"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในปี ๒๕๖๓ เป็นปีที่สังคมไทยเผชิญหน้ากับปัญหาและความท้าทายอย่างใหญ่หลวง ความแตกแยกทางการเมืองแผ่ขยายไปทั่วทุกปริมณฑลและลงลึกไปสู่ระดับความเชื่อพื้นฐาน แม้ว่าในช่วงปลายปีสถานการณ์ทางการเมืองดูเหมือนลดความร้อนแรงลงไปบ้างในบางระดับ แต่ก็เป็นเรื่องชั่วคราว เพราะเงื่อนไขที่เป็นสาเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข และมีความเป็นไปได้สูงว่า ในปี ๒๕๖๔ ความขัดแย้งจะปะทุออกมาอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ ทั้งในรอบหนึ่ง และรอบสองที่กำลังเกิดในช่วงปลายปี เราได้บทเรียนอะไรบ้างจากสถานการณ์การเมืองและการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงปีที่ผ่านมา
บทเรียนแรก การสืบทอดอำนาจและการขยายอำนาจโดยการใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลที่ได้อำนาจมาจากรัฐประหารจะทำให้รัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรมและไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน เมื่อรัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรมส่งผลให้องค์การทางการเมืองที่เป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญขาดความน่าเชื่อถือตามไปด้วย โดยเฉพาะองค์การที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงและโดยอ้อมกับคณะรัฐประหาร
องค์การที่มีปัญหาความชอบธรรมมากที่สุดคือ วุฒิสภา ดังเห็นได้จากในระหว่างปี วุฒิสภาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะอย่างกว้างขวางและรุนแรงในเรื่องคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ในสังคม การปฏิบัติหน้าที่ที่เบี่ยงเบนจากความคาดหวังของสังคม และการสร้างผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาการของประชาธิปไตย ประชาชนจำนวนมากในสังคมมีความเห็นร่วมกันว่า วุฒิสภาปราศจากคุณค่าใด ๆ และหมดความจำเป็นของการดำรงอยู่ในสังคม
วุฒิสภากลายเป็นส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์และเป็นภาระของสังคมจึงสมควรถูกยกเลิก และในปลายปี นักข่าวรัฐสภาได้ตั้งฉายาให้วุฒิสภาอย่างแหลมคมและเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนว่าเป็น “สภาปรสิต” ซึ่งหมายความว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่คอยเกาะกิน สูบเลือด สูบเนื้อ รวมทั้งสร้างโรคภัยแก่สิ่งมีชีวิตอื่นที่มันแฝงตัวเข้าไปอาศัย ในกรณีนี้ ปรสิตซึ่งเป็นเหมือนเชื้อเผด็จการเข้าไปอาศัยภายในโครงสร้างร่างกายของระบอบประชาธิปไตย และทำการการเกาะกิน บั่นทอน ทำลายและก่อโรคภัยอย่างรุนแรงแก่ระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง
นอกจากวุฒิสภาแล้วยังมีอีกสององค์การที่ประสบกับวิกฤติความชอบธรรม นั่นคือ ศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะผู้บริหารที่มีอำนาจสูงสุดขององค์การทั้งสองได้รับการเลือกสรรจากวุฒิสภา ทั้งสององค์การถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทำหน้าที่อย่างรุนแรงว่ามีความโน้มเอียง เคียงข้าง เกื้อกูล และให้คุณแก่ผู้มีอำนาจทางการเมืองมากกว่าการตอบสนองเป้าประสงค์และพันธกิจขององค์การ รวมทั้งความคาดหวังของสังคมในเรื่องความเที่ยงธรรม และยังถูกตั้งคำถามในระดับคุณค่าแห่งการดำรงอยู่เฉกเช่นเดียวกับวุฒิสภาด้วย ดังมีข้อเรียกร้องจากสังคมให้ยกเลิกองค์การทั้งสองไปเสีย
บทเรียนที่สอง การกระทำและพฤติกรรมของผู้นำขององค์การเมืองที่ไม่เป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ บรรทัดฐานหลัก และความคาดหวังของสังคม นอกจากจะลดทอนความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้นแล้ว ยังบั่นทอนความชอบธรรมขององค์การที่บุคคลนั้นสังกัดด้วย ดังเช่น นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่สังคมคาดหวังว่าต้องเป็นแบบอย่างในการเคารพกฎหมายและความคาดหวังของสังคม แต่ปรากฎว่านายกรัฐมนตรีปฏิบัติตัวราวกับอยู่เหนือกฎหมายหลายครั้ง ความชอบธรรมทั้งของตัวนายกรัฐมนตรีเองและรัฐบาลก็ลดลงตามไปด้วย
พฤติกรรมที่ไม่เคารพกฎหมายของนายกรัฐมนตรี เห็นได้จากการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านการลงประชามติแล้วในหลายมาตรตราตามอำเภอใจก่อนการประกาศใช้ (นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามสนองพระราชโองการ ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบ) และการไม่ปฏิบัติตามถ้อยคำที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วนเมื่อคราวถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้าดำรงตำแหน่งครั้งใหม่ เป็นต้น และยังมีพฤติกรรมที่ล่อแหลมต่อการกระทำที่ขัดกันของผลประโยชน์ในการอาศัยบ้านพักของกองทัพบก อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นการแสดงออกในการสัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายครั้งหลายคราวนับไม่ถ้วนสะท้อนให้เห็นถึงการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ต่ำมากโดยไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ มีการแสดงออกทั้งทางสีหน้าบึ้งตึง กิริยาก้าวร้าว น้ำเสียงที่กราดเกรี้ยว และการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อบริบทของการดำรงตำแหน่งบ่อยครั้งทั้งการบริภาษ ข่มขู่ เย้ยหยัน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ของความเป็นนายกรัฐมนตรี และยังเป็นแบบอย่างให้เยาวชนเลียนแบบได้ ดังนั้นการที่มีผู้กล่าวว่าเยาวชนที่ชุมนุมและปราศรัยโดยใช้คำหยาบ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเยาวชนเหล่านั้นรับรู้และเลียนแบบจากนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้ว พฤติกรรมของบรรดาผู้นำทางสังคมและการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในองค์การอื่น ๆ ที่สำคัญของประเทศก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือหากผู้นำขององค์การเหล่านั้นมีการขยายอำนาจและใช้อำนาจจนเกินขอบเขต มีการแสวงหาผลประโยชน์ที่เกินควร มีการใช้งบประมาณแผ่นดินที่ไม่สมเหตุสมผล มีพฤติกรรมที่ขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคมในยุคปัจจุบัน รวมทั้งมีการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนมากจนเกินไป ความชอบธรรมของบุคคลนั้นก็จะตกต่ำลงและส่งผลให้คุณค่าการดำรงอยู่ขององค์การที่บุคคลนั้นสังกัดลดลงตามไปด้วย
บทเรียนที่สาม คนไทยจำนวนมากยึดติดกับกรอบความคิดและความเชื่อ ปิดกั้นการรับรู้และความเข้าใจของตนเองจากข้อมูลข่าวสารที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อที่ตนเองยึดถือ และมีการใช้อารมณ์ความรู้สึกทางลบในการตอบสนองต่อผู้ที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความปรองดองสมานฉันท์และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติประนีประนอมเกิดขึ้นได้ยาก ความเกลียดชังมีแนวโน้มขยายตัวทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ความขัดแย้งที่รุนแรงพร้อมที่จะปรากฎออกมาได้ทุกเวลา
บทเรียนที่สี่ ผู้มีอำนาจและกลุ่มชนชั้นนำของประเทศนอกจากยังไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสังคมที่เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ ๒๑ แล้วก็ยังมีแนวโน้มยื้อยุดฉุดดึงให้ระบอบการเมืองของประเทศหวนกลับไปสู่รูปแบบการบริหารที่ล้าหลัง ความคิดเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจให้กระจายไปสู่ประชาชนยังมีน้อย ยิ่งกว่านั้นยังมีทัศนคติเชิงลบอย่างรุนแรงต่อประชาชนที่เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย และมองประชาชนเป็นปรปักษ์หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของกลุ่มตนเอง และมีการใช้กฎหมายอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่อิงกับหลักนิติธรรม เพื่อปราบปราม ข่มขวัญ และกดทับการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน หากในปีหน้าชนชั้นนำยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติและปรับปรุงการกระทำ ความขัดแย้งทางการเมืองก็ยิ่งขยายตัวและทวีความเข้มข้นมากขึ้น
บทเรียนที่ห้า ภยันตรายของสังคมที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวและแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙เกิดจากปัญหาเรื้อรังของระบบอภิสิทธิ์และการทุจริตคอรัปชั่นในระบบราชการของสังคมไทย ดังการระบาดใหญ่รอบแรกเกิดจากการจัดแข่งขันมวยในสนามมวยลุมพินี ซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการของกองทัพบก ส่วนการระบาดรอบใหม่มีจุดเริ่มจากตลาดกุ้งในจังหวัดสมุทรสาคร และบ่อนพนันในจังหวัดระยอง ตลาดในจังหวัดสมุทรสาครเต็มไปด้วยแรงงานนอกกฎหมายชาวพม่าที่ติดเชื้อโควิด แรงงานเถื่อนเข้าประเทศไทยโดยขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการทุจริตภายในหน่วยงานราชการไทยหลายหน่วยงานด้วยกัน และการแพร่ระบาดที่จังหวัดระยองซึ่งเกิดขึ้นในบ่อนการพนันนอกกฎหมายก็มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตของหน่วยราชการไทยไทยเช่นเดียวกัน
การแพร่ระบาดของโควิดในประเทศไทยค่อนข้างแตกต่างจากต่างประเทศ ในประเทศไทยประชาชนทั่วไปมีแนวโน้มปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการป้องกันอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีส่วนช่วยไม่ให้การระบาดมีความรุนแรงดังที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่การระบาดที่รุนแรงทั้งรอบแรกและรอบสองล้วนมาจากการทุจริตคอรัปชั่นและความไร้ประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการเมืองร่วมสมัย ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะไม่สามารถปราบปรามการทุจริตในระบบราชการได้แม้แต่น้อยและกลายเป็นสาเหตุหลักของการแพร่ระบาดโควิดซึ่งสร้างภัยพิบัติเหลือคณานับแก่สังคมไทย
บทเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมควรนำมาเรียนรู้และไตร่ตรอง เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในอนาคต หากยังมีความผิดพลาดซ้ำซากโดยไม่สรุปบทเรียนจะส่งผลให้ความขัดแย้งทางการเมืองและการแพร่ระบาดของโรคในปีหน้าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม