ผู้จัดการรายวัน 360 -อธิบดีกรมป่าไม้ ร้องปทส.เอาผิด "สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ" ซีอีโอกลุ่มบริษัทในเครือไทยซัมมิต มารดา "ธนาธร" บุกรุกป่าสงวนราชบุรี จำนวน 7 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 450 ไร่ พ่วงดำเนินคดี จนท.รัฐออกเอกสารสิทธิให้โดยไม่ชอบ พร้อมเสนอเพิกถอนสิทธิครอบครองที่ดินอีกกว่า 2,000 ไร่ ด้าน "วราวุธ" รมว.ทส. แจงไม่มี 2 มาตรฐาน ทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ดูตัวบุคคลว่าอยู่ฝ่ายใด
วานนี้ ( 30 ธ.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เข้าร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ผบก.ปทส. พ.ต.อ. พิบูลย์ เวียงจันทร์ รอง ผบก.ปทส.พ.ต.อ.ศราณุ โสมทัต ผกก.5 บก.ปทส และคณะพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับนางสมพร จึงรุ่งเรื่องกิจ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิต มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าหลังตรวจสอบพบว่ามีการบุกรุกที่ดินใน จ.ราชบุรี
นายอดิศร กล่าวว่า สืบเนื่องจากนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.เขต 3 ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้แจ้งร้องทุกข์ให้กรมป่าไม้ ดำเนินการตรวจสอบที่ดินจำนวน 77 แปลงเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ของนางสมพร ซึ่ง ทางกรมป่าไม้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบหลังรับเรื่องร้องทุกข์ทางกรมป่าไม้ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบนานพอสมควร เนื่องจากต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพบว่า ที่ดินที่นางสมพร ครอบครองนั้นเป็นพื้นที่ป่าสงวนและเขตหวงห้าม ซึ่งเรื่องนี้ทางกรมป่าไม้ได้รับร้องเรียน ทั้งจากชาวบ้าน ในพื้นที่เมื่อจะนำพื้นที่ป่าที่นางสมพร ครอบครองไปทำป่าชุมชน แต่ตรวจสอบก็พบว่ามีการครอบครองโดยมิชอบ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีการนำเอกสารสิทธิที่ดินที่เกี่ยวข้อง จำนวน 77 แปลง ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน จำนวน 1 แปลง ,นส.3 ก จำนวน 55 แปลง ,นส. 3 จำนวน 14 แปลง โดยมีเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ซึ่งจากการตรวจสอบพบที่ดินทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้าย แม่น้ำภาชี และซ้อนทับกับ เขตปฏิรูปที่ดินของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีการประกาศปี 2554 และไม่มีแผนงานพร้อมงบประมาณที่จะการดำเนินงาน จึงไม่มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ และแปลงที่ดินทั้งหมดซ้อนทับในเขตป่าไม้ถาวร หมายเลขที่ 85 (ปี 2512)
นายอดิศร กล่าวอีกว่า ในส่วนของที่ดิน นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ มีการออกโดยไม่มีหลักฐานเดิม (สค.1) เป็นการเดินสำรวจออกเมื่อปี 2521 ก่อนประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2527 แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรหมายเลข 85 เมื่อปี 2512 ก่อนที่จะมีการออกเอกสาร นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ ซึ่งทำให้เป็นเอกสารที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะนั้น อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่านางสมพร มีเจตนาครอบครองที่ดิน นส 2 โดยการซื้อเปลี่ยนมือจากบุคคลอื่นแบบผิดกฎหมาย จำนวน 7 แปลง เนื้อที่ 350 ไร่ ทั้งนี้แปลงที่ดินดังกล่าวเป็นเอกสาร นส.2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาซ้อนทับที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีการร้องเรียนของกลุ่มชาวบ้าน ม.14 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ .ราชบุรี ที่มีแผนงานจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน และมีตัวแทนของนางสมพร ได้ออกมาร่วมตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย มีการยอมรับการครอบครองและแสดงเจตนามอบให้หมู่บ้านจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาครอบครอง นส.2 แบบผิดกฎหมายของนางสมพร
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า นางสมพร ครอบครองที่ดินมือเปล่าแบบผิดกฎหมาย (ภบท.5) อีก 1แปลง เนื้อที่ 90 ไร่ ในท้องที่ ม.3 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โดยตรวจสอบพบหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่ระบุชื่อนางสมพร จึงรุ่งเรื่องกิจ จ่ายเงินค่าที่ดินมือเปล่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 90 ไร่ ในช่วงปี 2553-2556 ในส่วนเอกสาร โฉนดที่ดิน 1 แปลงและ นส.3 อีก 14 ฉบับ ต้องขยายผลตรวจสอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้พบว่ามีความผิดในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 450 ไร่ (ที่ดินภบท.5 และนส.2 ทั้ง 7 แปลง) และแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิที่ดิน นส.3 ก จำนวน 55 แปลง และเสนอให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของนางสมพรฯ นส.3 ก อีกประมาณ 2,000 ไร่ ซึ่งเบื้องต้นนางสมพร เข้าข่ายความผิดตามมาตรา14 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา54 พรบ. ป่าไม้ 2484
ด้าน พ.ต.อ.พิบูลย์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ก่อนดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน ในส่วนคดีรุกพื้นที่ป่าของนางสาวปารีณาว่า ขณะนี้ขั้นตอนการดำเนินการ ทางตร.ได้นำเอกสารส่งให้ ผบ.ตร.ลงนามส่งไปยังรัฐสภา เพื่อขอนำตัวนางสาวปารีณา ส่งมอบต่ออัยการ จ.ราชบุรี ดำเนินการตามขั้นกฎหมายเช่นเดียวกับคดีของนายทวี ไกรคุปต์ บิดา นางสาวปารีณา ก็พบว่า เอกสารสิทธิ์นั้นมีบางจุดที่ครอบครองโดยชอบธรรม เจ้าหน้าที่ก็จะตัดส่วนนี้ออกไม่ดำเนินการตามกฎหมาย แต่จุดที่ทับซ้อนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคดีนี้จะมีความชัดเจนหลังปีใหม่ และขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำงานตรงไปตรงมาไม่ได้มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง และทุกขั้นตอนและหลักฐานต่างๆ ก็สามารถตรวจสอบได้
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมป่าไม้เตรียมแจ้งความดำเนินคดีนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รุกป่าสงวนในพื้นที่ จ.ราชบุรี 450 ไร่ พร้อมเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก จำนวน 2,000 ไร่ ว่า ในการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯ เราไม่ดูที่ว่าเป็นใครหรือฝ่ายใด เราดูแค่ว่าทรัพย์สมบัติของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์นั้นได้มีการบุกรุกหรือไม่ และถ้ามีการบุกรุกขึ้นมา กระทรวงในฐานะที่เป็นเจ้าทุกข์ก็จะมีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทุกคดีที่มีการร้องเรียนกระทรวงทรัพยากรฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เราไม่ได้ประวิงเวลาหรือเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดทั้งนั้น เราดำเนินคดีตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีมี 2 มาตรฐาน หรือเลือกที่รักมักที่ชังอย่างแน่นอน เราให้ความยุติธรรมและดำเนินคดีโดยไม่ได้ดูที่ตัวบุคคล
วานนี้ ( 30 ธ.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เข้าร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ผบก.ปทส. พ.ต.อ. พิบูลย์ เวียงจันทร์ รอง ผบก.ปทส.พ.ต.อ.ศราณุ โสมทัต ผกก.5 บก.ปทส และคณะพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับนางสมพร จึงรุ่งเรื่องกิจ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิต มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าหลังตรวจสอบพบว่ามีการบุกรุกที่ดินใน จ.ราชบุรี
นายอดิศร กล่าวว่า สืบเนื่องจากนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.เขต 3 ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้แจ้งร้องทุกข์ให้กรมป่าไม้ ดำเนินการตรวจสอบที่ดินจำนวน 77 แปลงเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ของนางสมพร ซึ่ง ทางกรมป่าไม้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบหลังรับเรื่องร้องทุกข์ทางกรมป่าไม้ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบนานพอสมควร เนื่องจากต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพบว่า ที่ดินที่นางสมพร ครอบครองนั้นเป็นพื้นที่ป่าสงวนและเขตหวงห้าม ซึ่งเรื่องนี้ทางกรมป่าไม้ได้รับร้องเรียน ทั้งจากชาวบ้าน ในพื้นที่เมื่อจะนำพื้นที่ป่าที่นางสมพร ครอบครองไปทำป่าชุมชน แต่ตรวจสอบก็พบว่ามีการครอบครองโดยมิชอบ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีการนำเอกสารสิทธิที่ดินที่เกี่ยวข้อง จำนวน 77 แปลง ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน จำนวน 1 แปลง ,นส.3 ก จำนวน 55 แปลง ,นส. 3 จำนวน 14 แปลง โดยมีเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ซึ่งจากการตรวจสอบพบที่ดินทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้าย แม่น้ำภาชี และซ้อนทับกับ เขตปฏิรูปที่ดินของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีการประกาศปี 2554 และไม่มีแผนงานพร้อมงบประมาณที่จะการดำเนินงาน จึงไม่มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ และแปลงที่ดินทั้งหมดซ้อนทับในเขตป่าไม้ถาวร หมายเลขที่ 85 (ปี 2512)
นายอดิศร กล่าวอีกว่า ในส่วนของที่ดิน นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ มีการออกโดยไม่มีหลักฐานเดิม (สค.1) เป็นการเดินสำรวจออกเมื่อปี 2521 ก่อนประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2527 แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรหมายเลข 85 เมื่อปี 2512 ก่อนที่จะมีการออกเอกสาร นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ ซึ่งทำให้เป็นเอกสารที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะนั้น อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่านางสมพร มีเจตนาครอบครองที่ดิน นส 2 โดยการซื้อเปลี่ยนมือจากบุคคลอื่นแบบผิดกฎหมาย จำนวน 7 แปลง เนื้อที่ 350 ไร่ ทั้งนี้แปลงที่ดินดังกล่าวเป็นเอกสาร นส.2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาซ้อนทับที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีการร้องเรียนของกลุ่มชาวบ้าน ม.14 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ .ราชบุรี ที่มีแผนงานจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน และมีตัวแทนของนางสมพร ได้ออกมาร่วมตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย มีการยอมรับการครอบครองและแสดงเจตนามอบให้หมู่บ้านจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาครอบครอง นส.2 แบบผิดกฎหมายของนางสมพร
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า นางสมพร ครอบครองที่ดินมือเปล่าแบบผิดกฎหมาย (ภบท.5) อีก 1แปลง เนื้อที่ 90 ไร่ ในท้องที่ ม.3 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โดยตรวจสอบพบหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่ระบุชื่อนางสมพร จึงรุ่งเรื่องกิจ จ่ายเงินค่าที่ดินมือเปล่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 90 ไร่ ในช่วงปี 2553-2556 ในส่วนเอกสาร โฉนดที่ดิน 1 แปลงและ นส.3 อีก 14 ฉบับ ต้องขยายผลตรวจสอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้พบว่ามีความผิดในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 450 ไร่ (ที่ดินภบท.5 และนส.2 ทั้ง 7 แปลง) และแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิที่ดิน นส.3 ก จำนวน 55 แปลง และเสนอให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของนางสมพรฯ นส.3 ก อีกประมาณ 2,000 ไร่ ซึ่งเบื้องต้นนางสมพร เข้าข่ายความผิดตามมาตรา14 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา54 พรบ. ป่าไม้ 2484
ด้าน พ.ต.อ.พิบูลย์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ก่อนดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน ในส่วนคดีรุกพื้นที่ป่าของนางสาวปารีณาว่า ขณะนี้ขั้นตอนการดำเนินการ ทางตร.ได้นำเอกสารส่งให้ ผบ.ตร.ลงนามส่งไปยังรัฐสภา เพื่อขอนำตัวนางสาวปารีณา ส่งมอบต่ออัยการ จ.ราชบุรี ดำเนินการตามขั้นกฎหมายเช่นเดียวกับคดีของนายทวี ไกรคุปต์ บิดา นางสาวปารีณา ก็พบว่า เอกสารสิทธิ์นั้นมีบางจุดที่ครอบครองโดยชอบธรรม เจ้าหน้าที่ก็จะตัดส่วนนี้ออกไม่ดำเนินการตามกฎหมาย แต่จุดที่ทับซ้อนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคดีนี้จะมีความชัดเจนหลังปีใหม่ และขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำงานตรงไปตรงมาไม่ได้มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง และทุกขั้นตอนและหลักฐานต่างๆ ก็สามารถตรวจสอบได้
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมป่าไม้เตรียมแจ้งความดำเนินคดีนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รุกป่าสงวนในพื้นที่ จ.ราชบุรี 450 ไร่ พร้อมเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก จำนวน 2,000 ไร่ ว่า ในการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯ เราไม่ดูที่ว่าเป็นใครหรือฝ่ายใด เราดูแค่ว่าทรัพย์สมบัติของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์นั้นได้มีการบุกรุกหรือไม่ และถ้ามีการบุกรุกขึ้นมา กระทรวงในฐานะที่เป็นเจ้าทุกข์ก็จะมีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทุกคดีที่มีการร้องเรียนกระทรวงทรัพยากรฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เราไม่ได้ประวิงเวลาหรือเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดทั้งนั้น เราดำเนินคดีตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีมี 2 มาตรฐาน หรือเลือกที่รักมักที่ชังอย่างแน่นอน เราให้ความยุติธรรมและดำเนินคดีโดยไม่ได้ดูที่ตัวบุคคล