืองไทย
ทำให้ขยะที่ซุกใต้พรมก็เลยผุดขึ้นมาประจานรัฐบาล
และเรียกร้องให้ “นายกฯตู่” จัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิใช่ทำเพียงแค่พูดว่า “ต่อให้ 100 นายกฯ ก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน...”
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า โมเดลแก้ปัญหาที่ผ่านมาของ “รัฐบาลประยุทธ์” ตั้งแต่ยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรืองอำนาจ มาถึงหลังการเลือกตั้ง มีการอออกแอคชันเป็นพิธี เรื่องซาลง ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม จนประชาชนมองเห็นว่าเป็นไปตามสำนวน “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เท่านั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ระดับปฏิบัติน้อยใหญ่ โดนเด้งกันระนาวกราวรูด พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน ไล่ตั้งแต่ผู้บังคับการตำรวจ 4 จังหวัดชายทะเลตะวันออก ทั้ง “ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด” พร้อมด้วย “5 เสือ” ในแต่ละพื้นที่
และสุดต้านทานต้องพ่วง พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ที่โดนเข้ากรุไปด้วย
งวดนี้จะออกแนว “มวยล้ม” คิดแค่ว่า เด้งแล้ว สอบแล้ว แต่ต้องไม่ “แล้วก็แล้วกัน”
เฉกเช่นเดียวกับคณะกรรมการที่ “บิ๊กตู่” สั่งการให้ตั้งขึ้นด่วนพิเศษ 2 ชุด หนึ่งให้ปราบปรามบ่อนพนัน อีกหนึ่งให้ปราบปรามขบวนการลักลอบแรงงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ ที่ใครต่างก็มองว่าแค่ “ซื้อเวลา” เท่านั้น
แล้วสั่งการด่วนพิเศษอีท่าไหนไม่ทราบ ผ่านมาครึ่งค่อนเดือน ยังไม่ได้ตัวกรรมการอะไรที่ว่าเลย เห็นว่าคนที่หมายตาจะเชื้อเชิญมาเป็นกรรมการไม่ตอบรับ
เรื่องนี้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องกรรมการสอบ ก็ยอมรับหน้าชื่นเองว่า กรรมการที่จะตั้งไม่ได้มีอำนาจสั่งการหรือลงโทษใดๆ มีเพียงการสอบสวนหาข้อมูลเพื่อส่งให้หน่วยงานที่มีอำนาจเท่านั้น
พอโดนตำหนิติติงหนักเข้า “ลุงตู่” ก็เลยทำคลอดกรรมการที่ว่าออกมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา
ชุดแรกมีชื่อว่า “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนัน เป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19” จำนวน 10 คน มี “นายชาญเชาวน์ ไชยนุกิจ” อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน
ชุดที่สองมีชื่อว่า “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดกรณีการเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” จำนวน 15 คน มี “นายภักดี โพธิศิริ” อดีตกรรมการป.ป.ช. เป็นประธาน
ทั้งนี้ ทั้งสองชุดจะต้องรายงานลับ ถึงผลการดำเนินการให้นายกฯ ตู่พิจารณาสั่งการทุก 30 วัน
แต่ดูทรงแล้ว คงไม่ต่างจาก “เสือกระดาษ” เพราะไม่มีเครื่องการันตีว่า จะเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด เหมือนเช่นหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
ซ้ำร้ายเห็นฮึ่มๆ เอาล่อเอาเถิดกับตำรวจ ตรงนี้ไม่ผิด แต่น่าติดใจตรงที่ไม่ยักจะมีใครพูดถึงการไล่เบี้ยเอาผิดกับ “นายบ่อน” ทั้งข้อหาจัดให้เล่นการพนันผิดกฎหมาย หรือในฐานะเจ้าของบ่อน ที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ทำเอาเดือดร้อนกันทั้งประเทศขณะนี้
จนมีข่าวว่า “หลงจู๊สมชาย” อาศัยเส้นสายในวงการสีกากี เดินทางขึ้นเหนือตั้งแต่เกิดเรื่อง ก่อนย่องออกไปตาม “ช่องทางธรรมชาติ” กบดานสบายใจอยู่ตามตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้านแล้วในตอนนี้
ทั้งๆ ที่กรณี “บ่อนระยอง” ที่เป็นต้นตอแพร่กระจายโควิด-19 ระลอกใหม่ ชาวบ้านร้านตลาดรู้หมดว่าเป็นของ “หลงจู๊สมชาย” เจ้ามือบ่อนใจถึงมือหนัก ที่หยั่งรากอยู่ในพื้นที่ระยอง-ชลบุรี และขยายอาณาจักรภายใต้แบรนด์ RJ ปีกไปยังภาคอีสาน รวมทั้งในพื้นที่ กทม.ด้วย
ท่ามกลางข่าวหนาหูว่า มี “แบ็กอัพ” ระดับ “บิ๊ก” โยงใยถึงคนใกล้ชิด “ผู้มีอำนาจในทำเนียบรัฐบาล”
มีอย่างที่ไหน “หลงจู๊” คนเดียวที่คนชี้เป้าผ่านสื่อบอก “ชื่อแซ่” กันแบบตรงไปตรงมา ไล่เส้นสายคอนเนกชันให้เห็นเสร็จสรรพว่า “ไผเป็นไผ” ยังจัดการไม่ได้ แล้วขบวนการทั้งขบวนการจะจัดการได้อย่างไร
เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อย้ายผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั้งระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด จนไปถึงระดับภาค คือ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 แล้ว แต่ไม่ดำเนินคดี ไม่จับกุม “เจ้าของบ่อน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมต้องถูกตีความว่า เจ้าของบ่อนคือผู้มีอิทธิพลระดับซูเปอร์วีไอพี มีคนใหญ่คนโต นายตำรวจตำแหน่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันปกป้องดูแล
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจได้เจ้าจับกุมบ่อนการพนันบนคอนโดมิเนียมหรูที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หาดจอมเทียน ได้นักพนันต่างชาติ และคนไทย 21 คน ซึ่งแสดงว่า บ่อนพนันในชลบุรีมีเยอะจริง
ส่วน “บ่อนพนันถาวร” ของเมืองพัทยาที่เปิดบริการมาก่อนหน้าที่โควิด-19จะชี้เป้า ปิดไปหมดแล้ว ไม่ว่าเป็นบ่อนพนันของ “หลงจู๊สมชาย ระยอง” ที่ตลาดนำชัย บ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองพัทยา หรือจะเป็น บ่อนของ “ตือ เสือมังกร” มือทำบ่อนจากกรุงเทพฯ ที่หนองปรือ ก็หยุดหลบมรสุมไปเช่นกัน
ขณะที่ “ฉลามตาฟาง” รวมถึงบรรดานายตำรวจใหญ่ที่ถูกย้ายไปด้วยเรื่องนี้ก็ยังคงไปตีกอล์ฟกันที่ชลบุรีอย่างสบายใจเฉิบ มิได้รู้ร้อนรู้หนาวหรือทุกข์ใจแต่ประการใด
ก๊วนกอล์ฟก๊วนนี้ประกอบไปด้วย อดีตสองผู้บัญชาการตำรวจภูธรสองคน กับอีกหนึ่งอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่ยกขบวนมาเล่นกันสองวัน คือวันศุกร์ และเสาร์ โดยออกรอบในช่วงหลังเที่ยงทั้งสองวัน
สืบไปสืบมาพบว่า “สนามกอล์ฟ” ที่ก๊วนนายตำรวจไปตีมิใช่ของใครอื่น หากแต่เป็น“เสี่ยตี๋เล็ก” เจ้าของอาณาจักรกลางคืนที่ครอบครองพื้นที่มานานปี ถือเป็นเจ้าพ่อเบอร์1 แห่งยุคนี้ เพียงแต่ระยะหลัง เสี่ยตี๋เล็กวางมือจากธุรกิจกลางคืน หันไปทุ่มลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อขายที่ดิน สร้างบ้าน ทำคอนโดมิเนียม ซื้อแม้กระทั่งสนามกอล์ฟ
เสี่ยตี๋เล็กก็ถือว่าเป็นคนที่แวดวงตำรวจรู้จักกันดี
ไม่เพียงเท่านี้ ยังพบด้วยว่า อีกหนึ่งขาใหญ่ระดับดาวรุ่งพุ่งแรงที่เดินตามรอย “เสี่ยตี๋เล็ก” อย่าง “เอ้ พัทยา” ก็มีความสนิทแนบแน่นกับบิ๊กตำรวจในระดับนับญาติกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะ “บิ๊กสุ” คนโตในยุทธจักสีกากี เรียกว่า เป็นที่ไว้วางใจ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
แสดงว่า คนสีกากีกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเมืองชลบุรีนั้นแนบแน่นกันอย่างยิ่ง
ตัดภาพกลับมาที่เรื่องแดงแจ๋คนด่าขรม “บ่อนทำลายชาติ” กับคำถามเดิมๆ ว่า เมื่อสถานการณ์ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ยังจะใช้ลูกไม้เดิมๆ ให้เวลาแก้ปัญหาหรือ จะใช้มุขเดิมคือปล่อยไปเดี๋ยวเรื่องก็ซาไปเอง หรือลอยตัวจากปัญหา “โยนกลอง” ขอความร่วมมือจากประชาชนอย่างที่เห็น
ถ้าเป็นเช่นนั้น คงไม่พ้นเสียงติฉินนินทาว่า “ผู้มีอำนาจ” ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ตั้งกรรมการมาก็เป็นเพียงแค่ “พิธีกรรม” เหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา
ที่สำคัญคือ สถานการณ์ ณ เวลานี้ จะทำเป็น “ลูบหน้าปะจมูก” กลายเป็น “กากี่นั้ง” คนกันเอง ราวกับว่า “ผู้มีอำนาจ” ผูกดวง-ผูกชะตา ไว้กับ “นายบ่อน” ผ่าน “วงจรอุบาทว์” ผลประโยชน์มหาศาลที่เรียกกันว่า “ส่วย” ไม่ได้อีกแล้ว เพราะจะเร่งเวลาให้พังทั้งรัฐบาลและกลายเป็นตราบาปไปชั่วชีวิต
เว้นเสียแต่ว่าเป็น “พื้นดวง” ของบรรดา Deep State ซึ่งนั่นจำต้องพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ว่ามิได้เป็นอย่างที่สังคมร่ำลือกัน
“บิ๊กตู่” พูดเอง “เรื่องของการพนันวันนี้ ก็ยังมีคนที่แอบไปเล่นอยู่ ในลักษณะที่ไปหาที่เล่น ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้อาชีพเขาคืออะไร หรืออาชีพเขาคือการเล่นการพนัน ยังสามารถจับกุมได้อยู่ทุกวัน ทั้งรายย่อยเล่นกันไม่กี่คน เล่นตามโรงแรม ตามรีสอร์ต ก็ขอร้องให้ช่วยกันบรรเทาตรงนี้ลง ขอร้องเถอะ จะได้ช่วยกันแบ่งเบาปัญหาลงไปบ้าง ไม่มีใครทำได้สำเร็จเพียงคนเดียว”
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่อง “ธรรมดา-ธรรมชาติ” ของคู่สังคมไทย
วิธีแก้มีอยู่ เสนอกันมาทุกยุคทุกสมัย “บ่อนใต้ดิน” ขึ้นบนดินเป็น “กาสิโน” ถูกกฎหมาย จาก “ส่วย” ก็กลายเป็น “ภาษี-ค่าธรรมเนียม” เอารายได้เข้ารัฐ ตัดตอน “วงจรส่วย” ให้สิ้นซาก
เป็นไปตามที่ “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง รัฐบาลอภิสิทธิ์ โพสต์ถึงการแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันว่า ขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้การพนันอยู่บนโต๊ะ มีกฎหมายรองรับกำกับดูแล มีการเสียภาษีให้รัฐ นำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน ป้องกันเงินรั่วไหลไปบ่อนต่างประเทศ แก้ปัญหาการทุจริตคนในเครื่องแบบ
“นายกฯ คนเดียว ก็แก้ได้ ถ้ากล้าเอาไว้ “บนโต๊ะ” เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี นำเม็ดเงินกลับมาใช้เพื่อประชาชน ถ้าพรรคกล้าเป็นรัฐบาล จะเอา “การพนัน” ขึ้นไว้บนโต๊ะ คิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน “ร่วมมือ” เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน “อยู่บนโต๊ะ” โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล”
เรื่องแบบนี้มีหรือคนเป็นนายกรัฐมนตรีมา 6-7 ปีจะคิดไม่ได้ เพียงแต่ว่า กล้าหรือไม่เท่านั้นเอง
ไหนๆนายกฯก็ “รับสภาพ” ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็น่าจะลอง “คิดใหม่” เรื่อง “บ่อนการพนันบนดิน” ถูกกฎหมายอย่างจริงจัง ผลวิจัยภาคเอกชน ผลศึกษาทางวิชาการ ทำกันมาทุกยุค มีพร้อมอยู่แล้ว
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส แก้ปัญหาบ่อนแบบได้ “สองเด้ง” เห็นๆ “เด้งแรก” แก้ปัญหาบ่อนผิดกฎหมาย “เด้งสอง” ได้ “ส่วย” มาเป็น “ภาษี” พัฒนาประเทศ ช่วยประชาชน
ย้ำกันอีกครั้งกับเรื่องเดิมๆ ว่าอย่าให้เป็นขี้ปากว่า ติดที่กระเดือก “ระดับตัดสินใจ” กลัวจะไม่ได้ “รับประทาน” เหมือนที่เป็นอยู่จนประชาชีเข้าใจว่าเป็น “พื้นดวง” ของ “Deep State” ไปแล้ว