xs
xsm
sm
md
lg

ความขัดแย้ง บทละคร ผู้แสดง บุคลิกภาพ และความปรารถนา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

สังคมการเมืองไทยอบอวลหมอกเมฆของความขัดแย้งซึ่งยืดเยื้อร่วมสองทศวรรษ ยังไม่มีร่องรอยของการคลี่คลายหายไป เมื่อความขัดแย้งด้วยเรื่องราวบางอย่างมีแนวโน้มว่าจะยุติลง ความขัดแย้งใหม่ก็อุบัติขึ้นมาซ้อนทับจนซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม โครงเรื่อง บทบาท ผู้แสดงที่อยู่ในบทละครของความขัดแย้งมีมากขึ้น ตัวละครหลักของแต่ละกลุ่มแต่ละคนมีบุคลิกภาพและความปรารถนาที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงของความขัดแย้งอย่างดียิ่ง ขณะที่ตัวละครที่เป็นกรรมการก็ถูกสร้างขึ้นมาหลายชุด ทว่าบทบาทกลับไม่ส่งผลต่อเรื่องราวมากนัก

องค์ประกอบของบทละครความขัดแย้งทางการเมืองมีเรื่องราวและผู้คนเกี่ยวข้องมากมาย ตัวละครหลักคือผู้ปกครอง ผู้ต่อต้าน และกรรมการ เรื่องราวใจกลางของบทละครคือเจตจำนงสู่อำนาจและการธำรงอำนาจของแก่ละฝ่าย ส่วนกรรมการได้รับความคาดหวังว่าเป็นกลางและใช้ดุลพินิจอันเปี่ยมด้วยปัญญาและคุณธรรมในการตัดสินเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ปรากฎขึ้น แต่นั่นเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับจินตนาการและความเฟ้อฝันแบบโรแมนติก มากกว่าความจริงที่ผู้คนสัมผัสรับรู้ในปรากฏการร์ทางสังคม
ผู้ปกครองโดยธรรมชาติแล้วย่อมปรารถนาดำรงอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานเท่าที่สามารถทำได้ ด้วยเจตจำนงสู่อำนาจบงการจิตใจของพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ทว่า เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีงาม พวกเขามักประดิษฐ์ถ้อยคำสวยหรูฉาบพื้นผิวเอาไว้และแสดงออกต่อสาธารณะ ประโยคประเภทที่บ่งบอกถึง เจตจำนงที่มุ่งความรุ่งเรืองมั่งคั่งของชาติ ความมั่นคงของประเทศ ความสุขของปวงชน อันเป็นนามธรรมที่สะท้อนถึงความดีงามและความชอบธรรมของตนเองถูกเลือกสรรและประกาศออกมาเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทที่สังคมคาดหวัง

แต่ในเวลาเดียวกันภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยงาม มักมีความอัปลักษณ์ซ่อนตัวอยู่เสมอ พวกเขาเอื้อมมือบดขยี้ฝ่ายต่อต้านราวมดปลวด กวาดต้อนเข้าสู่กรงขัง หากผู้ใดที่น่าชิงชังมากก็ส่งกลับคืนสู่ภาวะก่อนกำเนิดมาเป็นมนุษย์ บ้างลอยไปตามลำน้ำ บ้ายหายสาบสูญราวฝุ่นละออง บ้างถูกทิ้งกลางกลางถนน บ้างกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเปลวเพลิง และบ้างกลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนดิน

เรื่องราวและบทละครเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ส่วนจะดำเนินต่อไปอีกยาวนานเพียงใดในอนาคต ยังไม่มีปราชญ์เมธีผู้ใดสามารถคาดคะเนได้ชัดเจนนัก

ธรรมชาติของสังคมคงเบื่อหน่ายกับการธำรงอำนาจของมนุษย์คนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ยาวนานเกินไป เรื่องราวของละครคงน่ารำคาญ หากสรรพสิ่งราบเรียบและสงบดังทะเลไร้ระลอกคลื่น เพราะธรรมชาติชอบความหลากหลาย ความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลง ละครที่น่าตื่นเต้นมีชีวิตชีวาย่อมต้องมีผู้แสดงบทบาทต่อต้าน ความปรารถนาใหม่ ความฝันใหม่ จินตนาการใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเบียดขับและทดแทนสิ่งเดิมอยู่เสมอ ทว่าในกระบวนการเปลี่ยนแปลงย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ต่อต้านต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน ราวกับเป็นคำสาปแช่งที่ผนึกอยู่ในสังคม

บทแสดงของผู้ต่อต้านคือการวิพากษ์ความเชื่อและการปฏิบัติที่เป็นรากฐานอำนาจความชอบธรรมของผู้ปกครอง มีการปฏิบัติการทางสังคมด้วยรูปแบบหลากหลายภายใต้จินตนาการ ศักยภาพ และความสามารถที่มีอยู่ การต่อต้านเป็นดังกระแคลื่นที่กระหน่ำศิลาแห่งอำนาจโดยไม่หยุดหย่อน ไม่ช้าบาดแผลของอำนาจก็ปรากฎออกมาและขยายตัวออกไป ความแข็งแกร่งเริ่มผุกร่อนเปราะบาง มนตราที่เคยมีพลังครอบงำบงการจิตสำนึกของผู้คนก็เสื่อมคลาย รูปเคารพที่เคยได้รับการบูชาและการยอมรับถูกปฏิเสธและถูกปฏิบัติด้วยความเฉยเมย

บทละครการเมืองบางเรื่องอาจยืดเยื้อเพราะมีโครงสร้างที่ซับซ้อน การที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะในระยะเวลาอันสั้นย่อมเป็นไปได้ยาก หากแต่มีการต่อสู้กันอย่างยาวนานนับทศวรรษ ในระหว่างการต่อสู้ เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของเรื่องราวหรือการกระตุ้นความหวังของคนดู สังคมก็จะสร้างตัวละครขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ตัวละครชุดนี้มีบทบาทเสมือนหนึ่งเป็นกรรมการ ทำหน้าที่เชื่อมโยง ไกล่เกลี่ย คลี่คลาย ตัดสินความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดอง

บางสังคมตัวละครชุดนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จด้วยสามารถคลี่คลายหรือบรรเทาความขัดแย้งลงได้ในระดับหนึ่ง สันติภาพชั่วคราวระหว่างคู่ขัดแย้งจึงปรากฎออกมาให้เห็น แต่บางสังคมตัวละครชุดนี้เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์เพื่อประดับให้โครงเรื่องของละครเกิดความสมบูรณ์ มิได้มีบทบาทและอิทธิพลต่อความขัดแย้งที่ดำรงอยู่แต่อย่างใด
สำหรับละครความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทย คณะกรรมการสมานฉันท์ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาชุดแล้วชุดเล่า เพื่อประกอบในโครงสร้างของบทละครให้ครบถ้วนสมบูรณ์ รายงานข้อเสนอที่มากมายเกิดขึ้นด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำภายใต้สมองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปัญญาของผู้เป็นคณะกรรมการ ทว่า ผู้ปกครองหาได้ชำเลืองตามองแต่อย่างใด ปล่อยทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวให้ฝุ่นค่อย ๆ เกาะปกหน้าอย่างช้า ๆ บดบังจนมองไม่เห็นชื่อของรายงาน กลายเป็นตำนวนที่ลางเลือน เพียงไม่กี่คนที่จดจำได้ว่ามีเรื่องแบบนี้ดำรงอยู่

สำหรับบุคลิกของตัวละครที่ทำให้ระกับความขัดแย้งมีความเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นนั้น ในภาษาของนักวิชาการชาวตะวันตกเขาเรียกกันว่า บุคลิกแบบประเภท A (Type A Personality) ลักษณะของคนที่มีบุคลิกแบบนี้คือ มีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างทั้งในแง่ของความคิดและการกระทำของผู้อื่นต่ำ มีความรู้สึกไม่มั่นคงในสถานภาพและตำแหน่งที่ตนเองครอบครอง มีความทะเยอทะยานและเจตจำนงแห่งอำนาจสูง มีการแสดงออกด้วยกิริยาก้าวร้าว ไม่สามารถปล่อยวางในประเด็นที่เป็นเรื่องเล็ก และต้องการให้คนอื่นทำงานภายใต้มาตรที่ตนเองกำหนด ส่วนในบทละครความขัดแย้งมีใครบ้างที่มีบุคลิกแบบนี้ก็ลองพิจารณากันดูเอง
นอกจากบุคลิกภาพดังที่กล่าวมาแล้ว คนที่มีความมุ่งมั่นรักษาจุดยืน (Commitment to Position) ของตนเองอย่างกระชับแน่นในเรื่องความเชื่อ ค่านิยม จารีต กฎ ระเบียบ และบรรทัดฐานการปฏิบัติแบบใดก็ตาม พวกเขามีแนวโน้มไม่ยอมผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นกับสิ่งที่แตกต่างจากเครื่องห่อหุ้มที่จิตของเขายึดถือ ปฏิบัติและปกปักราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าอันไม่อาจประมาณได้ และพร้อมที่จะปะทะหรือแตกหักกับใครก็ตามที่ถูกมองว่าคุกคามต่อจุดยืนของตนเอง
มีบุคลิกอีกอย่างที่มักเห็นเป็นประจำในเวทีการเมืองไทยยุคปัจจุบัน นั่นคือบุคลิกภาพอันเป็นบ่อกักของความเครียดและความโกรธ คนเหล่านี้มีความเครียดง่ายและโกรธเกิดขึ้นง่ายเมื่อเผชิญกับสิ่งเร้าภายนอกเข้ามากระทบจิตของตนเอง และแม้กระทั่งในยามที่ปราศจากสิ่งเร้าใหม่ ๆ ที่มากระตุ้นอารมณ์ของพวกเขา พวกเขาก็มักใช้จิตของตนเองไปกระตุ้นความทรงจำในอดีตที่เคยทำให้พวกเขาเครียดหรือโกรธขึ้นมาเสมอประดุจเสพติดความเครียดและความโกรธอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาพร้อมแสดงความโกรธออกมาราวกับว่าความโกรธคือคุณสมบัติที่มีคุณค่าสูงส่งสำหรับพวกเขา คนเหล่านี้ย่อมสร้างความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ง่าย และยิ่งหากคนมีบุคลิกภาพแบบนี้กลายเป็นผู้ปกครองประเทศ ความสงบสุขของคนในสังคมก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไกลเกินกว่าจินตนาการได้

การมีความปรารถนาที่แตกต่างในการใช้ชีวิตก็เป็นสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่สร้างความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะไม่ปรากฎหากประชาชนกับผู้ปกครองมีความปรารถนาสอดคล้องกัน แต่จะเกิดขึ้นหากประชาชนและผู้ปกครองมีความปรารถนาต่างกัน สังคมใดที่ผู้ปกครองปรารถนาให้ประชาชนยอมรับอำนาจ เชื่อฟังคำสั่งและอยู่ภายใต้การชี้นำกำกับของตนเอง และประชาชนในสังคมนั้นยินยอมปฏิบัติตามความปรารถนาของผู้ปกครองความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้น

แต่หากประชาชนปรารถนาอิสระทางความคิด ความเชื่อ และทางเลือกในการปฏิบัติด้วยปัญญาและการใช้ดุลพินิจภายใต้เหตุผลของตนเอง ความปรารถนาเช่นนี้ของประชาชนย่อมไม่สอดคล้องกับผู้ปกครอง ดังนั้นความขัดแย้งก็ย่อมเกิดขึ้น


ทางออกในเรื่องนี้มีสองทางหลักคือ ผู้ปกครองจำกัดประชาชนที่มีความปรารถนาแตกต่างจากตนเองให้สิ้นซาก หรือ ประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงโค่นล้มผู้ปกครองเดิม และหาผู้ปกครองใหม่ที่มีความปรารถนาสอดคล้องกับประชาชนขึ้นมาแทน ส่วนทางออกแบบประนีประนอมนั้นเป็นเรื่องที่ยังลางเลือนและยังไม่มีผู้แสดงบทบาทหลักในเรื่องนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น